I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 257 ทะลวงขีดจำกัดยามอับจน
ที่แท้เนี่ยเฟิงหมิงที่ต่อสู้ประชิดตัวกับฉีหลงมาตลอดจู่ๆ ก็ถอยหลัง ออกห่างจากฉีหลงฉับพลัน เดิมทีฉีหลงก็ไม่ใช่นักสู้ที่โดดเด่นด้านความเร็วอยู่แล้ว การเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดของฝ่ายตรงข้ามทำให้เขาตามไม่ทัน เว้นระยะห่างไปช่วงหนึ่งทันที
ดวงตาทั้งสองข้างของหลิงหลานส่องรัศมีเย็นเยียบออกมาแวบหนึ่ง เธอรู้ดีว่าเนี่ยเฟิงหมิงน่าจะปล่อยท่าไม้ตายออกมาแล้ว!
เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ ร่างของเนี่ยเฟิงหมิงพลันก้มลง หลังจากนั้นก็กระโดดขึ้นมาทันใด ร่างของเขาที่อยู่กลางอากาศเหมือนกับมีพลังสายหนึ่งไหลนองจากใต้เท้าไปยังแขนขวาของเขา
‘แควก!’ แขนขวาของเนี่ยเฟิงหมิงโป่งพองขึ้นโดยพลัน กล้ามเนื้อที่เด้งขึ้นมาเบียดชุดเครื่องแบบของเขาจนปริออก แขนเสื้อฉีกขาดจนหมด
“หมัดอัดอากาศ!” เนี่ยเฟิงหมิงตะโกนเสียงดังลั่น มือขวากำหมัดชกใส่ฉีหลงอย่างรุนแรง
“มาพอดีเลย!” จิตวิญญาณต่อสู้ในดวงตาทั้งสองข้างของฉีหลงลุกโชน ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าเขาสู้ไม่ได้ ฉีหลงที่ไม่มีทางกลัวหัวหด ยังคงกวัดแกว่งหมัดขวาออกไปอย่างเฉียบขาด “คอยดูหมัดหนึ่งนิ้วของฉันมั่ง!” มีเพียงหมัดหนึ่งนิ้วขั้นสามเท่านั้นที่อาจจะช่วยเขารับกระบวนท่านี้ได้
เมื่อเห็นฉากนี้ ต่อให้เป็นคนที่ใจเย็นอย่างหลิงหลานก็นั่งไม่ติดเหมือนกัน เธอลุกพรวดขึ้นมา รอคอยฉากจบสุดท้ายด้วยสีหน้าทะมึน
เสียง ‘ปัง!’ ดังสนั่น หมัดสองข้างปะทะกันกลางอากาศ พละกำลังไร้ที่สิ้นสุดพรั่งพรูออกมาจากกำปั้นของอีกฝ่าย แผ่กระจายออกจากบริเวณที่กำปั้นหักล้างกัน พลังสายนี้สั่นสะเทือนทั่วทั้งเวทีประลองทันทีจนเกิดเสียงดังครืดคราดไปทั่วเวทีประลอง นอกจากนี้ยังสั่นไหวขึ้นมาอีกด้วย
พื้นใต้เท้าทั้งสองคนแตกออกทันใด แน่นอนว่านี่เป็นเพียงภาพสามมิติเสมือนจริงเท่านั้น ทว่ามันทำให้คนสัมผัสเหมือนของจริง เหมือนกับว่าวินาทีถัดมาเวทีประลองใต้เท้าพวกเขาไม่อาจฝืนทนได้จริงๆ จะพังทลายลงโดยสิ้นเชิง
รอยแตกแผ่ขยายออกไปอย่างฉับไว ความเร็วรวมถึงขอบเขตที่แผ่ขยายจากเนี่ยเฟิงหมิงน้อยกว่าเล็กน้อย ขณะที่ของฉีหลงกลับแผ่ขยายใหญ่กว่าและรวดเร็วกว่า จุดนี้ก็ยืนยันแล้วว่าพละกำลังที่ฉีหลงอาศัยหมัดหนึ่งนิ้วขั้นสามมาซ้อนทับกันยังด้อยกว่าพละกำลังจากกำลังภายในของอีกฝ่ายเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นแรงสะท้อนกลับใต้เท้าเขาคงไม่ใหญ่ขนาดนี้
หมัดของทั้งสองคนหักล้างกันประมาณหลายวินาที ท้ายที่สุดทั้งสองคนก็ไม่อาจแบกรับพลังมหาศาลสองสายที่ต่อต้านกันนี้ได้ ก่อนจะถูกผลักกระเด็นลอยออกไปพร้อมกัน
เนี่ยเฟิงหมิงพลิกตัวกลางอากาศ ปัดแรงสะท้อนกลับออกไปแล้วค่อยยืนตรงมุมหนึ่งของเวทีประลองอย่างมั่นคง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เขายังคงรู้สึกว่าเลือดลมปั่นป่วน ตรงลำคอมีกลิ่นคาวหวานๆ กำลังจะขย้อนออกมา เขากัดฟันกรอดฉับพลัน ฝืนข่มกลั้นเลือดลมนี้ไว้ ในฐานะที่เขาเป็นยอดฝีมืออันดับสองด้านการต่อสู้มือเปล่าของเหลยถิง เขาไม่อนุญาตให้ตัวเองถูกคนโจมตีจนได้รับบาดเจ็บบนเวทีประลองได้ นี่คือศักดิ์ศรีของเขา
ส่วนฉีหลงก็น่าอนาถยิ่งกว่า เขาไม่สามารถปัดพลังได้สบายๆ อย่างเนี่ยเฟิงหมิง เขาถูกซัดกระเด็นออกไปทันที กระอักเลือดออกมาขณะอยู่กลางอากาศโดยที่ไม่อาจควบคุมได้
เดิมทีภายในร่างกายของฉีหลงก็ถูกคู่ต่อสู้โจมตีใส่จนได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่เขาอาศัยร่างกายที่แข็งแรงทนทานสะกดกลั้นเอาไว้ตลอด ทว่าตอนนี้หลังจากที่ถูกพลังปราณมหาศาลของอีกฝ่ายกดดัน เขาก็ข่มกลั้นอาการบาดเจ็บต่อไปไม่ไหวแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น การฝืนต้านทานครั้งนี้ทำให้เขาบาดเจ็บมากขึ้น นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขากระอักเลือดออกมาตอนที่กระเด็นลอยออกไป
ฉีหลงไม่ได้รักหน้าตาเหมือนเนี่ยเฟิงหมิง ในเมื่อทำไม่ได้ เขาก็ไม่ฝืนทำเลย ปล่อยให้ร่างกายตัวเองล้มลงไปบนเวทีประลองอย่างหนักหน่วง ทิ้งรอยกระแทกบนเวทีประลองที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ฉีหลงกดหน้าอกล้มลงไปบนพื้น เวลานี้พันเอกถังอวี้มาถึงข้างกายเขาแล้วจากนั้นก็ก้มตัวลงมาถามว่า “ฉีหลง เธอยังสู้ไหวไหม?” เขาไม่ถามว่ายอมแพ้หรือไม่ หากแต่ถามว่าสู้ไหวไหม นี่ก็คือภาพลักษณ์ของฉีหลงที่อยู่ในใจพันเอกถังอวี้ เขาเป็นเด็กหนุ่มไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน
ฉีหลงยิ้มแยกเขี้ยวขึ้นมา กล่าวเสียงดังว่า “สู้สิครับ ทำไมถึงไม่สู้ละครับ? ขอเพียงผมยังขยับได้ ผมก็จะต่อสู้จนถึงที่สุด”
ถึงแม้เวลานี้ฉีหลงไม่มีภาพลักษณ์อะไรให้พูดได้ มุมปากของเขามีแต่คราบเลือดทั้งนั้น พูดได้ว่าดูน่ากลัวอยู่บ้าง แต่รอยยิ้มและน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของเขาทำให้พันเอกถังอวี้ประทับใจขึ้นมา ดวงหน้าสัตย์ซื่อของฉีหลงมีรอยยิ้มแน่วแน่และดูเซ่อซ่าอยู่บ้าง ทว่ามันกลับดูบริสุทธิ์มากกว่าพวกคนที่เฉลียวฉลาด เขาเป็นคนที่ทุ่มเทกายใจลงไปที่การต่อสู้ คนแบบนี้มักจะปีนไปได้สูงกว่า เดินไปได้ไกลกว่าพวกอัจฉริยะที่ชาญฉลาด
พันเอกถังอวี้รู้สึกว่าหัวใจที่เดิมทีเย็นชาแข็งกระด้างของตนเองเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา เขาตะโกนเสียงดังว่า “ดี! งั้นก็สู้ต่อ!”
ถังอวี้ลุกขึ้นยืนฉับพลันก่อนจะถอยหลังติดต่อกันสองก้าวแล้วยืนอยู่ตรงกลาง นี่หมายความว่าการประลองจำเป็นต้องหยุดลงชั่วคราว ต้องรอคอยคำประกาศของเขาก่อนถึงจะเริ่มต่อสู้ใหม่อีกครั้ง
ดวงตาสองข้างของฉีหลงลดลงต่ำฉายแววซาบซึ้งใจออกมาอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง เขาดูเหมือนคนไร้เล่ห์เหลี่ยมอย่างหาใดเปรียบ ดูเป็นคนใจดีก็ไม่ปาน แต่หานจี้จวินบอกเสมอว่าเขาใจดำมาก เขาเข้าใจเรื่องที่ควรเข้าใจทั้งหมด ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ก็เหมือนกับในตอนนี้ เขารู้ว่าการที่พันเอกถังอวี้ทำแบบนี้เป็นการช่วยเหลือเขาอยู่
สำหรับฉีหลงการหยุดการประลองเป็นผลดีต่อเขาอย่างยิ่งยวด ทำให้เขาได้รับโอกาสหอบหายใจ สามารถจัดการจุดที่บาดเจ็บได้อย่างเร่งด่วน ฉวยโอกาสคุมพลังปราณที่เดิมทีปั่นป่วนให้เข้าที่ได้ และฟื้นฟูกำลังรบของตัวเอง
ฉีหลงไม่ได้นั่งพัก หากแต่ลุกขึ้นมาช้าๆ เขาไม่อาจทำให้คนอื่นสังเกตเห็นความหวังดีของพันเอกถังอวี้ได้ พันเอกถังอวี้เห็นการเคลื่อนไหวเชื่องช้าสุดขีดของฉีหลง ดวงตาก็ฉายแววยอมรับออกมาแวบหนึ่ง สามารถใช้เวลาปรับลมหายใจโดยที่ไม่มีร่องรอยได้แบบนี้ เด็กโง่เง่านี่ไม่ได้โง่เลย อย่างไรก็ตาม นี่ก็ยิ่งดีกว่าเดิม เพราะว่าโลกนี้มีแผนการชั่วร้ายมากมายเหลือเกิน ต่อให้คนที่แข็งแกร่งอย่างนายพลหลิงเซียวผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะก็ยังหลีกหนีหลุมพรางที่คนอื่นลอบวางไว้ไม่พ้น ดังนั้นยืดหยุ่นหน่อยย่อมไม่ผิด
ถึงแม้ว่าฉีหลงได้รับโอกาสหอบพักหายใจ แต่ช่วงเวลานี้ไม่ได้ยาวมากนัก เป็นเพียงระยะเวลาหายใจไม่กี่ครั้ง ฉีหลงก็ยืนอย่างมั่นคงแล้ว
“เริ่มได้แล้วใช่ไหม?” ถังอวี้ถามฉีหลงอีกครั้ง เมื่อเห็นฉีหลงพยักหน้า เขาก็หันหน้าไปถามเนี่ยเฟิงหมิง จากนั้นก็เห็นเนี่ยเฟิงหมิงผงกศีรษะเช่นเดียวกัน มือใหญ่ก็โบกทีหนึ่งและตะโกนว่า “ประลองต่อได้!”
……
ในตอนที่พันเอกถังอวี้หยุดการประลองชั่วคราวนั้น หลินจื้อตงก็อดไม่ไหวนิ่วหน้ากล่าวว่า “ลูกพี่ฮั่ว ดูเหมือนพันเอกถังอวี้จงใจถ่วงเวลานะครับ” ต่อให้พันเอกถังอวี้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเฉียวถิงหัวหน้ากลุ่มเหลยถิง แต่ในการเดิมพันครั้งนี้ พันเอกถังอวี้โอนเอียงไปทางกลุ่มนักเรียนใหม่อย่างชัดเจน
“อืม พันเอกถังอวี้ดูชื่นชอบนักเรียนใหม่กลุ่มนี้มากเลย ดูท่าโควตาหกคนในปีหน้าจะกำหนดโควตาส่วนใหญ่ได้แล้ว” ลูกพี่ฮั่วเอ่ยพลางถอนหายใจ เดิมทีเขายังหวังว่านักเรียนใหม่ของเหลยถิงจะได้โควตามาสักหนึ่งหรือสองที่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าความหวังจะมีไม่มากแล้ว
หลินจื้อตงเอ่ยด้วยความตะลึงงันว่า “คุณกำลังบอกว่า นักเรียนใหม่พวกนี้เหรอครับ?”
“นายว่าไงล่ะ? คนที่สามารถเป็นตัวแทนกลุ่มนักเรียนใหม่ออกไปประลองได้จะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาแน่นอน และคนพวกนี้คือนักเรียนของห้องหุ่นรบในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดเดียว แค่นักเรียนใหม่สามคนที่ขึ้นไปบนสนามก็ทำให้พันเอกถังอวี้พอใจแล้ว ฉันหวังแค่ว่าสองคนถัดมาจะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดของกลุ่มนักเรียนใหม่เหมือนที่นายพูดไว้จริงๆ เช่นนั้นนักเรียนใหม่ของเหลยถิงเรายังมีความหวังกลายเป็นนักเรียนของพันเอกถังอวี้ได้บ้าง”
หลินจื้อตงเห็นลูกพี่ฮั่วมั่นคงแน่วแน่ก็กล่าวว่า “ลูกพี่ฮั่ว ขอเพียงเอาชนะการเดิมพันครั้งนี้ได้ พวกเราก็สามารถรับกลุ่มนักเรียนใหม่ได้ทั้งหมด แบบนั้นพันเอกถังอวี้ยังเป็นอาจารย์หุ่นรบของเหลยถิงเรานะครับ”
“นายพูดมาไม่ผิด แต่ว่าคนนอกไม่มีทางลงแรงให้เหลยถิงด้วยความจริงใจหรอกนะ ให้คนของเหลยถิงเราได้โควตาจะทำให้ฉันสบายใจมากกว่า” ลูกพี่ฮั่วเอ่ยชี้แนะจากใจจริง
คนจากข้างนอกที่เข้าร่วมกลุ่มคือคนที่สามารถเป็นประโยชน์ แต่ว่าไม่สามารถมอบอนาคตของเหลยถิงทั้งกลุ่มไว้ในมือพวกเขาเด็ดขาด ถ้าหากหัวใจฝ่ายตรงข้ามมีความแค้นเคือง มาตีขนาบทั้งศึกในและศึกนอก ถ้าอย่างนั้นเหลยถิงก็เกิดโศกนาฏกรรมจริงๆ แล้ว
หลินจื้อตงใจกระตุก รีบพยักหน้ากล่าวว่า “ลูกพี่ฮั่วเตือนถูกแล้ว ผมจะจำใส่ใจไว้ ยังมีเวลาอีกหนึ่งปี ไม่ว่ายังไงก็จะคิดหาวิธีทำให้พันเอกถังอวี้รับอัจฉริยะที่ดีที่สุดของเหลยถิงเราสักคนให้ได้ครับ”
ลูกพี่ฮั่วถึงค่อยเอ่ยด้วยความพึงพอใจว่า “แบบนี้ก็ดี!”
หลินจื้อตงกลับเงียบขึ้นมา เขาเริ่มคิดว่าความคิดแรกเริ่มเดิมทีของตัวเองตื้นเขินมากเกินไปหรือเปล่า ก็เหมือนกับที่ลูกพี่ฮั่วพูดไว้ คนนอกจะกลายเป็นเสาหลักในอนาคตของเหลยถิงได้จริงๆ เหรอ?
……
บนเวทีประลอง หลังจากเสียงคำว่าเริ่มได้ของพันเอกถังอวี้ เนี่ยเฟิงหมิงก็พุ่งเข้าไปฉับพลัน ดูเหมือนคู่ต่อสู้จะเป็นลูกธนูสุดแรงบินแล้ว ถ้าหากไม่ต่อสู้ตอนนี้ แล้วจะรอให้ฝ่ายตรงข้ามฟื้นฟูร่างกายแล้วค่อยต่อสู้หรือไง? เนี่ยเฟิงหมิงไม่มีทางพลาดโอกาสนี้เป็นอันขาด
หนึ่งหมัด สองหมัด สามหมัด แต่ละหมัดอัดใส่เนื้อ ต่อให้ฉีหลงได้เวลามาอีกหน่อยก็ไม่พอให้พลังปราณที่ปั่นป่วนภายในร่างกายเขาฟื้นกลับคืนเป็นปกติเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อเนี่ยเฟิงหมิงจู่โจมเข้ามา ถึงแม้ฉีหลงอยากออกหมัดไปขัดขวาง แต่กลับพบว่าเขาไม่มีเรี่ยวแรงกวัดแกว่งหมัดเลย ได้แต่เบิกตามองตัวเองถูกโจมตี
เลือดจำนวนมหาศาลไหลออกมาจากในปากฉีหลงอีกครั้งหลังจากหลายหมัดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่าอาการบาดเจ็บภายในรุนแรงมากขึ้น ฉีหลงไม่รู้ว่าตัวเองยังฝืนทนไปได้อีกเท่าไหร่ เขาไม่มีทางยอมให้ตัวเองถูกเอาชนะแบบนี้ เขานึกถึงลั่วล่างที่ยอมเสี่ยงเปิดใช้พรสวรรค์เพื่อชัยชนะ และก็นึกถึงหลี่อิงเจี๋ยที่ต่อให้พ่ายแพ้ก็จะกัดเนื้ออีกฝ่ายไปสักชิ้นอย่างโหดเหี้ยม
ดวงตาสองข้างของฉีหลงมีประกายไฟลุกขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องที่พวกเพื่อนๆ สามารถทำได้ เขาเองก็ทำได้เช่นกัน ต่อให้เอาชนะไม่ได้ เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายจ่ายค่าตอบแทนอย่างย่อยยับ!
สมองของฉีหลงยิ่งกระจ่างชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้เขาไม่มีเรี่ยวแรงกวัดแกว่งหมัด แต่สองตาของเขายังคงจ้องกำปั้นของอีกฝ่ายอย่างเด็ดเดี่ยว มองดูกำปั้นนั้นอัดใส่ร่างกายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า…
รู้สึกยังไงที่เห็นตัวเองถูกคนทรมาน? ฉีหลงไม่รู้ เขารู้แค่ว่าจากตอนแรกที่เขาไม่อาจมองเห็นกำปั้นของอีกฝ่ายได้ชัดเจน ความเร็วของกำปั้นนั้นค่อยๆ ช้าลงแล้ว จนสุดท้ายมันช้าจนดูเหมือนเป็นการเคลื่อนที่ช้าๆ มันแบ่งออกเป็นภาพทีละอันในดวงตาของเขา
นับตั้งแต่ที่อีกฝ่ายเริ่มโคจรพลังแล้วเหวี่ยงหมัด ทุกอย่างต่างปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา เห็นวงโคจรเส้นทางการโจมตีของหมัดได้อย่างชัดเจน ถึงขนาดที่เขาสามารถคาดการณ์ได้ทันทีว่าจุดปล่อยพลังอยู่ตรงตำแหน่งไหนในเส้นทางการโจมตีนั้น
เขารู้ว่าขอเพียงหมัดของเขาไปถึงตำแหน่งนั้น ไม่เพียงไม่รู้สึกถึงพลังของฝ่ายตรงข้าม มันถึงขนาดทำให้อีกฝ่ายพลังตีกลับ ทว่าตอนนี้เขาแม่งขยับตัวไม่ได้แล้ว ถ้าหากเขาเคลื่อนไหวได้ละก็ เขาก็โจมตีไปที่จุดนั้นได้ เขาเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางแพ้เด็ดขาด!
ตอนนี้ฉีหลงเดือดดาลสุดขีด ถ้าหากเขายังมีเรี่ยวแรงอยู่ ถ้าหากเขายังตอบโต้ได้…เวลานี้เอง ฉีหลงพบว่ามือของเขาขยับได้แล้วด้วยความประหลาดใจระคนยินดี เพียงแต่เขาไล่ตามจังหวะนั้นไม่ทัน เขาไม่สามารถไปถึงตำแหน่งนั้นได้ในเวลาที่เขาต้องการ
ไม่นะ จะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้เป็นอันขาด! ตอนนี้ฉีหลงไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงบนร่างแล้ว เวลานี้เขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ เร็วขึ้นอีก เร็วขึ้นอีก ยังต้องเร็วกว่านี้อีก ให้หมัดของเขาไปถึงจุดนั้นได้ในเวลาที่เขาต้องการ…
หลิงหลานที่เดิมทีกลับไปนั่งลงบนที่นั่ง ฝืนอดทนเบิกตามองฉีหลงถูกทรมานเห็นหมัดของฉีหลงกวัดแกว่ง ดวงตาของเธอก็สว่างไสวขึ้นทันใด อย่างไรก็ตาม หลิงหลานกลัวว่านี่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวโดยไม่ได้ตั้งใจของฉีหลงเท่านั้น เมื่อเธอเห็น ความเร็วของฉีหลงว่องไวมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เหนือกว่าความเร็วสูงสุดแต่เดิมของเขาแล้ว เธอก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนี้ดวงตาของหลิงหลานเผยความประหลาดใจแกมยินดีออกมา หรือว่าฉีหลงจะโชคดีขนาดนี้จริงๆ ทะลวงขีดจำกัดภายใต้สถานการณ์ที่อับจนแบบนี้ได้แล้ว?
ปัง! ปัง! ปัง! นี่เป็นเสียงของหมัดที่อัดใส่กายเนื้อ!
หน้าผากของเนี่ยเฟิงหมิงหลั่งคราบเหงื่อออกมาเป็นชั้นๆ เขาไม่รู้ว่าหมัดเหล็กซัดใส่ร่างกายอีกฝ่ายไปกี่ครั้งแล้ว ทว่าฝ่ายตรงข้ามนอกจากกล้ามเนื้อสั่นระริก มีการตอบสนองต่อความเจ็บปวดในตอนแรกแล้ว การต่อยอีกหลายครั้งหลังจากนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยสักนิดเดียว ไม่เพียงเท่านั้น แรงกดดันที่อีกฝ่ายมอบให้เขาก็หนักมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน เขาไม่รู้แล้วว่าคนที่เขาต่อสู้ด้วยเป็นมนุษย์หรือเปล่า
การโจมตีของเนี่ยเฟิงหมิงรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ กำปั้นชกใส่ร่างของฉีหลงราวกับพายุฝนโหมกระหน่ำ เลือดที่ไหลจากมุมปากของฉีหลงเยอะมากขึ้น สุดท้ายเขาก็กระอักเลือกออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกคนคิดว่าฉีหลงไม่มีกำลังสู้ต่อไปอีกแล้ว ได้แต่ ยืนโดนเนี่ยเฟิงหมิงอัดอยู่ตรงนั้น…
ต่อให้เป็นพันเอกถังอวี้เองก็อดคิดไม่ได้ว่าควรจะประกาศให้ฉีหลงพ่ายแพ้ไปเลยหรือเปล่า แต่ว่าดวงตาทั้งสองข้างของฉีหลงยังคงสว่างแวววาวอยู่ เหมือนกับเขาไม่ได้สูญเสียความสามารถในการต่อสู้เลย เพียงแต่กำลังรอคอยโอกาสที่ดีที่สุดเท่านั้น
‘ปัง!’ เสียงปังนี้กลับแตกต่างจากก่อนหน้านี้ ทุกคนจ้องมองเด็กหนุ่มที่ยิ้มแยกเขี้ยวกระอักเลือดออกมาด้วยความตะลึงงัน ฉีหลงที่เหมือนกับไม่สามารถยกหมัดขึ้นมารับการโจมตีได้ชูกำปั้นขึ้นมาจริงๆ ก่อนจะรับหมัดที่ฝ่ายตรงข้ามซัดมาอย่างแม่นยำ เสียงเมื่อสักครู่นั้นคือเสียงที่ดังออกมาจากการปะทะกันระหว่างกำปั้นกับกำปั้น…
“เยี่ยม!” เวลานี้ต่อให้เป็นพวกนักเรียนเก่าที่ไม่ชอบนักเรียนใหม่ก็อดร้องเชียร์ฉีหลงไม่ได้! แมลงสาบที่ตีไม่ตายขนาดนี้มาตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนคิดว่าไม่มีหวังอย่างสภาพที่เป็นอยู่เช่นนี้ แต่ว่าเขาก็ตอบโต้กลับแล้วในที่สุด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เนี่ยเฟิงหมิงหน้าเปลี่ยนสีในที่สุด เขาเริ่มเกิดความสงสัยต่อตัวเอง หรือว่าหมัดของเขาไม่มีพลังแล้ว ดังนั้นถึงไม่สามารถล้มฝ่ายตรงข้ามได้ สุดท้ายเลยทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับโอกาสโต้กลับคืน?
“เฟิงหมิง อย่าใจลอยสิ สู้ต่อไปซะ!” ลูกพี่ฮั่วเห็นเนี่ยเฟิงหมิงทำหน้าตะลึงงันก็รีบลุกขึ้นมาเอ่ยเตือนเสียงดัง เขาที่เป็นผู้ชมย่อมรู้ดีว่าอาการบาดเจ็บภายในของฉีหลงมาถึงขีดจำกัดแล้วแน่นอน ขอเพียงเนี่ยเฟิงหมิงซัดออกไปอีกไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้โดยสิ้นเชิง ไม่สิ บางทีขอแค่กระบวนท่าเดียวก็อาจจะทำสำเร็จได้แล้ว
เนี่ยเฟิงหมิงได้สติกลับมาทันที เขากัดฟันกรอด กวัดแกว่งหมัดของตัวเองขึ้นอีกครั้ง ชกไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างอำมหิต!
‘ปัง!’ สิ่งที่โดนโจมตียังคงเป็นกำปั้นของอีกฝ่าย ความเร็วในการออกหมัดของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ช้ากว่าเขาเลย มันสกัดไว้ตอนที่พลังของเขายังไปไม่ถึงขีดสูงสุดพอดี ทำให้พลังของเขาไม่สามารถปล่อยออกมา รู้สึกอึดอัดเหมือนกับว่าท้องอยากระบายออกมาแต่กลับโดนขัดอย่างจงใจ
“ฉันไม่เชื่อว่านายจะหยุดหมัดของฉันได้ตลอดไป!” เนี่ยเฟิงหมิงโมโหแล้ว สองหมัดของเขากระหน่ำลงมาราวกับพายุฟ้าคะนอง แต่ละหมัดต่างถูกฉีหลงสกัดไว้ มันถูกหยุดตรงจุดที่เขารับได้ยากมากที่สุด
“อ๊าก!” ไม่รู้ว่าต่อยไปกี่ครั้งแล้ว ทันใดนั้นเนี่ยเฟิงหมิงรู้สึกว่าเลือดร้อนปั่นป่วนที่หน้าอก เขาอ้าปากกระอักเลือดออกมาคำหนึ่งสาดใส่หน้าอกของฉีหลง
การสกัดกั้นอย่างแม่นยำหลายครั้งทำให้ไม่สามารถสำแดงพลังของเขาออกมาได้ทั้งหมด สุดท้ายจึงได้แต่ถูกบีบให้ไหลกลับไปในร่างกาย พอหลายครั้งเข้า อวัยวะภายในของเขาก็ไม่สามารถแบกรับพลังที่ไหลเวียนกลับเหล่านี้ได้ ท้ายที่สุดเลยกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำอย่างควบคุมไม่ได้