I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 30 ฉันสั่งให้พวกเธอโจมตีฉัน
มีเส้นทางสายหนึ่งที่เชื่อมระหว่างห้องชากับอาคารฝั่งตรงข้ามที่ดูโออ่ากว้างใหญ่มโหฬารมีสีขาวหยกทั่วทุกด้าน ความจริงแล้วกำแพงสีขาวหยกที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดมีประตูไฟฟ้าที่ไม่สามารถแยกแยะด้วยตาเปล่าอยู่นับไม่ถ้วน และด้านนี้ก็คือประตูหน้าของหน่วยงานสภาพแวดล้อมเสมือนจริงซึ่งเปิดให้ทหารของสหพันธรัฐทำการฝึกซ้อมและต่อสู้ในรูปแบบเสมือนจริง
แท้จริงแล้วสถานที่ที่พวกหลิงหลานเข้าไปก็คือประตูหลังของหน่วยงานสภาพแวดล้อมเสมือนจริงซึ่งเชื่อมกับสถาบันลูกเสือ สิ่งที่ปรากฏด้านนอกก็คือรูปแบบปลอมแปลงเป็นสนามกีฬา นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้หลิงหลานถูกหลอก เพราะใครจะไปคิดได้ว่าจะเปิดเทคโนโลยีสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่ยอดเยี่ยมล้ำยุคแบบนี้ให้กับลูกเสือ นี่ก็เห็นได้ว่าสหพันธรัฐให้ความสำคัญกับเด็กและปรารถนาผู้ที่มีพรสวรรค์
แน่นอนว่า หน่วยงานสภาพแวดล้อมเสมือนจริงเปิดทางให้สถาบันลูกเสือง่ายเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะจะให้ใช้มันทดสอบเด็กเข้าโรงเรียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในตอนที่จะเพิ่มความสามารถด้านต่างๆ ของเด็กในอนาคตก็จะขาดการสนับสนุนของเทคโนโลยีสภาพแวดล้อมเสมือนจริงไม่ได้
ผู้คุมสนามสอบเดินไปตามเส้นทางกำแพงสีขาวหยกนี้ พูดตามตรง ถ้าผู้คุมสนามสอบไม่ได้ใช้สัญญาณที่เขาตั้งค่าไว้บนอุปกรณ์สื่อสารของตัวเอง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห้องหมายเลขเจ็ดสิบสองที่เขารับผิดชอบอยู่ทางไหนกันแน่ เนื่องจากประตูไฟฟ้าพวกนี้ต่างหลอมรวมเข้าไปในกำแพงทอดยาวเหยียด และกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ผู้คุมสอบเดินไปได้อีกระยะหนึ่งก็ได้ยินเสียงอุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือสั่นไหว เขาหยุดฝีเท้าทันที ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนว่าเขามาถึงห้องที่จะต้องเข้าไปแล้ว
เขาดูเหมือนกับทำสุ่มๆ แต่ความจริงแล้วเขายืนอยู่ตรงตำแหน่งเป้าหมายและใช้มือคลำบนกำแพง ไม่นาน สัมผัสที่ฝ่ามือก็ทำให้เขารู้ว่าเป็นที่นี่ เขากดเบาๆ ติดต่อกันสามครั้ง
ทันใดนั้นกำแพงด้านนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง จากนั้นก็เห็นตรงจุดที่ผู้คุมสอบกดลงไปนั้นส่องแสงขึ้นมา จอภาพเล็กๆ ขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือปรากฏขึ้นในกำแพง หน้าจอที่ปรากฏคือแป้นกดรหัส ด้านบนมีตัวเลขอารบิก 0 ถึง 9 อยู่สิบตัวเท่านั้น
ผู้คุมสอบยิ้ม นิ้วมือกดบนแป้นตัวเลขหลายครั้งด้วยความฉับไว ความเร็วของเขาทำให้คนพูดไม่ออก นิ้วมือทิ้งไว้เพียงภาพเงาเบลอๆ แต่ละสายทำให้มองไม่ชัดว่าเขากดตัวเลขไหน จากนั้นก็ได้ยินเสียงแกรกดังชัดเจน ประตูห้องที่ปิดสนิทเหมือนกับถูกปลดล็อก พริบตาเดียวทางด้านซ้ายก็ปรากฏทางเข้าที่เพียงพอให้คนเดินเข้าไปหนึ่งคน
เมื่อผู้คุมสอบเดินเข้าไปแล้ว ประตูห้องก็ปิดสนิทลงอีกครั้งและกลับคืนสู่สภาพกำแพงสีขาวหยกแบบเดิมอย่างเงียบเชียบ
ผู้คุมสอบเข้าไปที่ห้อง 72 สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาคือเส้นทางเสมือนจริงที่สร้างขึ้นมาอย่างกว้างขวาง และด้านหลังเขาก็ไม่มีของที่เรียกว่ากำแพงและประตูห้องแล้ว มีก็แต่ลู่วิ่งสายหนึ่งที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเชื่อมติดกับจุดที่ผู้คุมสอบยืนอยู่ ความสมจริงทำให้คนไม่อาจเชื่อได้ว่านั่นเป็นเพียงกำแพงและประตูบานหนึ่ง
ผู้คุมสอบรอไม่นานเท่าไรนัก เขาก็มองเห็นร่างคนโผล่ขึ้นมาบนลู่วิ่งที่อยู่ไกลๆ สิบคน บางคนวิ่งบางคนลาก บางคนรั้งบางคนพยุง พวกเขาวิ่งเหมือนกับคนขากะเผลก ไม่สิ บางทีพูดว่าเดินอาจจะใกล้เคียงมากกว่า ดูท่าทางเด็กทั้งสิบคนนี้ใกล้จะหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว ในการสอบที่ผ่านมา ทุกครั้งจะมีเด็กโผล่มาทีละคน ไม่เหมือนกับพวกเขาที่มาถึงเส้นชัยพร้อมกันครบทั้งกลุ่ม ไม่มีใครตกหล่นจากกลุ่มสักคนเลย
ผู้คุมสอบรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย บางทีนี่คือสิ่งที่จ่าสิบเอกผู้รับหน้าที่ดูแลต้องการจะบอกเขา พวกเขาเป็นเด็กดีอย่างที่คิดไว้จริงๆ
หลังจากที่พวกเด็กๆ เห็นเขาปรากฏตัวขึ้นมาก็เหมือนกับทานยากระตุ้นเข้าไปก็ไม่ปาน เด็กแต่ละคนพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วราวกับเสือที่ดุร้าย
ผู้คุมสอบยิ้ม ชัยชนะที่เกือบจะมาถึงได้กระตุ้นศักยภาพของเด็กเหล่านี้ ไม่เลว พวกเขาต่างเป็นคนมีสวรรค์ที่คู่ควรให้อบรมสั่งสอน ผู้คุมสอบพอใจและประทับใจพวกหลิงหลานมากๆ
………….
“ฉันเห็นผู้คุมสอบแล้ว…” ฉีหลงที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเขามองเห็นผู้คุมสอบ ร่างที่ดูน่ารักก็ตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น เสียงนี้ทำให้เด็กอีกเก้าคนรู้สึกตื่นตัว ดวงตาทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นแดงก่ำทันที ราวกับหมาป่าที่หิวโหยก็ไม่ปาน….
อาวู๊ววว! เด็กทั้งสิบคนร่วมกันส่งเสียงหอนเหมือนกับหมาป่าที่หิวกระหายสุดขีดแลเห็นอาหารอันโอชะก็ไม่ปาน พวกเขาระเบิดพลังคอสโมของตัวเอง และมุ่งไปหาผู้คุมสอบที่อยู่ไกลๆ
พวกเขาพุ่งไปที่เส้นชัยโดยที่ไม่ได้ลดความเร็วลง ตรงกันข้ามพวกเขากระโจนเข้าหาผู้คุมสอบที่อยู่ด้านหนึ่งอย่างดุดันด้วยความเร็วที่ฉับไวกว่าเมื่อสักครู่นี้
ท่าทางดุดันที่เด็กทั้งสิบคนนี้โถมตัวเข้ามาราวกับหมาป่าหิวโหยทำให้ผู้คุมสนามสอบอดตะลึงงันไม่ได้ แต่ผู้คุมสอบคือใคร นั่นเป็นทหารที่เคยผ่านการหล่อหลอมจากสงครามอวกาศนะ พริบตาเดียวเขาก็กลับคืนสู่ความเยือกเย็น
“พวกเด็กแสบ!” เมื่อเผชิญหน้ากับการจู่โจมกะทันหัน ผู้คุมสนามสอบก็ไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง เขาทำหน้าเย็นชา ไม่ได้ขยับเขยื้อน เขาเพียงแต่เอนตัวไปด้านข้างเล็กน้อยก็หลบพวกเด็กแสบที่ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดกระโจนเข้ามาครั้งสุดท้าย
“เวรเอ๊ย เราพุ่งเข้าไปไม่ถึงผู้คุมสอบ!” ฉีหลงหกคะเมนหน้าคว่ำอยู่บนลู่วิ่ง เขากำหมัดทุบพื้นด้วยความแค้นเคืองไม่ยอมรับอย่างยิ่ง
ลั่วล่างอยู่ห่างจากฉีหลงไม่ไกล นอนคว่ำอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเสียใจ ควรรู้ไว้ว่าในตอนที่พวกเขาวิ่งมาได้ครึ่งทางและใกล้จะฝืนอดทนต่อไปไม่ไหวแล้วนั้น ก็เป็นเพราะคำพูดของฉีหลงทำให้ทุกคนมีเรี่ยวแรงขึ้นอีกครั้ง
นั่นก็คือจะต้องแก้แค้นผู้คุมสอบให้ได้ กดผู้คุมสอบให้ล้มทำให้เขากลายเป็นเบาะรองนั่งอยู่ด้านล่างสุด ไม่ผิด พวกเขาจะซ้อนทับกันเป็นพีระมิดมนุษย์ ทำให้พวกผู้คุมสอบรู้ว่าพวกเขาเองก็มีน้ำโหเหมือนกัน
เอาเถอะ ก็เป็นคำพูดประโยคนี้นี่แหละที่ทำให้ค่าความแค้นของเด็กทั้งสิบคนพุ่งสูงขึ้นเป็นเส้นตรง จนระเบิดพลังที่พวกเขาไม่เคยมีมาก่อน ประคับประคองให้พวกเขาวิ่งขึ้นหน้าต่อไปได้จนถึงตอนสุดท้าย
พลังความแค้นคือพลังที่ไร้เทียมทาน
ส่วนหลิงหลาน เหตุผลที่เธอให้ความร่วมมือขนาดนี้ไม่ใช่เพราะความแค้น เธอแม่งคิดมากเกินไปแล้ว คิดไปถึงว่าเด็กแสบพวกนี้จะกดผู้คุมสอบสุดหล่อที่ดูเป็นผู้ใหญ่ให้ล้มลงไป…นี่คือเด็กรุก เด็กรุกนะ เป็นเด็กรุกใส่นะ
เอาเถอะ หลิงหลานเน่า[1]ไปแล้ว นี่เป็นปัญหาที่ก่อขึ้นในชาติก่อนล้วนๆ เธอไม่มีขีดจำกัดตอนที่อ่านนิยายมากเกินไป
สองมือของผู้คุมสอบกอดอกและเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยันว่า “อ้อ ยังมีแรงเหลืออีกนะ ไม่เลวจริงๆ” ใบหน้าของเขาเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง แต่ในใจกำลังเบิกบาน ให้ตายสิ เหมือนกับพวกทหารใหม่ที่เขาดูแลมากเกินไปแล้ว มีแรงผลักดัน มีความคิด มีความกล้า นี่เป็นเด็กที่เพิ่งจะอายุแค่หกขวบเท่านั้นนะ อัจฉริยะระดับปีศาจมากไปแล้ว ผู้คุมเริ่มรู้สึกคันหัวใจ อยากจะจับเด็กแสบพวกนี้มาไว้ในค่ายทหารของตัวเองและฝึกฝนให้ดีสักรอบ อนาคตพวกเขาจะต้องเป็นทหารที่มีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างแน่นอน
ฉีหลงชูมือขึ้นยอมแพ้กล่าวว่า “ผู้คุมสอบ พวกเราไม่มีแรงแล้วครับ”
ผู้คุมสอบแค่นเสียงเหอะหลายที “ถ้าอยากจะสอบผ่านก็ลุกขึ้นมาให้หมด” แม่งเอ๊ย ไม่มีแรงแล้วแต่เธอยังตะโกนเสียงดังขนาดนั้น เธอหลอกใครกัน
ฉีหลงร้องชิ ได้แต่ลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ทุกคนต่างสู้สุดชีวิตจนสอบเสร็จ ถ้าหากสอบไม่ผ่าน ถูกส่งกลับคืนที่เดิมเพราะว่าลุกขึ้นมาไม่ได้ เช่นนั้นก็ขายขี้หน้ามากไปแล้ว ฉีหลงได้รับอิทธิพลของบิดามาอย่างลึกซึ้ง เขาคิดว่าลูกผู้ชายต้องตายขณะที่ยืนอยู่
ฉีหลงเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมา ลั่วล่างก็เป็นคนที่สอง ถึงแม้ว่าลั่วล่างจะเหนื่อยจนมือเท้าเป็นตะคริว แต่เมื่อเห็นฉีหลงลุกขึ้นมาแล้ว เขาที่ไม่คิดจะยอมแพ้ให้กับฉีหลง รวบรวมกำลังที่ไม่อยากยอมแพ้นั้นและลุกขึ้นมา
จากนั้นก็เป็นหลิงหลาน แล้วก็เป็นหานจี้จวิน หลัวเส่าอวิ๋น หยวนโหยวอวิ๋น หลี่จิงหง เหอเฉาหยาง พวกเขาลุกขึ้นมาตามลำดับ สุดท้ายก็คือหานซู่หย่ากับลั่วเฉา สองสาวในกลุ่มนี้
ถึงแม้ว่าตอนที่พวกเขาลุกขึ้นมาจะล้มลงไปแล้วลุกขึ้นมาใหม่ก่อนจะล้มลงไปอีก ดูยากลำบากและกระอักกระอ่วนใจ แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังยืนตัวตรงได้อย่างมั่นคง ข้างในแววตาพวกเขามีเพียงความดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ล้วนๆ
ผู้คุมสอบกล่าวด้วยความพึงพอใจว่า “ไม่เลว ยังมีความมุ่งมั่นอยู่บ้าง ตอนนี้ฉันสั่งให้พวกเธอโจมตีฉัน”
คำพูดประโยคนี้ทำให้ทุกคนอึ้งไป
หานจี้จวินมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วที่สุด CPU ในสมองเขาทำงานด้วยความเร็วสูง เขาใคร่ครวญเจตนาที่แท้จริงในคำพูดประโยคนี้ของผู้คุมสอบ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจังมาก เขาเอ่ยถามว่า “เพราะอะไรครับ”
…………………………………………
[1] สาวเน่า เป็นคำที่ใช้เรียกสาววาย