I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 204 นักเจรจาทางการทูตที่หน้าหนา
ในตอนที่ฉีหลงส่งเสียงร้องออกมานั้น คนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นแล้วว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาอย่างเงียบเชียบก็คือหลิงหลานที่พวกเขารอคอยกันมาตลอดนี่เอง ทุกคนต่างตื่นเต้นขึ้นมา
รอยยิ้มตรงมุมปากของหลิงหลานหายไปอย่างไร้ร่องรอยในระหว่างที่ฉีหลงหันศีรษะมา เมื่อเธอได้ยินคำถามของฉีหลงก็ทำหน้าขรึมทันที แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “ฉันนั่งอยู่ด้านหลังพวกนายมาตลอด แต่พวกนายเลินเล่อจนไม่ได้ตรวจดูด้านหลัง ถ้าเกิดฉันเป็นนักฆ่าขึ้นมา พวกนายคงหนีไม่รอดสักคน”
เดิมทีเธอนึกว่าพวกเขาไปผจญภัยระหว่างดวงดาวมาครั้งหนึ่งแล้ว ควรจะเปลี่ยนเป็นระมัดระวังรอบคอบขึ้นบ้าง ไม่นึกเลยว่ายังคงประมาทเลินเล่ออยู่บ้าง มองข้ามจุดที่ไม่ควรมองข้ามมากที่สุด
ฉีหลงกับลั่วล่างเผชิญหน้ากับดวงหน้าเย็นเยียบของหลิงหลานก็ไม่กล้าทักท้วง ก้มหน้าลงรับการสั่งสอนทันทีด้วยสีหน้าอับอายและสำนึกผิดไม่หยุด
มีเพียงหานจี้จวินที่ฝืนใจอธิบายว่า “ลูกพี่ นายจงใจเก็บกลิ่นอาย ต่อให้พวกเราระวังอีกแค่ไหนก็ป้องกันตัวจากนายไม่ได้หรอกนะ”
คำพูดของหานจี้จวินทำให้ฉีหลงกับลั่วล่างพยักหน้าอย่างสุดชีวิต ความจริงแล้ว เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ก็สังเกตสภาพบริเวณรอบๆ อย่างระมัดระวังแล้ว นักท่องเที่ยวที่นั่งอยู่บนที่นั่งด้านหลังเขาไม่กี่คนนั้นมีกลิ่นอายธรรมดาสุดขีด ไม่พบความผิดปกติเลย ถึงทำให้พวกเขาคลายความระแวดระวังลง
“ต่อให้สัมผัสถึงอันตรายไม่ได้ ก็ผ่อนคลายความระมัดระวังลงทั้งหมดไม่ได้เป็นอันขาด” หลิงหลานตักเตือน
“เข้าใจแล้ว ลูกพี่!” ทั้งห้าคนผงกศีรษะด้วยความเคารพ พวกเขารู้ดีว่าหลิงหลานทำเพื่อให้พวกเขาได้ดีทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ลงมือสร้างสถานการณ์มาสั่งสอนพวกเขาด้วยตัวเอง
หลิงหลานกวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่งด้วยความพึงพอใจ หลังจากนั้นก็พูดว่า “ในเมื่อทุกคนมาถึงแล้ว งั้นเราก็ไปที่จุดลงทะเบียนเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งกันเถอะ” เธอเดินขึ้นหน้าทันที แต่เมื่อเดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเซี่ยอี๋ที่อยู่ด้านหลังเอ่ยปากตะโกนว่า “ลูกพี่หลาน กรุณารอสักครู่!”
หลิงหลานหันตัวกลับมาพลางเลิกคิ้วขึ้น “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
เซี่ยอี๋สูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดของตัวเองแล้วค่อยเอ่ยปากพูดว่า “ใช่ ฉันอยากบอกลูกพี่หลานเรื่องคำตอบที่นายถามฉันเมื่อสามเดือนก่อน”
หลิงหลานได้ยินคำกล่าวก็เอามือสองข้ามกอดอก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยด้วยความสนใจว่า “อ้อ?”
สายตาของหลิงหลานทำให้หัวใจของเซี่ยอี๋หดเกร็ง ความกล้าที่สร้างขึ้นมาแต่เดิมแทบจะรั่วไหลออกไปอีกครั้ง เขากำหมัดแน่น ให้กำลังใจตัวเองอย่างลับๆ ‘อย่าตื่นเต้น ต้องพูดออกมาให้ได้ จะเป็นหรือตายก็ดูที่การต่อสู้วันนี้เนี่ยแหละ’
เขาสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งอีกครั้ง หลังจากนั้นค่อยพูดว่า “ด้านพลังรบในทีม ฉันสู้หัวหน้ากับลั่วล่างไม่ได้จริงๆ ด้านการวางแผนกลยุทธ์ก็เทียบกับเสนาธิการไม่ได้เลย ด้านความละเอียดรอบคอบ ฉันก็สู้หลินจงชิงไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่าฉันมีจุดเด่นที่คนอื่นไม่มี นั่นก็คือฉันหน้าด้านมากพอ สามารถทำเรื่องที่พวกเขาทำไม่ได้….”
ประโยคคำว่า ‘ฉันหน้าด้านมากพอ’ ทำให้คนอื่นๆ ทำหน้าตกตะลึง ‘หรือว่าเซี่ยอี๋เตรียมตัวจะใช้กลยุทธ์ติดหนึบมาพัวพันลูกพี่หลานให้จนปัญญาทำอะไรไม่ได้ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจยอมรับเขาเหรอ?’ พวกเขาปาดเหงื่อเย็นๆ ที่แตกพลั่กบนหน้าผากอย่างเงียบเชียบ พวกเขาลืมบอกเซี่ยอี๋ไปหรือไงว่าความอดทนของลูกพี่หลานน่ากลัวสุดยอด ใช้กระบวนท่านี้ย่อมไม่มีหวังเด็ดขาด
“ตั้งแต่ที่เข้าร่วมทีมมาสามปี ฉันก็เข้าใจนิสัยของเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ แล้ว หัวหน้ากับลั่วล่างสนใจการต่อสู้ ไม่มีความอดทนพูดคุยกับคนอื่นเลย ถึงแม้ว่าเสนาธิการจะฉลาดเชี่ยวชาญการวางแผน แต่ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกกดดัน ไม่กล้าคบค้าสมาคมกับเสนาธิการง่ายๆ กลัวว่าจะถูกเสนาธิการวางแผนใส่โดยไม่ระมัดระวัง…” เซี่ยอี๋ร่ายข้อดีของเพื่อนร่วมทีมออกมาทีละคน สุดท้ายสายตาของเขาก็ทอดมองไปที่ตัวหลินจงชิง “ส่วนหลินจงชิง มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม และก็เป็นคนละเอียดรอบคอบ มีข้อมูลมากมายที่เขาได้รับมาจากในมือของคนอื่น ควรพูดว่าเดิมทีเขาเหมาะกับบทบาทนี้มากๆ เหมือนกัน แต่ว่าหน้าทีพลาธิการของทีมก็สำคัญมาก เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ยุ่งที่สุดของทีม…”
ทุกอย่างที่เซี่ยอี๋กล่าวมาไม่มีผิดพลาดสักจุด หลิงหลานผงกศีรษะน้อยๆ บ่งบอกว่ายอมรับ นี่ทำให้เซี่ยอี๋ที่เดิมทีหัวใจลุ่มๆ ดอนๆ อยู่บ้างรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาฉับพลัน เขารู้สึกเหมือนถูกฉีดยากระตุ้นหัวใจ
เขาเสริมความกล้าเงยหน้าขึ้นมาโดยพลันก่อนจะสบตาของหลิงหลานตรงๆ จากนั้นก็เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ดังนั้น ฉันเลยเตรียมตัวรับหน้าที่ติดต่อกับคนภายนอก ทีมต้องการนักเจรจาทางการทูต ในตอนที่ร่วมมือคบค้าสมาคมกับทีมอื่นๆ ให้ฉันที่หน้าด้านไปติดต่อเป็นการเหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีแบบไหน ฉันก็รับได้ทั้งนั้น”
“ไม่นึกเลยว่านายจะหาบทบาทแบบนี้ให้ตัวเอง นายไม่คิดว่ามันสิ้นเปลืองความสามารถเลยหรือไง?” หลิงหลานจ้องมองเซี่ยอี๋อย่างเย็นชา สายตานั้นคล้ายกับกำลังมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง “ฉีหลงเคยบอกฉันว่า นายเป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้ที่ไม่ด้อยไปกว่าลั่วล่างเลย นายไม่อยากเป็นคนโจมตีซ้ายขวาของทีมเลยหรือไง?”
เซี่ยอี๋เอ่ยด้วยเสียงหัวเราะขมขื่นว่า “ถ้าทีมมีแค่พวกเราห้าคน ไม่มีลูกพี่หลานอยู่ บางทีฉันอาจจะทะเยอทะยานจนแย่งชิงตำแหน่งคนโจมตีซ้ายก็ได้ แต่ว่า…” เขาส่ายหน้าพูดว่า “หัวหน้ากับลั่วล่างไม่มีทางปล่อยตำแหน่งคนโจมตีซ้ายขวานี้แน่นอน และสำหรับลูกพี่หลานแล้ว คนโจมตีซ้ายขวาคือหัวหน้ากับลั่วล่างที่ตัวเองคุ้นเคยดีที่สุด ร่วมมือได้เข้าขากันมากที่สุด นี่ทำให้นายยอมรับได้มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันรู้ตัวเองดีว่าช่วงเวลาสามปียังไม่พอให้ฉันแย่งชิงตำแหน่งนี้จากในมือพวกเขา”
เซี่ยอี๋กล่าวถึงตรงนี้ แววตาพลันเฉียบคมขึ้นมา “แน่นอนว่าผ่านไปอีกสามปีหรือห้าปี รอฉันมีความมั่นใจว่าว่าเข้าขากับลูกพี่หลานได้ไม่แพ้พวกเขาสองคนแล้ว ฉันจะแย่งชิงบทบาทนี้ให้ได้”
ตอนที่เซี่ยอี๋ใคร่ครวญนั้นก็เคยคิดเรื่องหลิงหลานไม่อยู่เหมือนกัน เขามีความหวังมากๆ ในการรับหน้าที่เป็นคนโจมตีซ้ายขวาจากรูปขบวนที่มีฉีหลงเป็นหัวหน้า แต่เซี่ยอี๋เชื่อว่า จากความสามารถของหลิงหลาน ขอเพียงอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายฟื้นฟูหายดี การเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งย่อมเป็นสิ่งที่เขาได้มาง่ายๆ หนึ่งปีให้หลังหลิงหลานต้องพลิกสถานการณ์คืนได้แน่นอนและกลับมาที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งใหม่ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องพิจารณาสถานการณ์ของหนึ่งปีให้หลัง
คำพูดของเซี่ยอี๋ทำให้หลิงหลานตื้นตันใจอยู่บ้าง ไม่คาดคิดว่าตอนที่เซี่ยอี๋คิดบทบาทในทีมจะนับเธอเข้าไปในทีมด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของเธอพลาดพลั้งส่งเธอเข้ามาที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งละก็ เธอก็คงรู้สึกผิดต่อเซี่ยอี๋ที่ดิ้นรนพยายามอย่างยากลำบากเพื่อให้ได้คำตอบนี้มา…
หลิงหลานมองเซี่ยอี๋อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จากนั้นค่อยพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว!” เธอกล่าวจบก็หมุนกายจากไป เดินนำหน้าออกไปจากห้องโถงของชานชาลาหมายเลขเก้าเป็นคนแรก
เซี่ยอี๋ได้ยินคำกล่าวก็ตะลึงงันไป ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคนี้ของหลิงหลานหมายความว่าอะไรกันแน่ ในตอนนี้เอง ลั่วล่างก็ผลักเซี่ยอี๋ด้วยความตื่นเต้น และด่าด้วยรอยยิ้มว่า “โง่เง่า! ลูกพี่ยอมรับนายแล้วไง”
คำพูดของลั่วล่างทำให้เซี่ยอี๋ประหลาดใจระคนยินดีอย่างยิ่งยวด เขาได้รับการยอมรับจากลูกพี่หลานแล้วจริงๆ เหรอ? ดีเหลือเกิน! ในที่สุดหัวใจที่ลอยโตงเตงมาสามเดือนก็ร่วงลงไปยังจุดที่แท้จริงของมันได้อย่างมั่นคง เขารู้สึกว่าดวงตาทั้งสองข้างของตัวเองฉ่ำรื้น ไม่นึกเลยว่าเขาอยากจะร้องไห้ด้วยความตื่นเต้น นี่มันน่าขายหน้าเกินไปแล้วจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่เหล่านายท่านอย่างเขาควรทำเลยจริงๆ…
ฉีหลงตามหลิงหลานไปติดๆ ตอนที่เขาเดินผ่านเซี่ยอี๋ก็ตบบ่าเขาหนักๆ บ่งบอกว่าแสดงความยินดี ช่วงเวลาสามปีทำให้พวกเขาเห็นเซี่ยอี๋เป็นพี่น้องของตัวเองแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้เขาได้รับการยอมรับจากลูกพี่หลานด้วยใจจริง ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นเรื่องน่าเสียใจสำหรับพวกเขาแล้ว
หานจี้จวินที่ตามหลังฉีหลงก็พยักหน้าให้เซี่ยอี๋ ถึงแม้ว่าสีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมเหมือนเคย แต่ในแววตายากจะปกปิดการแสดงความยินดีและความดีใจของเขาที่มีต่อเซี่ยอี๋
เมื่อหลินจงชิงเดินผ่านข้างกายเซี่ยอี๋ก็เอ่ยด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ว่า “เซี่ยอี๋ ยินดีด้วยนะ” หลินจงชิงที่เคยได้รับการประเมินจากหลิงหลานแบบเดียวกันเข้าใจความรู้สึกของเซี่ยอี๋ในเวลานี้ดี ปีนั้นตอนที่รู้ว่าถูกยอมรับแล้ว เขาก็ตื้นเต้นจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้เช่นกัน เพราะนี่หมายความว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมที่แท้จริงแล้ว ไม่ได้เป็นแขกที่ผ่านเข้ามาชั่วคราว…
สุดท้ายคือลั่วล่าง เขายิ้มให้เซี่ยอี๋น้อยๆ ดูงดงามราวกับดอกท้อ ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ไหววูบทำให้คนอดใจไม่ไหวจมลงสู่ความเคลิบเคลิ้ม ทว่าคำพูดต่อมาของลั่วล่างได้ทำลายคาถานี้ไปทันที “เจ้าโง่เซี่ยอี๋ นิ่งอึ้งเซ่อซ่าทำไมเล่า? ยังไม่ตามไปอีก?”
เซี่ยอี๋เห็นแผ่นหลังของลั่วล่างที่เดินไปไกลก็ยกเท้าตามไปท่ามกลางเสียงหัวเราะฝืดเฝื่อน
เซี่ยอี๋อดทอดถอนใจไม่ได้ การเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งของพวกเขาไม่มีทางสงบสุขปลอดภัยแน่นอน มีความเป้นไปได้สูงว่าลั่วล่างจะกลายเป็นนารีนำเภทภัยของทีมพวกเขา…เขาแทบจะจินตนาการออกได้เลยว่า เขาต้องจัดการเรื่อง ‘ทางการทูต’ ต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นเพราะลั่วล่างในโรงเรียนทหารอยู่บ่อยๆ
“ถ้าเกิดลูกพี่หลานอยู่ จะต้องควบคุมพวกปีศาจเบี่ยงเบนได้อยู่แล้ว” เซี่ยอี๋คิดเช่นนี้ เขาก็เริ่มกังวลว่าควรจะทำยังไงดีถึงจะอดทนผ่านปีแรกในโรงเรียนทหารโดยที่ไม่มีหลิงหลานนั่งบัญชาการ?
“หวังว่ามันจะเป็นแค่ความกังวลเกินเหตุของฉันเท่านั้น!” เซี่ยอี๋ได้แต่คิดแบบนี้
ทั้งหกคนเดินออกมาจากสถานี สายลมอ่อนๆ ที่เย็นสบายพัดเข้ามาทำให้ทุกคนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ถึงแม้ว่าท่าอวกาศจะเป็นพื้นที่ปิดผนึกโดยสมบูรณ์ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่มันจำลองสภาพแวดล้อมธรรมชาติของดวงดาวเอาไว้ ทำให้คนรู้สึกสุขสบายอย่างยิ่ง
ป้ายรถโฮเวอร์คาร์อยู่ด้านหน้าสถานี เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว เวลานี้กระเป๋าเป้ของหลิงหลานอยู่บนตัวฉีหลงแล้ว ในฐานะที่เป็นลูกน้องที่ทำงานดี เขาจะให้ลูกพี่แบกกระเป๋าเองได้ยังไง
หลิงหลานสอดมือสองข้างไว้ที่กระเป๋าด้วยสีหน้าสบายๆ ในเมื่อลูกน้องอยากเอาอกเอาใจ เธอก็ต้องให้โอกาสลูกน้องแสดงออกมา ยิ่งไปกว่านั้น เธอรู้ว่าร่างกายของฉีหลงแข็งแรงกำยำราวกับหมี ต่อให้แบกของเพิ่มขึ้นอีกห้าร้อยหกร้อยจินก็ไม่มีความกดดันอะไร ดังนั้นเธอเลยยินดีได้อย่างสบายใจ
โฮเวอร์คาร์ของท่าอวกาศแทบจะมาติดกันทีละคัน ทั้งหกคนแยกกันขึ้นไปนั่งโฮเวอร์คาร์สองคัน หลังจากที่กรอกพื้นที่ที่พวกเขาต้องการจะไปแล้ว โฮเวอร์คาร์ก็แล่นไปที่จุดหมายปลายทางอย่างฉับไว ตลอดทางที่ไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาต่างก็เป็นโฮเวอร์คาร์ที่บินในระดับสูงของแต่ละคัน พวกมันพุ่งทะยานไปเหมือนๆ กัน ฉากนั้นดูคล้ายกับเข้าสู่โลกแห่งความคึกคักที่ทั้งหมดเป็นโฮเวอร์คาร์ล้วนๆ
จุดลงทะเบียนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งอยู่ที่ลานจอดหมายเลข 99 ของเขต K เมื่อโฮเวอร์คาร์ของพวกหลิงหลานบินเข้าไปในเขต K แล้ว ก็ไม่เห็นโฮเวอร์คาร์ที่เต็มทั่วทั้งท้องฟ้าอีกต่อไปแล้ว โฮเวอร์คาร์คันหนึ่งที่อยู่ใกล้กับพวกเขามากที่สุดอยู่ห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตร เห็นได้ว่าคนที่เข้ามาในเขต K มีน้อยมากๆ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งไม่ใช่สถานที่ที่สอบเข้าง่ายขนาดนั้น
โฮเวอร์คาร์มาถึงลานจอดหมายเลข 99 อย่างรวดเร็ว พวกหลิงหลานเดินลงมา เบื้องหน้าลานจอดก็คือประตูทางเข้าออกบานหนึ่ง การจะเข้าไปจำเป็นต้องมีบัตรผ่าน และบัตรผ่านนี้ก็คือจดหมายตอบรับเข้าศึกษาที่ส่งมานั่นเอง
พวกฉีหลงเห็นดังนั้นก็พลันหยุดฝีเท้าด้วยสีหน้าหมองหม่น เนื่องจากพวกเขารู้ว่า ช่วงเวลาที่จะต้องบอกลาหลิงหลานกำลังจะมาถึงแล้ว เวลานี้ความตื่นเต้นในตอนแรกถูกสิ่งที่เรียกว่าความผิดหวังโศกเศร้าที่ต้องลาจากยึดครองไปหมดแล้ว
“ทำไมไม่เดินแล้วล่ะ?” เมื่อเห็นทั้งห้าคนแทบจะหยุดเดินพร้อมกัน ใบหน้าเผยความผิดหวัง ในใจหลิงหลานก็ลอบยิ้มขึ้นมา ทว่าใบหน้าของเธอกลับแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
“ลูกพี่…” ฉีหลงเป็นคนแรกที่เอ่ยปากตะโกนขึ้นมาแต่เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
…………………………