I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 184 สำนักบัญชาเทวะ
หานซู่หย่ายังคงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ลั่วเฉาที่อยู่ข้างๆ ใช้มือปิดปากของหานซู่หย่าด้วยความร้อนใจทำให้หานซู่หย่าลืมดิ้นรนและลืมคำพูดด้วยความตื่นตกใจ
การกระทำของลั่วเฉาทำให้เพื่อนคนอื่นๆ ตกตะลึง นี่ยังเป็นน้องสาวลั่วเฉาที่ขี้อายของพวกเขาอยู่หรือเปล่า? พวกเขาเผลอมองไปที่หลิงหลานแวบหนึ่ง ทอดถอนใจว่า ความรักสามารถทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ ด้วย….
ลั่วเฉาเห็นทุกคนมองมาที่เธอก็ค่อยตระหนักได้ว่าปฏิกิริยาของตัวเองรุนแรงเกินไป เธอปล่อยมือลงด้วยความขัดเขินก่อนจะไปซ่อนอยู่ด้านหลังลั่วล่าง พริบตาเดียว น้องสาวลั่วเฉาที่ขี้อายก็กลับมาอีกครั้ง
หลิงหลานแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแววตาที่บ่งบอกความหมายของทุกคน เธอยังคงทำหน้าน้ำแข็งเอ่ยถามอย่างเย็นชาว่า “คนอื่นๆ ล่ะ? พวกนายคิดว่าตัวเองทำไม่ได้เหมือนกันหรือไง?”
เวลานี้เอง หลายคนที่ผ่านประสบการณ์สงครามบนดาวสัตว์อสูรก็พลันนึกขึ้นได้ว่า เวลานั้นหลิงหลานที่ยังอายุสิบขวบได้เชี่ยวชาญการควบคุมหุ่นรบแล้ว ถึงขนาดที่กำจัดหน่วยรบไพ่ราชาซีรีย์ X ของจักรวรรดิฮิงูเระได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการควบคุมหุ่นรบของลูกพี่ไปถึงระดับสูงที่น่ากลัวแล้ว ถ้าหากพวกเขาไม่ฉวยโอกาสช่วงเวลาสามปีนี้กระตือรือร้นไล่ตามแล้วละก็ ถ้าหากร่างกายของลูกพี่ฟื้นฟูกลับคืนมา พวกเขาจะต้องถูกลูกพี่สลัดทิ้งไปไกลมากกว่าเดิม…
ความตั้งใจแน่วแน่แต่เดิมของฉีหลงยิ่งหนักแน่นมากขึ้น หานจี้จวิน ลั่วล่าง หลินจงชิงเองก็เป็นแบบเดียวกัน พวกเขาลอบกำหมัดแน่น ตั้งเป้าหมายให้ตัวเองในใจ ไม่ใช่ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับกลางที่หลิงหลานพูดไว้ หากแต่เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับสูงเช่นเดียวกับฉีหลง พวกเขาไม่อยากให้ฉีหลงกับหลิงหลานทิ้งพวกเขาไว้เหมือนกัน
เมื่อเห็นพวกพี่ชายทำหน้าเด็ดเดี่ยวรับปากว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จในอีกสามปีข้างหน้า ลั่วเฉาก็มองหลิงหลานด้วยสีหน้าชื่นชม นี่สิถึงจะเป็นลูกพี่หลาน มีเพียงลูกพี่หลานเท่านั้นถึงจะทำให้พวกพี่ชายศรัทธาเชื่อมั่นจนรับปากว่าจะทำภารกิจที่แทบจะไม่อาจพิชิตได้นี้ให้สำเร็จ…
ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่าในใจของลั่วเฉาสาวน้อยวัยแรกแย้ม หลิงหลานย่อมเป็นเด็กหนุ่มที่สมบูรณ์แบบ แข็งแกร่ง น่าเกรงขามทำให้คนเลื่อมใสศรัทธาและให้ความรู้สึกปลอดภัย ถึงแม้ว่าหลิงหลานสัมผัสได้ถึงความในใจของสาวน้อยลั่วเฉา แต่เธอก็คิดวิธีแก้ไขไม่ออก ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น หวังแค่ว่าช่วงเวลาสามปีจะทำให้ความรู้สึกของลั่วเฉาค่อยๆ จิดจางลง จนสุดท้ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิงหลานออกจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลิงและทำการพักฟื้นร่างกายต่ออีกระยะหนึ่งภายใต้การมาส่งของพวกเพื่อนๆ เช่นนี้เอง ช่วงเวลานั้นสถาบันศูนย์กลางลูกเสือได้ส่งยารักษานับไม่ถ้วนรวมไปถึงทรัพยากรอบรมบ่มเพาะล้ำค่าบางอย่างมาให้ โดยเฉพาะยายีนระดับพิเศษที่ส่งมาหลายอันเสมอ กอปรกับยายีนที่หลิงหลานควรได้รับสืบทอดแต่เดิมทำให้การฟื้นฟูร่างกายของหลิงหลานรวดเร็วขึ้นมาก ร่างกายที่เดิมทีจะฟื้นฟูกลับมาได้ในอีกหนึ่งปีให้หลังนั้นก็ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมโดยสิ้นเชิงในแปดเดือน ไม่มีอันตรายแอบแฝงใดๆ แล้ว
หลังจากที่ร่างกายของหลิงหลานกลับมาแข็งแรงเป็นปกติโดยสมบูรณ์แล้ว มู่สุ่ยชิงก็ให้เธอมายังสถานที่ที่เขาเก็บตน
เมื่อหลิงหลานมาถึง มู่สุ่ยชิงที่รอเธออยู่ตรงนั้นก็เอ่ยปากถามว่า “รู้หรือเปล่าว่าฉันให้เธอมาที่นี่ทำไม?”
หลิงหลานส่ายหน้าแล้วก็พยักหน้า มู่สุ่ยชิงทำหน้ายิ้มแย้มรอคอยคำอธิบายของหลิงหลานอย่างอดทน
หลิงหลานเอ่ยว่า “ที่ผมส่ายหน้าหมายความว่าผมไม่รู้แน่ชัด ที่ผมพยักหน้าคือรู้ว่า อาจารย์ต้องบอกให้ผมเข้าใจแน่นอน”
“เด็กแก่แดด!” มู่สุ่ยชิงอดหัวเราะเสียงดังด้วยความเบิกบานใจขึ้นมาไม่ได้ นับตั้งแต่ที่หลิงเซียวพลีชีพไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสุขสบายใจขนาดนี้ พ่อลูกหลิงเซียวคู่ควรกับการเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นร้ายกาจจริงๆ พวกเขามักทำเรื่องให้เขารู้สึกตื่นเต้นยินดีเสมอ การได้รับพวกเขาเป็นลูกศิษย์ก็คือโชคดีของเขาแล้ว
ในที่สุดมู่สุ่ยชิงก็เก็บเสียงหัวเราะลงและกล่าวต่อว่า “จริงๆ แล้วที่ฉันให้เธอมาก็มีเรื่องบางอย่างอยากจะบอกเธอ ฉันเป็นหนึ่งในอาจารย์แรกเริ่มของพ่อเธอ….แน่นอนว่านี่เป็นแค่ภายนอกเท่านั้น ความจริงแล้วพ่อของเธอคือลูกศิษย์สืบทอดแท้จริงของฉัน” ลูกศิษย์สืบทอดแท้จริงกับนักเรียนแรกเริ่มมีแนวคิดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นักเรียนแรกเริ่มเป็นเพียงการชี้แนะเล็กๆ น้อยๆ ให้กับนักเรียนที่เขาเห็นว่ามีอนาคตดี ไม่ได้สร้างความสัมพันธ์อะไร ทว่าลูกศิษย์สืบทอดที่แท้จริงคือผู้สืบทอดของสำนักที่พวกเขาสืบทอดกันมา กล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ของศิษย์อาจารย์อยู่ในระดับเดียวกับความสัมพันธ์ของบิดากับบุตร
หลิงหลานครุ่นคิดสักพักแล้วเอ่ยว่า “งั้นผมควรจะเรียกคุณว่าอะไร? อาจารย์ของอาจารย์?”
มู่สุ่ยชิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “เรียกฉันว่าอาจารย์เถอะ!” ในเมื่อเขาสอนกับมือ หลิงหลานก็เป็นลูกศิษย์สืบทอดแท้จริงของเขา ไม่เรียกว่าอาจารย์แล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ? นอกจากนี้เขาไม่สนใจปัญหาเรื่องลำดับอาวุโสอะไรด้วย ในสำนักของพวกเขา เมื่อเข้าสำนักแล้วก็มีเพียงความสัมพันธ์ของอาจารย์ ไม่มีความสัมพันธ์อื่นแล้ว
หลิงหลานขยี้จมูกตัวเอง รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย ถ้าเกิดเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์ เธอก็อยู่รุ่นเดียวกับหลิงเซียวพ่อของเธอไม่ใช่เหรอ? หรือว่าเธอจะต้องเรียกพ่อตัวเองว่าศิษย์พี่? หลิงหลานสับสนอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม หลิงหลานอารมณ์หดหู่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ต่อให้เรียกมู่สุ่ยชิงว่าอาจารย์ เธอก็ไม่มีโอกาสเรียกหลิงเซียวพ่อของเธอว่าศิษย์พี่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอจะสับสนไปทำไมเล่า? หลิงหลานที่คิดกระจ่างแล้วก็ไม่ได้ขัดเขินอีกต่อไป เอ่ยปากเรียกทันทีว่า “อาจารย์!”
“ดี! ดี! ดี! นี่ถึงจะเป็นลูกศิษย์ที่ดีของฉัน จะทำเรื่องอะไรก็ต้องชัดเจนตรงไปตรงมา อย่าลังเลไม่กล้าตัดสินใจเป็นอันขาด เรื่องนี้เธอดีกว่าพ่อของเธอ” มู่สุ่ยชิงเอ่ยอย่างมีความสุข
หลิงหลานได้ยินคำพูดก็หวนนึกถึงความรู้สึกที่หลิงเซียวมอบให้เธอในมิติมรดก พ่อของเธอดูเหมือนจะทำเรื่องค่อนข้างชัดเจนตรงไปตรงมานะ ไม่ได้ดูลังเลไม่กล้าตัดสินใจอย่างที่มู่สุ่ยชิงว่าไว้เลยจริงๆ แต่หลิงหลานโยนความคิดเหล่านี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมู่สุ่ยชิงเริ่มพูดต่ออีกครั้ง
“สิ่งที่สำนักของเราให้ความสำคัญคือพื้นฐาน ดังนั้นเรื่องทุกอย่างต่างเริ่มต้นจากพื้นฐาน และตอนนี้ฉันก็จะสอนทักษะพื้นฐานของสำนักเราให้เธอ…”
“เอ่อ…อาจารย์ เรื่องนี้ผมทำเป็นแล้ว” หลิงหลานรีบเอ่ย
คำพูดของหลิงหลานทำให้มู่สุ่ยชิงตกตะลึง “เธอทำเป็นได้ยังไง?”
หลิงหลานเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนว่า “อาจารย์ สำนักของเราคือบัญชาเทวะใช่ไหมครับ”
มู่สุ่ยชิงสะดุ้งขึ้นมาทันที “เธอรู้ได้ยังไง?” สำนักบัญชาเทวะเป็นการสืบทอดหนึ่งต่อหนึ่งเสมอ นับตั้งแต่ที่หลิงเซียวเสียชีวิตก็เหลือแค่เขาคนเดียวเท่านั้น หรือว่าสำนักยังมีคนอื่นอยู่อีกเหรอ?
มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มจางๆ ที่ไม่อาจจางได้อีก “คุณพ่อของผมเคยบอกผมไว้”
มู่สุ่ยชิงคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างออก เขาเอ่ยด้วยใบหน้าประหลาดใจว่า “มิติมรดกของหลิงเซียว ที่แท้เธอก็ได้ไปแล้ว”
มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา “เดิมทีก็ควรเป็นผมนะครับ” นับตั้งแต่ที่รู้วิธีการสืบทอดของสำนักบัญชาเทวะ หลิงหลานก็เข้าใจกระจ่างแจ้งว่า มิติมรดกที่หลิงเซียวทิ้งไว้คือสิ่งที่เตรียมไว้เพื่อเธอ
“ใช่แล้ว ของสิ่งนั้นเป็นของเธอจริงๆ…เพียงแต่กองทัพโลภมากไปหน่อยเท่านั้น” มู่สุ่ยชิงกล่าวพลางถอนหายใจ เขาสามารถเข้าใจวิธีการที่กองทัพทำ เพียงแต่ของบางอย่าง ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะได้ก็ได้มา….เงื่อนไขของสำนักบัญชาเทวะสูงมากเกินไป โดยเฉพาะเงื่อนไขเกี่ยวกับพลังจิตที่โหดร้ายยิ่งกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงเซียวบังเอิญเปิดใช้งานพลังจิตทะลวงด่านเลื่อนขั้นติดกันสามระดับแล้วละก็ เกรงว่าเขาอาจจะต้องพลาดสำนักบัญชาเทวะไปเหมือนกัน พรสวรรค์ของหลิงหลานทางด้านนี้สูงกว่าหลิงเซียวอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากพลังจิตของหลิงหลานทรงพลังโดยกำเนิด
“ในเมื่อเธอได้รับมรดกของพ่อเธอแล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นต้องสอนเรื่องพื้นฐานให้เธอ” มู่สุ่ยชิงอารมณ์ดีสุดขีด นี่หมายความว่าหลิงหลานจบการฝึกฝนเร็วกว่าที่เขาจินตนาการไว้เล็กน้อย เดิมทีเขานึกเสียใจอยู่บ้างที่มาหาหลิงหลานช้าเกินไป ทำให้หลิงหลานพลาดช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดในการเรียนรู้ฝึกฝนจากสำนักบัญชาเทวะ นี่จะทำให้หลิงหลานฝึกฝนทักษะการต่อสู้มือเปล่าขั้นพื้นฐานลำบากมากยิ่งขึ้น จนถึงขนาดที่ต้องเสียเวลาหลายเท่าถึงจะฝึกฝนได้สำเร็จ ไม่นึกเลยว่าหลิงหลานจะได้รับมรดกของหลิงเซียวมานานแล้ว ไม่ได้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไป
“อื้อ คำแนะนำสุดท้ายก่อนที่คุณพ่อจะหายไปคือให้ผมมาหาคุณ เรียนรู้ทักษะบัญชาเทวะอันสุดท้าย” หลิงหลานพูดข้อความสุดท้ายที่หลิงเซียวถ่ายทอดให้เธอออกมา
มู่สุ่ยชิงอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วก็เข้าใจทันทีว่าหลิงเซียวทำแบบนี้เพราะอะไร หลิงเซียวทำเพื่อบอกเขาว่า ผู้สืบทอดของสำนักบัญชาเทวะยังคงอยู่ เขาอยากส่งหลิงหลานมาตรงหน้าเขาด้วยตัวเอง ชดเชยความเจ็บปวดและความเสียใจที่เขาทิ้งไว้หลังจากที่เขาจากไป
ดวงตาทั้งสองข้างของมู่สุ่ยชิงแดงก่ำ เขาแหงนหน้ามองฟ้าทันใด แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “หลิงเซียว ลูกพ่อ เธอตายแล้วก็ยังเป็นห่วงตาแก่อย่างฉันคนนี้ ดังนั้นถึงได้ส่งความหวังมาให้ด้วยตัวเอง ทำให้ฉันมีพลังที่จะมีชีวิตต่อไป…” เขาโชคดีแค่ไหนที่ได้รับลูกศิษย์แบบนี้ น่าเสียดายที่วาสนาศิษย์อาจารย์ของเขากับหลิงเซียวต่ำมากเกินไปจริงๆ มีเวลาแค่สิบปีสั้นๆ เท่านั้น…
คำพูดของมู่สุ่ยชิงทำให้หลิงหลานตระหนักขึ้นมาได้เช่นกันว่าทำไมหลิงเซียวถึงไม่เลือกถ่ายทอดทักษะสุดยอดของสำนักบัญชาเทวะ ในเมื่อหลิงเซียวจบการศึกษาแล้ว เขาย่อมเรียนรู้ทักษะทุกอย่างของสำนักบัญชาเทวะแล้วแน่นอน สาเหตุที่เขาไม่ถ่ายทอดเป็นเพราะอยากให้หลิงหลานมาหามู่สุ่ยชิง ยืมปากของเธอบอกมู่สุ่ยชิงว่า ผู้สืบทอดสำนักบัญชาเทวะยังคงอยู่
หลิงเซียวอยากใช้การมานี้ปลอบใจอาจารย์ของเขา แน่นอนว่าเขาเองก็มีความคิดที่จะให้หลิงหลานรับหน้าที่ของเขาเช่นกัน ก็เหมือนกับที่เขาให้หลิงหลานดูแลหลานลั่วเฟิ่งในตอนแรก
แน่นอนว่าหลิงเซียวน่าจะมีความคิดฝึกฝนหลิงหลานอย่างหนักอยู่ ให้หลิงหลานอดทนค้นหามู่สุ่ยชิง บ่มเพาะนิสัยของหลิงหลาน เพียงแต่เขาไม่นึกว่ามู่สุ่ยชิงจะกักตนอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิง ถึงขนาดที่ไม่นานมานี้เนื่องจากเหตุการณ์หลิงหลานถูกลอบสังหาร ทำให้พ่อบ้านหลิงฉินคุกเข่าอ้อนวอนมู่สุ่ยชิงออกมาจากการกักตน ปกป้องคุ้มครองหลิงหลานโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่มู่สุ่ยชิงเห็นหลิงหลาน เขาก็เตรียมพร้อมสั่งสอนหลิงหลานแล้ว
ต้องบอกว่าโชคของหลิงหลานดีมากเกินไปแล้วจริงๆ ได้มาโดยไม่ต้องเสียเวลาเลย
ผ่านไปเนิ่นนาน มู่สุ่ยชิงค่อยสงบสติอารมณ์ได้ในที่สุด เขามองไปที่หลิงหลาน ความรักเอ็นดูในแววตาลึกล้ำมากขึ้น ตอนนี้ในสายตาของเขา หลิงหลานไม่ใช่เพียงผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของสำนักบัญชาเทวะ เขายังเป็นความหวังที่หลิงเซียว ลูกศิษย์แสนดีของเขาส่งมาให้เขา ตอนนี้เขามองหลิงหลานอย่างไรก็รู้สึกชอบอย่างนั้น
“ในเมื่อเธอเรียนจนถึงขั้นสุดท้ายแล้ว…งั้นก็ให้ฉันทดสอบพลังจิตของเธอก่อน ให้ฉันดูว่าเธอมีคุณสมบัติพอที่จะเรียนรู้สุดยอดทักษะสุดท้ายนี้หรือเปล่า” ถึงแม้ว่าในใจมู่สุ่ยชิงจะรักหลิงหลานอย่างยิ่งยวด แต่เขายังคงระมัดระวังเรื่องการถ่ายทอดสุดยอดทักษะสุดท้ายเอามากๆ ควรรู้ไว้ว่าทักษะของสำนักบัญชาเทวะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพลังจิตโดยสิ้นเชิง ถ้าหากไม่ถึงเงื่อนไขต่ำสุดของทักษะบัญชาเทวะล่ะก็ เขาย่อมไม่มีทางสอนหลิงหลานเพื่อความรับผิดชอบของเขาที่มีต่อหลิงหลาน
“ได้เลยครับ” หลิงหลานพยักหน้า เมื่อกล่าวจบ พลังจิตของเธอก็เริ่มแผ่ขยายออกมา จากนั้นก็แยกออกเป็นเส้นใยพลังจิตไร้รูปร่างหลายสายอย่างรวดเร็ว แต่ละเส้นหนาเท่านิ้วมือ พวกมันปราดเข้าไปใกล้มู่สุ่ยชิง ทว่าครั้งนี้หลิงหลานกลับเจออุปสรรคแล้ว เนื่องจากเธอสัมผัสได้ถึงเกราะคุ้มกันร่างที่สร้างขึ้นจากพลังจิตมหาศาลกำลังคุ้มกันมู่สุ่ยชิงอย่างแน่นขนัดห่างจากมู่สุ่ยชิงไปประมาณหนึ่งเมตร
……………………….