I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 201 จดหมายตอบรับเข้าศึกษา
หลิงหลานไม่ได้ข่มกลั้นลมหายใจที่อัดอั้นนั้น เธอพรูลมหายใจออกมาช้าๆ ถึงค่อยรู้สึกสบายขึ้นบ้าง ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะต่อสู้กับหลิงเซียวด้วยพลังจิตเพียงท่าเดียว แต่เธอก็รู้สึกว่าความสามารถของหลิงเซียวลึกล้ำยากจะหยั่งถึง เนื่องจากการจู่โจมทางจิตของหลิงเซียวเป็นการทำแบบเรื่อยเปื่อยตามใจชอบ การโจมตีแบบสบายๆ ทำให้คนเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
นี่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เกิดกับอาจารย์หมายเลขหนึ่ง เหมือนกับว่าต่อให้เธอพยายามไปชั่วชีวิตก็ไม่สามารถเข้าใกล้อีกฝ่ายได้ ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงหลานถูกอาจารย์หมายเลขห้าทรมานด้วยวิธีการต่างๆ นานามาก่อนจนจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ละก็ เกรงว่าจิตใจของเธอคงจะเกิดรอยร้าวเพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไปแล้ว
มู่สุ่ยชิงที่ชมการประลองยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “หลิงเซียว เป็นยังไงบ้าง? โล่เจ็ดเหลี่ยมของหลิงหลานร้ายกาจมากเลยใช่ไหม” น้ำเสียงของมู่สุ่ยชิงฟังดูภาคภูมิใจอย่างไม่ต้องสงสัย การสืบทอดวิชาก็อย่างหนึ่ง แต่ถ้าเกิดมีปรับปรุงวิชาใหม่ได้ เขาที่เป็นอาจารย์ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นและพอใจมากกว่าอยู่แล้ว ศิษย์ได้รับการอบรมสั่งสอนจนเก่งกว่าครูถึงจะเป็นเป้าหมายสูงสุดในการถ่ายทอด
ต่อให้หลิงเซียวที่เป็นปีศาจอัจฉริยะมาตลอดก็ยังชื่นชมด้วยความตกตะลึงต่อการคิดค้นทำลายขีดจำกัดวิชาของหลิงหลาน รอยยิ้มบนใบหน้าเขาเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น เขาพยักหน้าถี่ๆ และเอ่ยว่า “ใช่แล้วครับ เหนือความคาดหมายมากเกินไปแล้ว ผมไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าโล่เจ็ดเหลี่ยมยังใช้แบบนี้ได้ด้วย” สายตาที่เขาจับจ้องหลิงหลานเต็มไปด้วยความภูมิใจ “นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เธอศึกษาวิจัยออกมาสินะ เป็นความคิดที่ดีจริงๆ”
โล่เจ็ดเหลี่ยมอยู่ในทักษะป้องกันมาตลอด โดยพื้นฐานแล้วสามารถพูดได้ว่าเป็นทักษะที่ไม่มีพลังโจมตี และมีเพียงการใช้ทักษะจนช่ำชองบวกกับความสามารถที่แข็งแกร่งในช่วงหลังเท่านั้นถึงจะสามารถใช้พลังเคลื่อนย้ายของโล่เจ็ดเหลี่ยมโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้เล็กๆ น้อยๆ อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าโล่สะท้อนกลับที่หลิงหลานปรับปรุงใหม่แล้ว ระดับพลังการโจมตีแบบนี้ไม่คู่ควรให้พูดถึงเลย
คำชมของหลิงเซียวทำให้หลิงหลานกระดากอายอยู่บ้าง อย่างไรเสียนี่ก็เป็นผลงานที่เธอกับเสี่ยวซื่อรวมถึงพวกอาจารย์ศึกษาวิจัยร่วมกัน ตอนนี้หลิงหลานรู้ดีว่า สิ่งที่เรียกว่าการคาดการณ์และคำนวณของเสี่ยวซื่อ ความจริงแล้วเป็นผลงานที่พวกอาจารย์ศึกษาวิจัยออกมา เพียงแต่ก่อนหน้านี้พวกอาจารย์ไม่อยากให้เธอรู้ว่าพวกเขาสามารถเรียนรู้ทักษะในโลกความเป็นจริงและทำการศึกษาวิจัยและดัดแปลงได้ ดังนั้นถึงให้เสี่ยวซื่อแอบอ้างชื่อนี้ไป
หลิงหลานขยี้ดั้งจมูกตัวเอง เริ่มอธิบายความคิดของเธอกับพวกอาจารย์ในตอนที่ปรับปรุงมันให้หลิงเซียวฟัง “เพราะว่าไม่อยากเป็นฝ่ายถูกกระทำรอคอยโอกาส ก็เลยคิดว่าถ้าตอนที่ผมป้องกันสามารถทำการโจมตีได้พร้อมกันล่ะ จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่อสู้ได้หรือเปล่า? ผมก็เลยคิดว่าทำยังไงถึงจะให้โล่มีความสามารถโจมตีได้เหมือนกัน…”
“ผมทดลองอยู่หลายครั้ง และก็เคยทดลองใช้โล่เป็นอาวุธไปโจมตีฝ่ายตรงข้าม แต่พบว่านี่มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าเมื่อโจมตีแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบการจู่โจมทางจิต โล่จะพังทันที” หลิงหลานพูดถึงความล้มเหลวในตอนแรก มุมปากเผยรอยยิ้มทีละนิด เวลานั้นอาจารย์ทุกคนต่างทำหน้าสับสน กระทั่งอาจารย์หมายเลขห้าก็รักษาใบหน้ายิ้มแย้มโรคจิตไว้ไม่ได้ เปลี่ยนเป็นดูคลั่งอยู่บ้าง
“ต่อมา บังเอิญเห็นการเคลื่อนไหวของเตียงสปริง ก็เลยคิดว่าจะเปลี่ยนโล่ให้เป็นเหมือนเตียงสปริงได้หรือเปล่า ในขณะที่ป้องกันก็สามารถสะท้อนพลังที่ได้รับออกไปด้วย? หลังจากที่ศึกษาอยู่นานมาก ในที่สุดก็ค้นคว้าออกมาแบบนี้ ส่วนเพราะอะไรถึงปรากฎเป็นผิวกระจก…” มุมปากของหลิงหลานผุดรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าหยอกเล่นออกมาจางๆ
หลิงหลานไม่ได้อธิบาย หากแต่ปล่อยโล่เจ็ดเหลี่ยมของตัวเองออกมาอีกครั้ง โล่สามอันปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิงเซียว หลังจากนั้นก็เปลี่ยนรูปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ก่อเป็นผิวกระจกที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ…
“สะท้อนกลับได้หมดเลยเหรอ?” หลิงเซียวอดสงสัยไม่ได้
“โจมตีดูสิครับ” หลิงหลานกล่าว “พยายามลดพลังให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้หน่อยนะ” โล่ป้องกันในตอนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าโล่เจ็ดเหลี่ยมฉบับดั้งเดิม ถ้าพลังของหลิงเซียวมากเกินไป เกรงว่าจะมองไม่เห็นประสิทธิภาพ
หลิงเซียวพยักหน้า ปล่อยการจู่โจมทางจิตสายหนึ่งออกมาอย่างสบายๆ แน่นอนว่าพลังรวมไปถึงแรงกดดันนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเมื่อสักครู่นี้ พลังจิตพุ่งทำลายโล่อันที่หนึ่งแล้วก็พุ่งทำลายโล่อันที่สอง ทว่าเมื่อสัมผัสการสกัดกั้นของโล่อันที่สาม พลังที่หลงเหลืออยู่สุดท้ายก็ถูกสะท้อนกลับมาแบบเดียวกัน
“พลังป้องกันของผิวกระจกลดลงไปมาก แต่ไม่ใช่ว่าทุกพื้นผิวของมันจะมีพลังสะท้อนกลับ ดูท่าการสะท้อนกลับไม่ได้เป็นเพราะผิวกระจก…” การโจมตีของหลิงเซียวในครั้งนี้ทำให้เขารู้จุดอ่อนและจุดแข็งของผิวกระจก และก็รู้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของโล่ไม่ใช่ส่วนสำคัญเลย ทุกอย่างนี้เป็นเพียงสิ่งที่หลิงหลานอยากให้คนอื่นเห็นเท่านั้น
โล่กระจกสามอันถูกทำลาย หลิงหลานผนึกโล่สามอันไว้ตรงหน้าอีกครั้งโดยที่ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ทว่าคราวนี้โล่สามอันไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง พวกมันดูเหมือนโล่เจ็ดเหลี่ยมของหลิงเซียวราวกับพิมพ์เดียวกัน
เวลานี้หลิงเซียวไม่ต้องการให้หลิงหลานเตือนแล้ว เขาปล่อยการจู่โจมทางจิตเข้าไปสายหนึ่งทันที มันทะลวงผ่านโล่อันที่หนึ่งและอันที่สอง แต่กลับเจอการสกัดกั้นบนโล่อันที่สามแล้วพลังก็ถูกสะท้อนกลับมาอีกครั้งเช่นเดียวกัน
“คราวนี้สามารถทำให้โล่สะท้อนกลับมีรูปลักษณ์เหมือนเดิม งั้นก็หมายความว่า การสะท้อนกลับไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ว่าอยู่ที่คุณภาพด้านใน แต่ว่าทำไมการสะท้อนกลับถึงเป็นโล่อันที่สามหมดเลยล่ะ? เลือกตามใจชอบได้ไหม หรือว่าถูกจำกัดให้เป็นโล่อันสุดท้าย? หรือว่าโล่ทั้งสามอันสามารถทำได้หมดเลย?” ข้อมูลใหม่ที่หลิงเซียวได้รับกลับทำให้เขาเกิดข้อสงสัยนับไม่ถ้วน
“ตอนนี้ผมควบคุมโล่สะท้อนกลับได้แค่อันเดียวเท่านั้น เพราะว่าการประกอบพลังจิตของโล่สะท้อนกลับกับโล่เจ็ดเหลี่ยมดั้งเดิมมีความแตกต่างอยู่บ้าง ส่วนวางโล่สะท้อนกลับไว้อันที่เท่าไหร่นั้น เรื่องนี้ผมสามารถเลือกได้อย่างอิสระ” หลิงหลานกล่าว “สาเหตุที่วางไว้อันที่สามเป็นเพราะพลังของคุณพ่อแข็งแกร่งมาก ถ้าเกิดไม่มีโล่สองอันแรกลดระดับความแข็งแกร่งของพลังละก็ ผมไม่มั่นใจว่าจะสะท้อนกลับได้สำเร็จ คุณพ่อควรรู้ไว้ว่า พลังสะท้อนกลับของโล่ปรับปรุงใหม่มีจำกัด ถ้าพลังโจมตีเหนือกว่า มันก็จะพังทันทีและก็ไม่มีผลสะท้อนกลับด้วย”
หลิงเซียวฟังคำอธิบายของหลิงหลานก็อดพยักหน้าไม่ได้ เมื่อได้ยินลูกสาวบอกว่าพลังของเขาแข็งแกร่งมาก ในใจก็อดไม่ไหวรู้สึกยินดีและสุขใจเล็กน้อย นี่ถือว่าลูกสาวยอมรับพ่ออย่างเขาคนนี้อยู่กลายๆ แล้วใช่ไหม? ความคิดของหลิงเซียงดูงดงามอยู่บ้าง ความจริงแล้วหลิงหลายแค่พูดความจริงเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดอื่นเลย
“นอกจากนี้ พลังป้องกันของโล่สะท้อนกลับยังต่ำกว่าโล่เจ็ดเหลี่ยมตามปกติ จนถึงตอนนี้ ผมยังคิดวิธีแก้ไขออกมาไม่ได้เลย” ใบหน้าของหลิงหลานความเสียใจออกมา ถ้าหากทำให้ค่าป้องกันของโล่สะท้อนกลับเท่ากับโล่เจ็ดเหลี่ยมดั้งเดิมได้ละก็ ถึงจะพูดได้ว่าการปรับปรุงของพวกเธอสำเร็จแล้ว ตอนนี้ยังเป็นแค่ของกึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น
“หลิงหลาน เธอยังเด็กอยู่นะ! เธอยังมีเวลาอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่จะทำให้ทักษะนี้สมบูรณ์แบบได้” หลิงเซียวเอ่ยปากบอก “การเกิดขึ้นของทักษะใหม่จะต้องผ่านการทดลองและปรับปรุงแก้ไขมานับครั้งไม่ถ้วน อย่าใจร้อนเป็นอันขาด”
คำว่า ‘อย่าใจร้อนเป็นอันขาด’ ทำให้หลิงหลานรู้สึกคล้อยตาม ‘ใช่แล้ว เธอใจร้อนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? พวกอาจารย์หมายเลขหนึ่งก็เคยบอกชัดเจนแล้ว ทักษะใหม่ที่คิดค้นออกมาจำเป็นต้องได้รับการยอมรับในการต่อสู้จริง ในระหว่างนี้ยังต้องมีการปรับปรุงและแก้ไขนับครั้งไม่ถ้วน สิ่งที่เก็บรักษาไว้อย่างแท้จริงย่อมเป็นผลจากปรับปรุงแก้ไขมาอย่างโชกโชน’
“ขอบคุณครับ คุณพ่อ!” จนถึงตอนนี้ต่อให้เธอยังไม่สามารถเรียกว่า ‘พ่อ’ ได้อย่างสนิทสนม แต่หลิงหลานก็ไม่ได้ตระหนี่ที่จะเรียกขานว่า ‘คุณพ่อ’
แววตาของหลิงเซียวฉายความตื่นเต้นออกมาวูบหนึ่ง นี่เป็นสัญญาณดี น้ำเสียงของลูกสาวเขานุ่มนวลมากกว่าเมื่อสักครู่นี้ นี่หมายความว่าลูกสาวยินดียอมรับเขาแล้วใช่ไหม?
หลิงเซียวตัดสินใจตีเหล็กตอนร้อน ฉวยโอกาสพูดคุยกับหลิงหลานดีๆ ดังนั้นเขาจึงสอบถามหลิงหลานเกี่ยวกับโครงสร้างการประกอบพลังจิตของโล่สะท้อนกลับ เดิมทีหลิงหลานก็ไม่เคยคิดจะปิดบังอยู่แล้ว เมื่อเธอได้ยินหลิงเซียวสอบถามก็บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอได้มาให้กับหลิงเซียว
มู่สุ่ยชิงเห็นพ่อลูกตรงหน้ายืนคุยเรื่องการควบคุมพลังจิตอยู่ด้วยกัน ฉากที่อบอุ่นนั้นทำให้ขอบตาของเขาฉ่ำรื้นเล็กน้อย สามปีมานี้เขาก็เคยจินตนาการเหมือนกันว่า ถ้าหากหลิงเซียวยังมีชีวิตอยู่คงจะดีมากเลย! ไม่นึกเลยว่าสามปีให้หลัง ความฝันของเขาจะกลายเป็นจริง ให้เขาได้เห็นฉากนี้จริงๆ สวรรค์ช่างใจดีต่อชายชราอย่างเขานัก…
……………
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาหนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา ในระหว่างนั้นจดหมายตอบรับเข้าศึกษาของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งก็มาถึงตามกำหนดการ
อย่างไรก็ตาม ตระกูลหลิงได้ระเบิดความรุนแรงภายในครอบครัวอีกครั้งในวันที่ได้รับจดหมาย หลานลั่วเฟิ่งเห็นจดหมายตอบรับเข้าศึกษาฉบับนั้น ความแค้นเก่าและความแค้นใหม่ก็ปะทุขึ้นมาด้วยกัน เธอเตะหลิงเซียวตรงนั้นทันทีและยังไม่ลืมอัดศอกใส่ด้วย…เนื่องจากหลิงเซียวกลัวว่าจะทำร้ายหลานลั่วเฟิ่ง จึงไม่กล้าใช้ปราณคุ้มกัน การโจมตีของหลานลั่วเฟิ่งจึงอัดเข้าใส่ร่างของหลิงเซียวเต็มที่ตามความเป็นจริงทำให้เขาแยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวด
ไม่เพียงเท่านั้น ตอนกลางคืนหลานลั่วเฟิ่งก็ไม่ให้หลิงเซียวเข้าห้องนอนของเธอ อย่างไรก็ตาม เช้าวันที่สอง หลิงหลานยังคงโชคดีได้เห็นฉากหลิงเซียวถูกหลานลั่วเฟิ่งเตะออกมาจากห้องนอน เธอก็เลยรู้ว่าเมื่อคืนหลิงเซียวยังคงลอบเข้าห้องนอนได้สำเร็จ!
เมื่อเทียบกับความโกรธเกรี้ยวของหลานลั่วเฟิ่งแล้ว หลิงหลานที่เป็นคนเกี่ยวข้องกลับไม่รู้สึกอะไรเลย ในเมื่อหลิงเซียวสามารถช่วยเธอจัดการเรื่องการทดสอบและการฝึกฝนที่อาจจะเปิดเผยเพศของเธอได้ เธอยังมีอะไรให้กลุ้มได้อีกล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งมากอีกด้วย
ในขณะเดียวกันหนึ่งเดือนนี้ หลิงหลานได้ต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้กับหลิงเซียวผู้เป็นพ่อบ่อยๆ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการพูดที่ค่อนข้างน่าฟัง ความจริงแล้ว เธอถูกหลิงเซียวทรมานในรูปแบบต่างๆ อยู่ฝ่ายเดียว หลิงเซียวไม่ออมมือในตอนที่ต่อสู้เลยสักนิด นี่ทำให้หลิงหลานคิดถึงฉีหลงและพวกเพื่อนๆ มาก เพราะว่าตอนที่เธอต่อสู้กับพวกเขาก็อยู่ในบทบาทของหลิงเซียว
อย่างไรก็ตาม ความทุกข์ตรมจากการโดนทรมานของหลิงหลานได้สิ้นสุดลงหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เพราะว่าหลิงเซียวถูกกองทัพสั่งเรียกตัวเป็นชุด เขาจึงถูกเรียกตัวจากคฤหาสน์ตระกูลหลิงกลับไปยังกองทัพในที่สุด เนื่องจากอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง กองทัพจะจัดงานแถลงข่าวอย่างยิ่งใหญ่ให้เขา ในขณะเดียวกันก็จะประกาศการเริ่มต้นวางแผนจัดตั้งกองพลที่ยี่สิบสามอย่างเป็นทางการ หลิงเซียวจึงเลื่อนจากคุณพ่ออยู่บ้านเลี้ยงลูกระดับสุดยอดและพ่อบ้านที่ว่างงานสุดขีดมาเป็นนายพลที่ยุ่งที่สุดของสหพันธรัฐเช่นนี้เอง
คนที่ร่วมทางไปกองทัพด้วยกันกับหลิงเซียวยังมีหลานลั่วเฟิ่งที่ยังโกรธไม่หายด้วย แน่นอนว่าหลานลั่วเฟิ่งไม่มีความคิดที่จะตามหลิงเซียวไปเลย แต่ว่าเธอกลับถูกหลิงหลานมัดไว้แล้วให้หลิงเซียวพาไปทันที ควรรู้ไว้ว่าอีกหนึ่งเดือนให้หลัง เธอก็ต้องไปที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเพื่อทำการลงทะเบียนแล้ว เวลานั้นจะให้หลานลั่วเฟิ่งอยู่ในคฤหาสน์เฝ้าห้องนอนว่างๆ คนเดียวหรือไง?
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้หลิงเซียวก็เป็นนายพลดาวรุ่งที่โดดเด่นที่สุดของกองทัพ รูปลักษณ์ อำนาจ ชื่อเสียงทุกอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง คนที่ชอบหลิงเซียวย่อมมีมากมายจนน่ากลัวแน่นอน ถ้าหากหลานลั่วเฟิ่งยังโกรธหลิงเซียวแบบนี้ต่อไป แล้วถูกผู้หญิงคนอื่นหาโอกาสบางอย่างแทรกเข้ามาได้ เธอจะไม่เสียใจจนตายเลยเหรอ?
หลิงหลานรู้ดีว่าหลานลั่วเฟิ่งเป็นคนปากแข็งใจอ่อน ไม่อย่างนั้น พ่อของเธอคงไม่ถูกเตะออกมาจากห้องนอนบ่อยๆ ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนมานี้…หลิงหลานไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตอนกลางคืนพวกเขาทำอะไรกัน
แต่มีอยู่หลายครั้งที่หลิงหลานเห็นหลิงเซียวนวดหัวเข่าอย่างไร้สาเหตุ นี่ทำให้หลิงหลานสงสัยนิดหน่อยว่าคุณพ่อผู้ยิ่งใหญ่ของเธอถูกคุณแม่ผู้หญิงใหญ่ลงโทษให้คุกเข่าตรงแผงวงจรหุ่นรบหรือเปล่า…
หลิงหลานเคยเห็นของสิ่งนั้นมาก่อน ตรงส่วนที่ตั้งขึ้นเป็นแท่งต่างก็แข็งแรงทนทานและแหลมคมอย่างหาใดเปรียบ เมื่อหลิงหลานนึกถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกเหมือนกับหัวเข่าปวดรางๆ เช่นกัน อดนึกเห็นใจหลิงเซียวขึ้นมาไม่ได้ คุณแม่ผู้ยิ่งใหญ่ก็ใจร้ายมากจริงๆ นั่นแหละ
……………………..