I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 35 เสร็จสิ้นการสอบ
ผู้คุมสอบที่ล้มลงไปกับพื้นมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วมาก เขาสปริงตัวขึ้นมายืนตัวตรง
ถึงแม้ว่าการโจมตีของหลิงหลานจะดูทรงพลังมากถึงขนาดโจมตีใส่ผู้คุมสอบจนกระเด็นออกไป แต่ความจริงแล้ว มันไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับผู้คุมสอบมากเท่าไรเลย มันเพียงแต่ทิ้งรอยช้ำไว้บนแก้มข้างซ้ายของผู้คุมสอบเท่านั้น แน่นอนว่านี่ก็คือเจตนาของหลิงหลานเช่นกัน เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่โดนรังแกง่ายๆ
ผู้คุมสอบยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทว่าสีหน้ากลับเย็นเยียบ เขายื่นมือไปแตะรอยช้ำนั้น ต่อให้ไม่รู้สึกเจ็บอะไร แต่ในใจกลับมีความปวดร้าวที่พูดไม่ออกผุดขึ้นมา
ใช่แล้ว นั่นเป็นความรู้สึกโกรธเจือกับความผิดหวัง เขาไม่ได้โกรธเพราะว่าหลิงหลานอัดเขา แต่เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวและความไร้น้ำใจที่หลิงหลานแสดงออกมาในการโจมตีเมื่อสักครู่นี้ทำให้เขารู้สึกผิดหวังและปวดใจ
ผู้คุมสอบไม่นึกไม่ฝันว่าเด็กที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครทุกด้านตรงหน้าเขาจะเย็นชาไร้น้ำใจขนาดนี้ เขาให้เพื่อนกลายเป็นโล่เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย ถึงแม้ว่าฉากเมื่อสักครู่นี้เขาจะพลั้งมือและหมดหนทาง ทว่าดวงตาทั้งสองข้างกลับมองเห็นชัดเจนมากว่าเพราะอะไรจู่ๆ ฉีหลงถึงขวางอยู่เบื้องหน้าหลิงหลาน ไม่ใช่เพราะฉีหลงทำเองโดยไม่รู้ตัว แต่เป็นเพราะหลิงหลานดึงฉีหลงมาตรงหน้าเขา
สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือ หลังจากที่จบเรื่องหลิงหลานไม่ห่วงอาการบาดเจ็บของเพื่อนตัวเองเลย เอาแต่ให้ความสำคัญกับผลสอบของตัวเอง การกระทำที่เห็นแก่ตัวแบบนี้กระตุ้นความโกรธของผู้คุมสอบในที่สุด เขาตัดสินใจจะไม่ให้หลิงหลานมีโอกาสเข้าห้องพิเศษ สหพันธรัฐไม่อาจฝึกอบรมให้กับเด็กที่เย็นชาไร้หัวใจเอาแต่สนแค่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นพิเศษได้แน่นอน ต่อให้เขากลายเป็นทหารก็จะนำภัยมาสู่สหพันธรัฐและเพื่อนร่วมรบที่อยู่ข้างกายเขา
ยังไม่ทันที่ผู้คุมสอบจะตวาดด้วยความเดือดดาล ฉากต่อมาก็ทำให้ผู้คุมสอบตะลึงงันไป
เขาเห็นหลิงหลานเดินไปหาฉีหลงที่กำลังนอนกระอักเลือดสลบไสลอยู่บนพื้น จากนั้นก็ใช้ขาเตะไปที่ร่างกายของฉีหลงแรงๆ และเอ่ยด้วยความจนใจว่า “เอาล่ะ จัดการเสร็จแล้ว ยังไม่ลุกขึ้นมาอีก? ไม่แสดงโอเวอร์ไปหน่อยเหรอ”
ฉีหลงลุกขึ้นมานั่งฉับพลันและพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแหยๆ ว่า “อัดเขาจนล้มแล้วจริงๆ เหรอ” ในระหว่างที่กล่าวก็ยังคงมองเห็นเลือดไหลรินออกมาจากในปากได้ ทำให้คนที่เห็นต่างรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่บ้าง
หลิงหลานเอ่ยด้วยความลำพองใจ “แน่อยู่แล้วสิ ไม่ดูเลยว่าฉันเป็นใคร” เธอยังต้องทำตัวเหมือนเด็กในเวลาที่ควรทำตัวเป็นเด็ก หลิงหลานรู้ว่าตัวเองแสดงออกมากเกินไปหน่อยแล้ว เลยได้แต่กอบกู้ภาพลักษณ์สุดชีวิต
ฉีหลงพยักหน้าติดต่อกันและพูดด้วยความนับถือว่า “อื้อ หลิงหลาน นายแข็งแกร่งกว่าฉันจริงๆ” เขากล่าวจบก็เอ่ยด้วยสีหน้าขอความดีความชอบ “ฉันแสดงได้ไม่เลวมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ”
หลิงหลานพยักหน้ารับโดยที่ไม่มีความจริงใจมากเท่าไรนัก และยังลูบหัวฉีหลงเบาๆ เพื่อแสดงความชมเชย
เอาเถอะ ท่าทีของฉีหลงทำให้เธอนึกถึงสุนัขที่เป็นเพื่อนที่จงรักภักดีต่อมนุษย์เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ท่าทีซึนเดเระที่ดูน่ารักเหลือเกินจริงๆ นั้นทำให้เธออดฉวยโอกาสลูบหัวไม่ได้
ฉีหลงที่ไม่ได้สนใจอะไรก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังถูกหลิงหลานกินเต้าหู้[1]อยู่และก็ไม่รู้เช่นกันว่าภาพลักษณ์ของเขาที่อยู่ในใจของหลิงหลานเอนไปทางน่ารักไปแล้ว เขาได้รับคำชมก็ลุกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ แน่นอนว่าเขายังไม่ลืมใช้ลิ้นเลียคราบเลือดที่อยู่ตรงมุมปาก เขาขยับริมฝีปากตัวเองหลายทีก่อนจะพูดด้วยความเสียดายว่า “น่าเสียดายที่ใช้น้ำยาเสริมพลังเปลืองมากๆ รสชาติดีมากจริงๆ ฉันไม่เคยกินน้ำยาเสริมพลังที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
หลิงหลานได้ยินคำพูดก็แอบกลอกตาทีหนึ่งและเอ่ยในใจว่า อร่อยอยู่แล้วสิ นั่นเป็นน้ำยาเสริมพลังรสมะเขือเทศที่เธอทุ่มเทแรงใจวิจัยออกมาเชียวนะ จะเอาไปเทียบกับน้ำยาเสริมพลังก่อนหน้านี้ได้เหรอ พูดถึงรสชาติก่อนหน้านี้ หลิงหลานก็อดตัวสั่นยกใหญ่ไม่ได้ รสชาตินั้นไม่ใช่รสชาติให้คนกินจริงๆ คาดว่าต่อให้เป็นหมาหรือแมวเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนก็ไม่ชอบกินมันเหมือนกัน
หลิงหลานไม่ใช่คนที่ทารุณตัวเองได้ ในเมื่อไม่สามารถยอมรับได้ เช่นนั้นก็ได้แต่ดัดแปลงรสชาติเองแล้ว ยังดีที่มีเสี่ยวซื่อคอยช่วยเหลือ ในที่สุดก็วิจัยน้ำยาเสริมพลังที่มีรสชาติผักผลไม้ออกมาได้หลายรส และรสมะเขือเทศก็เป็นหนึ่งในนั้น
ทำไมเธอถึงให้รสชาตินี้กับฉีหลงน่ะเหรอ นั่นก็เป็นเพราะสีของรสชาตินี้เหมือนกับมะเขือเทศ แดงได้พอดีมากจนคนเข้าใจผิดว่าเป็นเลือดได้ง่ายๆ ทำให้ฉีหลงที่แสร้งได้รับบาดเจ็บยิ่งมีภาพลักษณ์ที่ดูชัดเจนมากขึ้น
พอเห็นฉีหลงยังคงมีท่าทีกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี สีหน้าของหานจี้จวินถึงได้กลับมาเป็นปกติในที่สุด เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้างงงวยว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เมื่อสักครู่นี้ฉีหลงดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกไม่หยุดหย่อน
หานจี้จวินถามคำถามที่อยู่ในใจของผู้คุมสอบออกมา เพียงแต่ว่าต่อให้ตอนนี้เขาไม่รู้รายละเอียดเรื่องราว แต่เขาก็รู้ว่าจะต้องเป็นแผนร้ายของเด็กสองคนตรงหน้าเขาแน่นอน ไม่คาดคิดเลยว่าเขาที่ผ่านศึกมานับร้อยจะมาเรือพลิกคว่ำในคลองระบายน้ำ[2] ถูกเด็กสองคนหลอกเสียได้
แต่เขาไม่ได้โกรธเลยสักนิด ตรงกันข้ามในใจเขาเกิดความรู้สึกปีติยินดีขึ้นมา เด็กตรงหน้าเขาซึ่งมีความสามารถดีที่สุดและเขาให้ความสนใจมากที่สุดไม่ได้เป็นคนที่แย่อย่างที่เขาคิดไว้ขนาดนั้น…
ฉีหลงได้ยินคำถามของหานจี้จวินก็รีบเอ่ยปากอธิบายว่า “ตอนสุดท้ายที่ฉันถูกผู้คุมสอบอัดจนปลิวแล้วหลิงหลานก็พาฉันไป ตอนนั้นเขาก็ฉวยโอกาสส่งน้ำยาเสริมพลังมาให้ฉัน ตอนที่เขาหันหลังให้กับผู้คุมสอบ เขาก็บอกใบ้ว่าให้ฉันใช้น้ำยาขวดนั้นเล่นละครทำเป็นได้รับบาดเจ็บ”
ฉีหลงลูบท้ายทอยพลางหัวเราะแหะๆ กล่าวด้วยความไม่สบายใจที่ตัวเองทำให้ทุกคนเป็นกังวล “ดังนั้น ฉันเลยฉวยโอกาสตอนที่ผู้คุมสอบโจมตีฉัน แสร้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บหมดสติล้มลงไปกับพื้น”
ผู้คุมสอบมองไปที่หลิงหลานอย่างใคร่ครวญแล้วเขาก็พลันเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึมเฉียบขาดว่า “เธอไม่กลัวว่าจะทำพลาดเลยหรือไง ถ้าเกิดฉันยั้งมือไว้ไม่ทัน แผนการของเธอก็จะทำให้ฉีหลงได้รับบาดเจ็บง่ายมาก ถึงขนาดที่ทำลายอนาคตของเขาได้เลย”
หลิงหลานพูดด้วยความงุนงงว่า “คุณจะพลั้งมือได้เหรอครับ” เธอเชื่อมั่นเต็มร้อยโดยปริยายว่าผู้คุมสอบสามารถควบคุมตัวเองได้
ฉีหลงยิ้มแหยๆ ต่อ ใบหน้ายังคงดูเชื่อมั่นไม่เปลี่ยนแปลง หานจี้จวินคล้ายกับคิดอะไรบางอย่างได้ แววตาที่มองไปยังหลิงหลานดูไม่ชัดเจนอยู่บ้าง มันมีทั้งความนับถือและก็มีความโกรธเคืองเล็กน้อย ทว่าแววตาก็กลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว
คำพูดของหลิงหลานทำให้ผู้คุมสอบโกรธสุดขีด ทว่าเขากลับไม่มีคำพูดโต้แย้งอะไรเลย เขาพบว่าเขาไม่มีวิธีจัดการเด็กแสบตรงหน้านี้ และจำเป็นต้องยอมรับว่าหลิงหลานพูดมาไม่ผิด เขาไม่มีทางพลั้งมือจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฉีหลงกระอักเลือดสมจริงมากเกินไป ทำให้จิตใจเขาหวั่นไหวจนรู้สึกสงสัยตัวเองขึ้นมา สุดท้ายเขาก็ยังเชื่อมั่นในตัวเองไม่พอ
ผู้คุมสอบยิ้มขื่น หลิงหลานทำให้เขามองเห็นจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ
ไอ้หนูนี่เป็นอัจฉริยะระดับปีศาจจริงๆ ไม่เพียงแต่มีความกล้า แล้วยังละเอียดรอบคอบ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความพยายามในการต่อสู้อย่างยิ่ง สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือเขามีความสามารถทำให้คนเชื่อถือได้ในชั่วพริบตา ฉีหลงรวมไปถึงลั่วล่างที่ออกไปจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ได้ฝากฝังความเชื่อใจของตัวเองมอบเรื่องทุกอย่างให้หลิงหลานจัดการโดยไม่เอ่ยถามสักคำ
สุดท้ายหลิงหลานยังใช้แผนการทำให้จิตใจของเขาเผยจุดอ่อนออกมา…หลิงหลานรู้แต่แรกแล้วว่าเขาไม่มีทางทำร้ายพวกเขา ดังนั้นเมื่อมีคนได้รับบาดเจ็บ เขาจะต้องรู้สึกกังวลร้อนใจจนเปิดช่องโหว่แน่นอน
ผู้คุมสอบส่ายศีรษะและถอนหายใจ เด็กสมัยนี้หลอกยากจริงๆ เขากล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “คราวนี้พวกเธอสอบผ่านแล้ว!”
คำกล่าวของผู้คุมสอบทำให้เด็กทุกคนกระโดดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นยินดี นี่หมายความว่าพวกเขาก้าวเข้าไปเรียนในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือแห่งนี้แล้ว แน่นอนว่าสำหรับเรื่องจะเข้าไปในห้องพิเศษได้หรือไม่นั้น ก็ยังต้องดูผลคะแนนที่ผู้คุมสอบทุกคนให้มาว่าสุดท้ายได้เท่าไร เด็กหนึ่งร้อยคนแรกที่มีคะแนนรวมของทั้งสี่หัวข้อสูงสุดจะสามารถเข้าไปเรียนในห้องเรียนพิเศษได้
ผู้คุมสอบไม่สนใจพวกเด็กๆ ที่กำลังลิงโลดตรงหน้า เขาเปิดอุปกรณ์สื่อสารโดยไม่สนใจใคร ก่อนจะกดปุ่มเสร็จสิ้นการสอบ
…………………………………………….
[1] กินเต้าหู้ หมายถึง ลวนลาม
[2] เรือพลิกคว่ำในคลองระบายน้ำ อุปมาว่า ทำพลาดโดยที่ไม่คาดคิด