I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 206 เดินทาง
ความจริงที่ว่าหลิงหลานสามารถเข้าไปเรียนในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้ทำให้พวกฉีหลงห้าคนตื่นเต้นประหลาดใจระคนยินดีอย่างยิ่ง หลิงหลานรอให้พวกเขาใจเย็นลงแล้วพาพวกเขาเดินเข้าไปในชานชาลา 99
เมื่อเข้าไปในชานชาลาหมายเลข 99 ก็เห็นยานบินระหว่างดาวรุ่นเล็กลำหนึ่งจอดเทียบอย่างเงียบสงบอยู่บนลู่ตรงท่าอวกาศ ไม่จำเป็นต้องพูดเลย นี่ก็คือยานบินที่จะนำพวกเขาไปยังโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง
โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งสหพันธรัฐ ทุกคนต่างรู้ว่ามันตั้งอยู่บนดาวเสวียห่าย (ทะเลแห่งการเรียนรู้) เพียงแต่ไม่ได้ประกาศที่อยู่โดยละเอียดออกไป มีความเป็นไปได้สูงว่านี่ทำเพื่อปกป้องเหล่านักเรียน และก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเพื่อปฏิเสธไม่ให้พวกคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามารบกวน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุอะไร ความคลุมเครือของที่อยู่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งกลับเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ยานบินห่างจากพวกเขาอยู่บ้าง ทางเลื่อนตรงอัตโนมัติสายหนึ่งเชื่อมต่อกับปากทางเข้าของยานบินไว้โดยตรง ทั้งหกคนก้าวขึ้นไปบนทางเลื่อนอัตโนมัติ จับราวเอาไว้ จากนั้นพวกเขาก็ถูกส่งไปที่ปากทางเข้าของยานบินอย่างรวดเร็วท่ามกลางการพูดคุยเล่นกันอย่างสบายอารมณ์
พวกเขาเดินลงจากทางเลื่อน ขณะที่กำลังเข้าใกล้ประตูห้องโดยสารก็ได้ยินเสียงเย็นเยียบดังขึ้น “โปรดแสดงบัตรอนุญาตขึ้นยานของคุณ”
ที่แท้ก็เป็นนายทหารที่สวมชุดเครื่องแบบติดอาวุธครบครันผู้หนึ่งกำลังยืนชิดอยู่ด้านข้างภายในประตูห้องโดยสาร เขาทักทายอย่างมีมารยาทก่อนจะทำการตรวจสอบที่จำเป็นตอนขึ้นเครื่อง
หลิงหลานดึงจดหมายตอบรับที่มีขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากในกระเป๋าแล้วยื่นให้กับนายทหาร
นายทหารยื่นมือขวาออกมารับ หลังจากนั้นก็ชูมือซ้ายขึ้น ในมือซ้ายของเขามีอุปกรณ์ขนาดเล็กอยู่เครื่องหนึ่ง หลิงหลานปรายตามองแวบหนึ่งก็รู้ว่านี่เป็นเครื่องสแกนข้อมูลรุ่นใหม่ล่าสุดของสหพันธรัฐ และก็เป็นรุ่นที่พกพาสบายที่สุดด้วยเช่นกัน
นายทหารคนนั้นหยิบจดหมายตอบรับของหลิงหลานไปทาบบนเครื่องสแกนตามที่คาดไว้จริงๆ จากนั้นหน้าจอบนเครื่องสแกนพลันปรากฏข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลิงหลานขึ้นมา
หลังจากที่เขาเห็นอักษรตัวใหญ่คำว่า ‘ข้อมูลตรงกัน’ นายทหารค่อยคืนจดหมายตอบรับในมือให้หลิงหลาน ในขณะเดียวกันข้อมูลบนหน้าจอเครื่องสแกนได้หายไปอย่างเงียบเชียบ
ตรงส่วนภายในที่หลิงหลานมองไม่เห็น ชื่อหลิงหลานที่เดิมทีส่องแสงสีขาวในรายชื่อลงทะเบียนเปลี่ยนเป็นสีดำฉับพลัน ข้อมูลของหลิงหลานถูกส่งไปที่คลังข้อมูลออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งในชั่วพริบตาก่อนจะตั้งเป็นไฟล์นักเรียน
แน่นอนว่า นี่ก็คือมาตรการอย่างหนึ่งเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มีพวกคนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องแทรกซึมเข้ามา ถ้ามีคนปลอมแปลงจดหมายตอบรับเข้าศึกษาของหลิงหลานแล้วมาลงทะเบียน รายชื่อลงทะเบียนที่ไม่มีชื่อของหลิงหลานแล้วจะปฏิเสธอีกฝ่ายทันที ในเวลาเดียวกันมันก็จะส่งข้อมูลของหลิงหลานที่สร้างเป็นไฟล์ขึ้นแล้วไปให้สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติเช่นกัน จากนั้นสำนักงานความมั่นคงจะส่งอัยการมาตรวจสอบทั้งสองคน สุดท้ายเมื่อยืนยันความจริงได้แล้วก็จะมอบคำตัดสินให้
สาเหตุที่เข้มงวดขนาดนี้ทั้งหมดเป็นเพราะว่าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเป็นค่ายรวมเด็กหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดจากทั่วทั้งสหพันรัฐ ถ้าหากถูกฝ่ายสายลับของศัตรูแทรกซึมเข้ามาได้สำเร็จแล้วล้างบางนักเรียนขึ้นมาละก็ สหพันธรัฐไม่เพียงขาดกำลังรบไปประมาณสิบปี มันอาจจะทำให้การสืบทอดมรดกเกิดการขาดตอนด้วย นี่เป็นเรื่องที่สหพันธรัฐไม่อาจแบกรับไหว ดังนั้นช่วงเวลาลงทะเบียนของนักเรียนในแต่ละปีคือช่วงเวลาที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติรู้สึกกดดันหนักที่สุด
พวกฉีหลงห้าคนถูกตรวจสอบผ่านตามไปทีละคน จากนั้นพวกหลิงหลานหกคนค่อยเดินเข้าไปยังด้านในยานบิน ถึงแม้จะบอกว่าเป็นยานบินรุ่นเล็ก แต่ว่าพื้นที่ด้านในก็ใหญ่อยู่เหมือนกัน มันยังใหญ่กว่าเรือสำราญรุ่นใหญ่ในชาติก่อนของหลิงหลานห้าหกเท่า
พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่บนยานบินพาไปที่ห้องโถงแห่งหนึ่ง ด้านในมีที่นั่งอยู่มากมาย แต่พวกมันไม่ได้วางเรียงทีละแถวเหมือนเก้าอี้นั่งบนเครื่องบินในชาติก่อน หากแต่เหมือนโต๊ะกลมก็ไม่ปาน เก้าอี้นวมที่สบายสุดขีดหกตัวล้อมรอบโต๊ะตัวหนึ่งไว้ แทบจะยึดพื้นที่ทั่วทั้งห้องโถง
หลิงหลานประมาณการณ์ดูแล้วว่า ถ้าหากนั่งเต็มทุกที่นั่งก็เกือบจะถึงเจ็ดร้อยแปดร้อยคน อย่างไรก็ตาม เวลานี้ในห้องโถงกลับดูโหรงเหรง ด้านในมีคนอยู่ไม่มากนัก ดูท่าเวลาลงทะเบียนยังเร็วไปอยู่บ้าง นักเรียนมากมายยังมาไม่ถึง
หลิงหลานเลือกนั่งลงตรงโต๊ะตัวหนึ่งที่ใกล้กับทางเข้าห้องโถงอย่างส่งเดช พวกฉีหลงห้าคนเดินตามหลิงหลานไป
เวลาผ่านไป นักเรียนในยานบินเริ่มเยอะขึ้น ห้องโถงที่เงียบสงัดในตอนแรกก็เริ่มดังเอะอะขึ้นมาเช่นกัน คนรู้จักคุ้นเคยกันนั่งลงด้วยกัน สีหน้าตื่นเต้นปกคลุมอยู่เต็มดวงหน้าอ่อนเยาว์ทุกดวง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาแต่ละคนต่างเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับชีวิตในโรงเรียนทหารของตัวเอง
นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือยึดครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งในหมู่นักเรียนเหล่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อพวกเขาเข้ามา มีบางคนอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นว่าหลิงหลานนั่งอยู่ในนั้น แต่เมื่อจำนวนคนเพิ่มขึ้นย่อมต้องมีนักเรียนที่มีสายตาแหลมคมสังเกตเห็นหลิงหลานที่เดิมทีไม่ควรปรากฎตัวขึ้นที่นี่ สิ่งแรกที่พวกเขาทำก็คือวิ่งเข้ามาทักทายหลิงหลานด้วยความตื่นเต้น ราชาไร้มงกุฎหลิงหลานคือคนที่ทำให้พวกเขายอมรับอย่างหมดหัวใจอย่างไม่มีข้อสงสัย
จากนั้นนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็รู้ว่าหลิงหลานอยู่ที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาแต่ละคนต่างก็วิ่งเข้าไปทักทายเอง นี่ทำให้สายตาของนักเรียนจากสถาบันลูกเสือแห่งอื่นๆ เริ่มจริงจังขึ้นมา พวกเขาเริ่มแอบคาดเดากันว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมีชื่อเสียงมากขนาดนี้ ทำให้เหล่านักเรียนที่มีพรสวรรค์เป็นลูกรักพระเจ้าเหมือนกันวิ่งเข้าไปทักทายเอง
พวกเขาเห็นชัดเจนมากว่าสีหน้าของนักเรียนเหล่านี้ไม่มีการฝืนใจเลย มันคือความเต็มใจ เมื่อพวกเขากลับมายังที่นั่งของตัวเองก็เห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มบนใบหน้าสว่างไสวมากขึ้น น้ำเสียงพูดคุยกันก็ยิ่งดูเปิดเผยเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าความมั่นใจของพวกเขาก็เพิ่มสูงขึ้นหลังจากกลับมาจากการทักทาย
ปฏิกิริยาตอบสนองที่ผิดปกตินี้ทำให้เหล่านักเรียนที่ไม่รู้จักหลิงหลานเริ่มหวาดหวั่นขึ้นมา กอปรกับท่าทีแต่เดิมของหลิงหลานที่ดูราบเรียบเย็นชา ปล่อยกลิ่นอายหนาวยะเยือก ทำหน้าเหมือนบอกว่าคนนอกอย่าเข้ามารบกวน ดูยังไงก็ไม่ใช่คนที่คบหาได้ง่ายขนาดนั้น
ทีมของอู่จย่งกับทีมของหลี่อิงเจี๋ยแทบจะปรากฏตัวตามกันมาติดๆ เดิมทีพวกเขาดูเหมือนขัดแย้งกัน แต่เมื่อพวกเขาเข้ามาในห้องโถงก็สังเกตเห็นหลิงหลานนั่งอยู่ในนั้น สีหน้าของทั้งคู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อเทียบกับหลี่อิงเจี๋ยที่ทำหน้าทะมึนขมวดคิ้วแล้ว อู่จย่งกลับเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจแกมยินดีเล็กน้อย เขาร้องทักทายเสียงสูงว่า “ลูกพี่หลาน!”
เสียงนี้แทบจะทำให้ทุกคนได้ยิน และก็ทำให้สีหน้าของคนที่หวาดกลัวหลิงหลานในตอนแรกเปลี่ยนไปเล็กน้อย ‘ลูกพี่หลาน’ สามคำนี้บ่งบอกอะไรได้มากมาย ความแข็งแกร่ง ฝีมือและก็มีความเป็นไปได้ว่าจะนำความกดดันมาให้พวกเขา!
นักเรียนที่สามารถสอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้ย่อมเป็นบุคคลระดับสุดยอดของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือจากเมืองต่างๆ ของโดฮา พวกเขาเป็นราชาในโลกของพวกเขาเช่นเดียวกัน เป็นผู้นำเช่นเดียวกัน ‘ลูกพี่หลาน’ สามคำนี้ทำให้หลิงหลานกลายเป็นเป้าหมายที่พวกเขารวมกลุ่มกันเป็นปรปักษ์อย่างไม่ต้องสงสัย
หลิงหลานเลิกคิ้วขึ้น พยักหน้าอย่างเฉยชาพลางกล่าวว่า “อู่จย่ง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” อู่จย่งคนนี้เจ้าเล่ห์ขึ้นมาแล้ว อย่างไรก็ตาม เดิมทีเธอก็ไม่อยากเป็นลูกพี่ของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งอยู่แล้ว หลิงหลานที่ตัดสินใจไม่ทำตัวเด่นสะดุดตาไม่สนใจอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของอู่จย่ง ถ้าหากอู่จย่งไม่มีความทะเยอทะยานไม่มีแผนการกลับทำให้เธอดูถูกเขา
“นายก็มาโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเหมือนกันเหรอ?” เรื่องที่หลิงหลานสมัครสอบที่ดาวหมิงหวงแทบจะเป็นที่รู้กันดีในหมู่ทุกคนที่สนใจหลิงหลาน นี่ทำให้นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือคนอื่นๆ ที่เดิมทีไม่กล้าถามหูผึ่งขึ้นมา รอคอยคำตอบของหลิงหลาน เนื่องจากพวกเขาก็อยากรู้เรื่องนี้เช่นกัน
หลิงหลานเอ่ยเลี่ยงๆ ว่า “ฉันโชคดีถูกทางกองทัพแนะนำเป็นพิเศษน่ะ” หลิงหลานย่อมอยากปกป้องภาพลักษณ์ยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ของหลิงเซียวต่อหน้าคนนอกแน่นอน ถึงแม้ว่าตอนนี้คนเหล่านี้จะไม่รู้ว่าหลิงเซียวคือพ่อของเธอ แต่หลิงหลานเชื่อว่าความจริงข้อนี้ไม่มีทางถูกปกปิดไว้ได้นาน เนื่องจากหลิงเซียวที่กระตือรือร้นต้องการให้คนทั้งโลกรู้ว่าเขาคือพ่อของหลิงหลานย่อมต้องหาโอกาสยืนยันสถานะของเขาต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นของเธอแน่นอน…
หลิงเซียวขุ่นเคืองใจหนักมากเกี่ยวกับเรื่องที่หลิงหลานปกปิดว่าเธอคือลูกของหลิงเซียวต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นเรียนมาโดยตลอด ดังนั้นหลิงหลานจึงรู้ดีว่า หลิงเซียวที่ดูเป็นผู้ใหญ่เฉลียวฉลาดสายตากว้างไกลย่อมทำตัวโง่ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน!
คำตอบของหลิงหลานทำให้หัวใจของพวกอู่จย่งและหลี่อิงเจี๋ยสั่นสะท้าน แต่เมื่อใคร่ครวญก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล ความแข็งแกร่งของหลิงหลานเป็นสิ่งที่พวกเขาได้ประจักษ์ร่วมกัน เชื่อว่าทางกองทัพที่รวบรวมอัจฉริยะโดดเด่นของสถาบันลูกเสือแห่งใหญ่ๆ มาตลอดย่อมไม่มีทางทิ้งอัจฉริยะแห่งยุคให้ไประเหเร่ร่อนท่ามกลางชาวบ้านอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้หรอก
อู่จย่งพูดคุยกับหลิงหลานอีกหลายประโยค จากนั้นก็นำเพื่อนร่วมทีมนั่งลงตรงตำแหน่งที่ใกล้กับหลิงหลาน ส่วนหลี่อิงเจี๋ยก็ผงกศีรษะทักทายหลิงหลานอย่างแข็งทื่อก่อนจะนำสมาชิกทีมไปนั่งอีกทางด้านหนึ่ง เมื่อเทียบกับความปลิ้นปล้อนของอู่จย่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าหลี่อิงเจี๋ยดูไม่ประสีประสามากกว่า
เวลาสิบสองนาฬิกามาถึงอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ก็เห็นหน้าจอเสมือนจริงขนาดมหึมาสี่อันปรากฏขึ้นตรงสี่ฝั่งของห้องโถง ชายวัยกลางคนที่พาดชุดเครื่องแบบกัปตันไว้บนไหล่ตามอำเภอใจปรากฏตัวขึ้นในหน้าจอขนาดใหญ่ด้วยใบหน้ามอมแมม
เขาหัวเราะหยันออกมาทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีมารยาททรามว่า “เจ้าหนูทั้งหลายที่กำลังจะเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง ฉันต้องบอกพวกเธอว่า พวกเรากำลังจะออกเดินทางแล้ว! ระยะทางครั้งนี้ใช้เวลาสองวันหนึ่งคืน ถ้าท้องหิว ฝั่งขวามือของพวกเธอก็คือห้องอาหารที่จัดอาหารให้พวกเธอ มีอะไรก็กินอย่างนั้น อย่าพูดมาก! อีกอย่าง ระหว่างที่เดินทางต้องเชื่อฟังฉัน ฉันให้พวกเธอทำอะไรก็ต้องทำ ต่อให้พวกเธอจะเป็นลูกรักสวรรค์ตอนอยู่ข้างนอก แต่เมื่ออยู่ที่นี่ พวกเธอก็เป็นแค่แมลงตัวเล็กๆ ที่ไม่อาจเล็กได้อีกแล้ว…”
คำพูดอวดดีของกัปตันทำให้ทุกคนในห้องโถงสีหน้าเปลี่ยนไป มีเพียงหลิงหลานคนเดียวเท่านั้นที่สีหน้าไม่ไหวติง เธอแค่มองกัปตันยานอวกาศที่ดูมารยาททราม นิสัยดูเหมือนจะไม่ค่อยดีในหน้าจอด้วยความเย็นชา…
กัปตันคล้ายกับสังเกตเห็นสายตาที่จับจ้องของหลิงหลาน มุมปากเขาเผยรอยยิ้มหยัน ใช้สายตายั่วยุสุดขีดกวาดมองเข้ามา แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่เขากำลังยั่วยุทุกคนที่อยู่ที่นี่ “ว่าไง? พวกเธอไม่ยอมเหรอ? ไม่เป็นไร ลูกเรือใต้บังคับบัญชาของฉันกำลังว่างจนเซ็งพอดี อยากคลายกล้ามเนื้อเอามากๆ ฉันจะให้พวกเขาบอกพวกเธอว่า อะไรคือผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ!”
หลังจากคำพูดประโยคนี้ของกัปตัน ลูกเรือที่ดูป่าเถื่อนและดูเป็นอันธพาลกลุ่มหนึ่งพลันเดินออกมาจากในเส้นทางของแต่ละมุมและปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าลูกเสือ แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยการยั่วยุเช่นเดียวกัน ราวกับอยากหาเด็กที่ขัดหูขัดตามาให้พวกเขาคลายกล้ามเนื้อ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้ทำให้นักเรียนส่วนหนึ่งตกใจกลัว แววตาที่แต่เดิมมีความขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อยค่อยๆ หายไป จากนั้นก็กลับไปบนที่นั่งของตัวเอง บอกได้ว่าพวกเขามีสติปัญญาเข้าใจเหตุผลอย่างยิ่ง และไม่อยากกลายเป็นไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดู
ฉีหลงที่นั่งอยู่ข้างๆ หลิงหลานเขยิบเข้าไปใกล้หลิงหลานเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ให้ฉันไปสั่งสอนพวกเขาไหม?” ความอวดดีของอีกฝ่ายทำให้ฉีหลงไม่สบอารมณ์มากๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ กำปั้นนี้รู้สึกคันแล้ว มันอยากต่อยตีสักยกมากๆ
แน่นอนว่า การที่ฉีหลงเสนอตัวออกไปสู้เองเป็นเพราะว่าเขามีความมั่นใจในตัวเอง นับตั้งแต่ที่ได้รับการสั่งสอนอย่างเน้นหนักจากหลิงหลาน กอปรกับฝึกฝนเพิ่มความสามารถของตัวเองอย่างสุดชีวิตในสามปีมานี้ และในระหว่างสองเดือนมานี้เขาก็ได้เข้าร่วมการผจญภัยระหว่างดวงดาวที่มีอันตรายสูง เขาผ่านศึกมานับร้อยนานแล้ว ไม่ใช่คนที่ไม่ประสีประสาอย่างในตอนนั้น
………………