I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 244 เป้าหมายของฉัน
สีหน้าของอู่จย่งเย็นเยียบ แววตาเคร่งขรึมจริงจัง “ดูเหมือนว่าพวกเราต้องพยายามกันแล้ว! หวังว่าสองปีให้หลัง กลุ่มนักเรียนใหม่ของพวกเราจะกลายเป็นหนึ่งในสี่กลุ่มอำนาจใหญ่ของโรงเรียนทหารได้ ตอนนั้นต่อให้ราชันสายฟ้าอยากกลืนกินพวกเราก็ต้องใคร่ครวญดูเหมือนกัน”
“หนึ่งใน?” หลิงหลานปรายตามองด้วยแววตาเย็นชา แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “นายคิดน้อยขนาดนี้เชียว?”
อู่จย่งตะลึงงัน “ลูกพี่หลาน…”
“เป้าหมายของฉันไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มอำนาจอะไรนั่น” คำพูดของหลิงหลานทำให้อู่จย่งมึนงงอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าหลิงหลานอยากพูดอะไรกันแน่ ไม่นึกเลยว่าคำพูดต่อมาของหลิงหลานเกือบจะทำให้เขาตกตะลึงจนหน้าคว่ำ เขาเห็นหลิงหลานชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วเท่านั้นและเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เป้าหมายของฉันคือรวบกลุ่มอำนาจของโรงเรียนทหารให้เป็นหนึ่งเดียว หรือก็คือ ตอนที่ฉันออกไปจากโรงเรียนทหาร กลุ่มอำนาจของโรงเรียนทหารจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกลุ่มของพวกเรา!”
หลิงหลานทำหน้าเย็นชา สีหน้าดูจริงจังอย่างยิ่งยวด ก็รู้แล้วว่าที่เขาพูดมาคือความคิดที่แท้จริงในใจเขา ถึงแม้ว่ารูปร่างของเขาจะไม่ได้ดูกำยำเหมือนอู่จย่ง แต่พลังอำนาจนั้นกดดันทุกคนในนี้ได้อย่างเด็ดขาด ดูมีอำนาจครอบงำอย่างหาใดเปรียบ นี่ทำให้อู่จย่งทอดถอนใจในความต่างชั้นระหว่างเขากับหลิงหลานอีกครั้ง สาเหตุที่หลิงหลานกลายเป็นลูกพี่ได้ ไม่เพียงเป็นเพราะว่าความสามารถของเขาเก่งกาจยอดเยี่ยมเท่านั้น ในเวลาเดียวกันก็เป็นเพราะว่าเขากล้าคิดเรื่องที่คนรอบข้างไม่กล้าคิด
“เอาล่ะ ลูกพี่หลาน อาศัยคำพูดประโยคนี้ของนาย ฉัน…หลี่อิงเจี๋ยขอยอมรับว่านายเป็นลูกพี่ของฉันจากใจจริง” เสียงหนึ่งดังมาจากหน้าประตู อู่จย่งไม่จำเป็นต้องหันหน้ากลับไปก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร ในที่สุดเวลานี้เจ้าคนที่นิสัยหัวดื้ออวดดีและปากแข็งอย่างหลี่อิงเจี๋ยคนนี้ก็เอ่ยปากยอมศิโรราบต่อหลิงหลานแล้ว
คำพูดประโยคนี้ของหลี่อิงเจี๋ยทำให้หลิงหลานประหลาดใจเช่นกัน เธอเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยอย่างเย้าแหย่ว่า “ฉันคิดว่า ฉันเป็นลูกพี่ของนายมาตั้งนานแล้วเสียอีก”
หลี่อิงเจี๋ยสะอึก สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูคาดไม่ถึง สุดท้ายก็เอ่ยอย่างท้อแท้ใจว่า “ช่างเถอะ ถึงยังไงฉันก็ยอมรับนายเป็นลูกพี่แล้ว นายจะว่ายังไงก็ตามใจ” หลี่อิงเจี๋ยไม่อาจปฏิเสธได้ เขาเอาชนะหลิงหลานไม่ได้ ความกล้าก็ไม่ได้มากเหมือนอีกฝ่าย ตอนนี้กระทั่งความเย่อหยิ่งที่มีมาตลอดก็พ่ายแพ้ให้กับหลิงหลานเหมือนกัน เขายังมีคุณสมบัติอะไรไปโต้แย้งคำพูดของหลิงหลานอีกล่ะ
ท่าทีที่ถูกทำร้ายเช่นนี้ของหลี่อิงเจี๋ยกลับทำให้หลิงหลานรู้สึกอดสงสารไม่ได้เล็กน้อย เธอยังคงคิดว่าหลี่อิงเจี๋ยที่อวดดีค่อนข้างถูกตาต้องใจมากกว่า ดังนั้นหลิงหลานจึงชี้ไปที่โซฟาข้างกายพลางกล่าวว่า “นั่งสิ หลี่อิงเจี๋ย ฉันไม่อยากให้นายทิ้งนิสัยของนายหรอกนะ ขอเพียงมีความสามารถมากพอ ฉันไม่คิดว่าความอวดดีจะมีปัญหาอะไร ต่อไปมีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ ก็ไปหาพวกเขา ถ้าเกิดพวกเขาช่วยไม่ได้ก็มาหาฉัน…”
สิ้นคำพูดของหลิงหลาน สีหน้าของหลี่อิงเจี๋ยก็เชิดขึ้นมาอีกครั้ง แววตาโชนแสงชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ หางที่มองไม่เห็นเริ่มกระดกสูงขึ้นไปทุกที อู่จย่ง ฉีหลงและคนอื่นๆ เบือนหน้าหนีอย่างพูดไม่ออก ทนมองตรงๆ ไม่ได้ ‘เจ้าเด็กใสซื่อคนนี้ถูกลูกพี่หลานหลอกให้เดินไปบนเส้นทางตัวร้ายอีกแล้ว ทั้งๆ ที่มีโอกาสกลับตัวกลับใจอยู่ชัดๆ…’
หลิงหลานเห็นสีหน้าของหลี่อิงเจี๋ยก็รู้สึกร้อนตัวอยู่บ้าง เธอล่อลวงให้เด็กใสซื่อไปทำเรื่องชั่วร้ายแบบนี้จะถูกฟ้าผ่าไหมนะ…
……..
เวลาผ่านไปเร็วมาก ไม่นานก็ถึงช่วงเวลาประลองระหว่างเหลยถิงกับกลุ่มนักเรียนใหม่ ภายในหอต่อสู้สำหรับโรงเรียนทหารโดยเฉพาะเต็มไปด้วยนักเรียนจากหลากหลายชั้นปีที่มารวมตัวกันอยู่นานแล้ว แน่นอนว่านักเรียนส่วนใหญ่ต่างเข้ามาดูเหลยถิงทารุณกลุ่มนักเรียนใหม่ มีเพียงนักเรียนจำนวนน้อยมากๆ ที่กอดความเพ้อฝันเล็กน้อยหวังว่ากลุ่มนักเรียนใหม่ของเด็กใหม่จะสร้างปาฏิหาริย์ได้ ต่อสู้เพื่อเกียรติยศของนักเรียนใหม่อย่างพวกเขา
หลี่หลานเฟิงกับจ้าวจวิ้นสองคนมาถึงค่อนข้างสายแล้ว แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปเบียดตรงด้านล่างหน้าสนามประลอง พวกเขามีบ็อกซ์ VIP ของหอต่อสู้เฉพาะของพวกเขาหนึ่งห้องในฐานะที่เป็นหนึ่งในสี่กลุ่มอำนาจใหญ่ของโรงเรียนทหาร
พวกเขาขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นบนก่อนจะเดินไปถึงหน้าห้องแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง บนหน้าประตูมีหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดประมาณสามสิบเซนติเมตร หลี่หลานเฟิงชูมือขวาขึ้นแล้วโบกไปที่หน้าจอ จากนั้นก็เห็นประตูห้องเลื่อนไปทางด้านซ้ายเบาๆ เผยให้เห็นทางเข้าที่มีความกว้างเกือบสองเมตร ทั้งสองคนเดินตรงเข้าไปโดยไม่ลังเล
เมื่อเข้าไปในห้องก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นภายในห้องว่า “ฮ่าๆ พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา หลานเฟิง มาสิ ฉันจะแนะนำเด็กที่มีพรสวรรค์ให้นายรู้จัก”
หลี่หลานเฟิงมองไปตามเสียงนี้แล้วก็เห็นหานอวี้นั่งอยู่บนโซฟากำลังโบกมือให้เขาอยู่ ท่าทีนั้นเรียกได้ว่าไม่มีความเกรงใจอะไรเลย และข้างกายเขามีเด็กหนุ่มที่ดูไม่ประสีประสาสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรกำลังยืนตัวตรงอยู่หนึ่งคน ดูท่าน่าจะเป็นนักเรียนใหม่ของปีนี้ เวลานี้เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แววตาแฝงไปด้วยความเคารพอยู่นิดหน่อย
มุมปากของหลี่หลานเฟิงยกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา ทำให้เขาดูอบอุ่นอย่างหาใดเปรียบ ทว่ารอยยิ้มนี้กลับทำให้ฝ่ายตรงข้ามอึ้งไป แววตามีร่องรอยความงุนงงพาดผ่านอย่างรวดเร็ว แต่เขาเก็บงำเอาไว้แล้วกลับคืนสู่สีหน้าดังเดิมได้เร็วมาก
รอยยิ้มตรงมุมปากของหลี่หลานเฟิงกดลึกขึ้น เขาหันหน้ามองไปทางหานอวี้ที่อยู่ด้านข้างซึ่งกำลังมองสีหน้าเขาอย่างจริงจัง เขาเหมือนกับไม่รู้สึกถึงท่าทีที่ดูไร้มารยาทเล็กน้อยของหานอวี้เมื่อสักครู่นี้เลย เขายิ้มแย้มกล่าวโดยที่ไม่มีร่องรอยความคับข้องใจเลยสักนิดว่า “หานอวี้ ดีจริงเชียว ยินดีด้วยที่นายรับขุนพลอีกคน แต่ไม่ว่าจะดีใจอีกแค่ไหนก็ต้องทดสอบดูดีๆ นะ อย่าโดนคนฉวยโอกาสตอนที่วุ่นวายอีกล่ะ”
คำพูดของหลี่หลานเฟิงทำให้สีหน้าของหานอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่ทำให้เขานึกถึงเมื่อหลายวันก่อนเขารับกลุ่มนักเรียนสอบเข้าที่มาจากดาวของพวกเขาด้วยความตื่นเต้นยินดี ตอนนั้นเขาพาคนเหล่านั้นมาโอ้อวดหลี่หลานเฟิง เพราะว่าคราวนี้ดาวเว่ยหลานที่เป็นดาวระดับสามของหลี่หลานเฟิงไม่มีคนสอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้เลยสักคน
ไม่นึกเลยว่าคนพวกนี้จะเป็นคนที่ไร้ประโยชน์อยู่บ้าง พอถูกพลังกดดันของจ้าวจวิ้นสะกดเอาไว้ก็เก็บหางไว้แน่นกลัวหัวหดไม่กล้าพูดออกมาสักประโยค จวบจนวันนี้เมื่อนึกถึงสีหน้าขี้ขลาดหวาดกลัวนั้นก็ทำให้เขาโมโหอย่างยิ่งยวด รู้สึกมาตลอดว่าการแสดงออกของคนพวกนั้นเป็นการขายหน้าดาวอู๋จี๋ของพวกเขา
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าจ้าวจวิ้นกับหลี่หลานเฟิงต่างมาจากดาวระดับสาม เพียงแต่ทั้งสองคนมาจากดาวที่แตกต่างกัน จ้าวจวิ้นมาจากดาวชื่อเหยียน ส่วนหลี่หลานเฟิงมาจากดาวเว่ยหลาน แต่ดาวอู๋จี๋เป็นดาวระดับหนึ่งของสหพันธรัฐ ไม่ว่าจะเป็นระดับหรือว่าทรัพยากรสวัสดิการต่างสูงกว่าดาวระดับสามมาก ดังนั้นหานอวี้จึงโกรธขึ้งที่ขายหน้าต่อหน้าจ้าวจวิ้นกับหลี่หลานเฟิง
หานอวี้มองหลี่หลานเฟิงด้วยความจริงจังแวบหนึ่ง อยากดูว่าเขาจงใจหยิบคำพูดมาถากถางเขาหรือเปล่า แต่แววตาของหลี่หลานเฟิงกลับกระจ่างใสอย่างหาใดเปรียบ รอยยิ้มอบอุ่น กลิ่นอายอ่อนโยนไม่มีเจตนาร้ายเลยสักนิดเดียว หรือว่าเขาคิดมากไป?
หานอวี้มองไม่เห็นความผิดปกติของหลี่หลานเฟิงก็แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “เหอะ ฉันจะทำผิดพลาดซ้ำเดิมได้หรือไง?” เขาชี้ไปยังเด็กหนุ่มข้างกายพลางกล่าวว่า “หลานเฟิง นี่เป็นรุ่นน้องฉัน ชื่อว่าโจวย่า ภาควิชาของเขาคือยุทธวิธีทางทหาร เขาเป็นอันดับหนึ่งในภาควิชายุทธวิธีทางทหาร ของนักเรียนใหม่ในปีนี้” ตอนที่เอ่ยคำพูดประโยคนี้ สีหน้าของหานอวี้ดูภาคภูมิใจ เขายังไม่ลืมปรายตาสังเกตสีหน้าของหลี่หลานเฟิง ดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างกลับเสียแรงเปล่า สีหน้าของหลี่หลานเฟิงยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
หานอวี้สูญเสียความมั่นใจเล็กน้อย เขาหันหน้าไปเอ่ยแนะนำให้เด็กหนุ่มคนนั้นว่า “คนนี้ก็คือหลี่หลานเฟิง เสนาธิการของกลุ่มหุ่นรบอู๋จี๋เรา ต่อไปนายต้องเรียนรู้กับพี่หลี่เอาไว้ให้มากๆ นะ หลังจากนี้อนาคตของอู๋จี๋ต้องอาศัยนายวางแผนแล้ว”
“พี่หลี่ สวัสดีครับ ต่อไปก็รบกวนคุณดูแลผมให้มากๆ แล้ว” โจวย่าวันทยหัตถ์ของนักเรียนทหารให้หลี่หลานเฟิง จ้องมองชายหนุ่มที่มีกลิ่นอายอ่อนโยนตรงหน้าเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้
ตอนที่หลี่หลานเฟิงยังไม่มา หัวหน้ากลุ่มหานอวี้บอกใบ้ในคำพูด หวังว่าเขาจะแทนที่ตำแหน่งของหลี่หลานเฟิงกลายเป็นหัวหน้านักกลยุทธ์ของกลุ่มหุ่นรบอู๋จี๋เร็วๆ ได้ เขาได้ฟังแล้วย่อมรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งยวด คำพูดของหัวหน้าหานอี้ยืนยันว่าอีกฝ่ายไว้ใจและให้ความสำคัญต่อเขา แต่เขาไม่อาจทระนงตนพึงพอใจจนบุ่มบ่ามล่วงเกินหลี่หลานเฟิงเพราะเหตุนี้ได้
ความจริงแล้วโจวย่าฟังออกได้รางๆ จากในคำพูดของหัวหน้าหานอวี้ว่าหัวหน้ารู้สึกหวั่นเกรงต่อหลี่หลานเฟิงอยู่บ้าง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่แตะต้องง่ายๆ แน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถยึดครองตำแหน่งหัวหน้านักกลยุทธ์ของกลุ่มหุ่นรบอู๋จี๋มาได้อย่างมั่นคง
หลี่หลานเฟิงทำความเคารพกลับด้วยท่าทีสุภาพอย่างมาก กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “โจวย่าสินะ ไม่ต้องมีมารยาทขนาดนั้นหรอก ฉันไม่ได้เรียนภาควิชายุทธวิธี หัวหน้าหานอวี้แค่ขาดคนในตำแหน่งสำคัญขนาดนี้ ฉันก็เลยฝืนใจขึ้นตำแหน่งเท่านั้น ตอนนี้นายมาแล้ว ฉันก็ปลดภาระบนไหล่ได้เสียที ก็เหมือนกับที่หัวหน้าหานอี้พูดไว้ อนาคตของกลุ่มหุ่นรบอู๋จี้ต้องพึ่งพวกนายแล้ว”
หลี่หลานเฟินกล่าวจบก็ไม่ลืมตบบ่าโจวย่าบ่งบอกว่าให้กำลังใจ หลังจากนั้นก็หาโซฟาสักตัวแล้วนั่งลงไป สีหน้าของเขาเหมือนกับคำพูดของเขาจริงๆ ดูผ่อนคลายไม่น้อย เหมือนกับว่าที่เขาพูดมาก็คือคำพูดในใจของเขา
นี่ทำให้หานอวี้กับเว่ยจี้ที่คอยเฝ้าสังเกตหลี่หลานเฟิงอดขมวดคิ้วไม่ได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่พวกเขาหวั่นเกรงหลี่หลานเฟิงมาตลอด สีหน้าของหลี่หลานเฟิงสงบนิ่ง อ่อนโยนไม่มีใจทะเยอทะยานเสมอ ถึงขนาดที่กล่าวได้ว่าพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่บ้าง แต่ว่านักเรียนทหารที่โดดเด่นทุกด้านจะไม่มีความคิดทะเยอทะยานเลยสักนิดจริงๆ เหรอ? ทั้งสองคนอดสบตากันอีกครั้งไม่ได้ก่อนจะเห็นความระแวงสงสัยของกันและกัน
เว่ยจี้เก็บสายตากลับมา ข่มกลั้นความสงสัยในใจเอาไว้ เขาลุกขึ้นเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “จ้าวจวิ้น นายยืนตรงหน้าประตูทำไมเล่า ยังไม่เข้ามานั่งอีก? พอดีข้างๆ ฉันก็มีอัจฉริยะของอู๋จีเราที่จะให้นายทำความรู้จักเหมือนกัน” เขาชี้ไปยังที่นั่งข้างกายสื่อว่าให้จ้าวจวิ้นเข้ามา
เดิมทีจ้าวจวิ้นอยู่ข้างๆ มองดูการแทงข้างหลังอย่างเปิดเผยของหลายคนในห้องอย่างเย็นชา ตอนนี้พอเห็นเว่ยจี้ทักทายเขา ดวงหน้าที่อำมหิตแข็งกระด้างเย็นชาพลันปรากฏร่องรอยความสนใจขึ้นมา เขาเดินขึ้นหน้า จ้องมองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าเฉื่อยชาที่ยืนอยู่ข้างกายเว่ยจี้แล้วถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “เป็นอัจฉริยะด้านการควบคุมหุ่นรบเหรอ?”
เว่ยจี้ได้ยินคำพูดก็สะอึกไปทันใดก่อนจะเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองว่า “จ้าวจวิ้น นายรู้ดีว่านักเรียนใหม่พวกนี้เพิ่งจะได้สัมผัสหุ่นรบ ต่อให้มีพรสวรรค์อีกสักแค่ไหนก็ดูไม่ออกในช่วงเวลาสั้นๆ ขนาดนี้หรอก”
จ้าวจวิ้นถลึงตามองเว่ยจี้ด้วยความไม่พอใจแวบหนึ่ง “ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันสนใจแค่การควบคุมหุ่นรบเท่านั้น นายหลอกฉันทำไม?”
เว่ยจี้ชี้ไปที่จ้าวจวิ้นอย่างจนปัญญา สุดท้ายก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “ได้ๆๆ ถือว่าฉันผิดเอง แต่ว่าหวังฮุยคนนี้เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ของดาวอู๋จี๋เรานะ เขาไปถึงขั้นสูงสุดของระดับขัดเกลาโดยสมบูรณ์แล้ว ขาดอีกครึ่งก้าวก็สามารถเข้าสู่ระดับพลังปราณได้” น้ำเสียงของเว่ยจี้เผยร่องรอยความภาคภูมิใจออกมาเล็กน้อย
ควรรู้เอาไว้ว่าหลายปีมานี้มีเพียงจางจิงอันคนเดียวที่เลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับพลังปราณขั้นต้นก่อนเข้าโรงเรียนทหาร ไม่ว่าคนอื่นๆ แข็งแกร่งจะอีกสักแค่ไหนก็อยู่แค่ระดับขัดเกลาขั้นสูงสุดเท่านั้น ต่อให้เป็นราชันสายฟ้าเฉียวถิงอันดับหนึ่งของโรงเรียนทหารในตอนนี้ ตอนที่เขาเข้าสู่โรงเรียนทหารในปีนั้นก็อยู่แค่ระดับขัดเกลาขั้นสูงสุดเช่นกัน ด้อยกว่าหวังฮุยขั้นหนึ่ง
แน่นอนว่าตอนที่ราชันสายฟ้าเป็นนักเรียนใหม่ก็แสดงพรสวรรค์ด้านควบคุมหุ่นรบที่น่ากลัวของเขาออกมา ดังนั้นตอนปีสองเขาก็เริ่มกดดันจางจิงอัน จนกระทั่งตอนนี้ก็สลัดจางจิงอันทิ้งไปหลายช่วงหัว กลายเป็นอันดับหนึ่งของโรงเรียนทหารทันที