I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 52 อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ
เวลานี้หลิงหลานไม่คาดคิดเลยว่าเป็นเพราะการต่อสู้นี้ทำให้เสี่ยวซื่อหาความสนใจของเขาเจอ ส่วนเธอก็ยิ่งเดินไปบนเส้นทางที่ขัดกับการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยตามที่เธอวางแผนไว้ในตอนแรก ภายใต้การหลอกล่อของเสี่ยวซื่อ กลายเป็นชีวิตที่อยู่ท่ามกลางการนองเลือด…
หลิงหลานรอหลิงฉินจัดการศัตรูคนสุดท้ายด้วยความอดทนอย่างยิ่งโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีการต่อสู้ที่ยากลำบากมากกว่าเดิมกำลังรอเธออยู่ในอนาคต หลิงหลานรอบคอบมาก เธอเก็บกลิ่นอายของตัวเองและซ่อนตัวอย่างระมัดระวังมาโดยตลอดจนกว่าเธอจะแน่ใจว่าปลอดภัย ถึงแม้เธอจะเรียนรู้ทักษะการต่อสู้บางอย่างมาแล้วและก็เคยใช้ชีวิตอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์มาก่อน แต่ความสามารถพวกนี้ก็ยังไม่พอเมื่อคิดจะจัดการกับนักฆ่าตรงหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยประสบการณ์แบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าสถานที่ห่างไกลกว่านี้ซึ่งเสี่ยวซื่อตรวจตราไปไม่ถึงจะมีหุ่นรบที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้เล็งเป้ามาที่นี่ รอคอยให้เธอโยนตัวเองเข้าไปในแห[1] อยู่หรือเปล่า
หลิงหลานไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นผู้เล่นที่ได้รับชัยชนะในชีวิต สะบัดตัวทีเดียวก็แผ่กลิ่นอายราชันไปทั่วทั้งร่าง หลังจากนั้นก็สามารถจัดการศัตรูที่โวยวายร้องไห้ให้ค่าประสบการณ์ต่างๆ นานาได้อย่างสบายๆ และยิ่งไม่ใช่นางเอกที่ใครเห็นใครก็รัก ดอกไม้เห็นดอกไม้ก็แย้มบานแน่นอน (ดูเหมือนตอนนี้เธอก็เป็นนางเอกไม่ได้นะ) เมื่อเจอความยากลำบากตกอยู่ในสภาพอับจนก็มีซุปเปอร์ฮีโร่โผล่เข้ามาช่วยสาวงามอะไรแบบนั้น…
เวลานี้เอง จู่ๆ เสี่ยวซื่อก็ส่งเสียงอุทานด้วยความงุนงง หัวใจที่เดิมที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อยก็โลดเต้นขึ้นมาอีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้น เสี่ยวซื่อ?”
เสี่ยวซื่อไม่ตอบ เขาเพียงแต่ส่งหน้าจอที่เขาใช้สอดส่องตรวจตราไปไว้ตรงหน้าหลิงหลาน
จากนั้นในหน้าจอก็เห็นกองกำลังสามหน่วยที่อยู่กันคนละกลุ่มปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันและล้อมรอบหุ่นรบสองตัวที่กำลังหนีอุตลุดไว้
กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ให้ความรู้สึกดุดันมากที่สุด พวกเขามีจำนวนคนน้อยที่สุด มีเพียงหุ่นรบสี่ตัวเท่านั้น แต่อำนาจคุกคามที่แผ่ออกมานั้นกำราบทีมอื่นๆ ได้อย่างสิ้นเชิงโดยที่ไม่ได้แสดงนิสัยที่แท้จริงออกมา
รูปลักษณ์ภายนอกของหุ่นรบพวกเขาดูแปลกประหลาดมาก เห็นได้ชัดว่าระดับความสูงของมันเตี้ยกว่าหุ่นรบของกลุ่มอื่นๆ หนึ่งช่วงหัว หรือประมาณห้าสิบหกสิบเซนติเมตร แต่ว่าลำตัวและแขนขาทั้งสี่ของมันหนาและล่ำสันกว่าหุ่นรบตัวอื่นมากอย่างชัดเจน โดยเฉพาะข้อต่อของแขนขาทั้งสี่ที่ใหญ่ล่ำจนไม่มีความงดงามเลยสักนิดเดียว ทว่าหุ่นรบที่ดูหยาบกระด้างนิดหน่อยแบบนี้กลับทำให้คนรู้สึกหวาดผวาและกดดันอย่างยิ่ง
หุ่นรบพวกนี้ทำการเสริมความแข็งแกร่งทุกส่วนของหุ่นรบมาแล้วอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการรับน้ำหนักอาวุธที่ติดตั้ง หรือว่าต่อสู้ประชิดตัว หุ่นรบนี้ก็ดีเลิศกว่าหุ่นรบฮิวแมนนอยด์ตามมาตรฐานตัวอื่นๆ มองแวบแรกมันก็คือเครื่องจักรสังหารที่ทรงพลัง สีที่ทาบนตัวหุ่นรบก็เน้นจุดนี้ มันไม่ได้ใช้สีขาวสว่างตามมาตรฐานของสหพันธรัฐ หากแต่ใช้สีแดงคล้ำที่ดูเรียบสุดขีด ยิ่งเพิ่มกลิ่นอายชั่วร้ายและกลิ่นอายกระหายเลือดของหุ่นรบพวกนี้มากขึ้น
มองออกได้ว่าหุ่นรบสี่ตัวนี้ได้ผ่านการต่อสู้มาแล้วรอบหนึ่งแล้วจึงค่อยรีบมา บนตัวของหุ่นรบนั้นยังมีร่องรอยการต่อสู้เหลืออยู่ พวกเขาก็คือทีม 413 ในระหว่างที่พวกเขาล้มเหลวในการค้นหาหลิงหลานอย่างยากลำบากและหมดหนทางอยู่นั้น พลุสัญญาณของหลิงฉินก็ทำให้พวกเขาหาทิศทางเจอ และตอนนี้ก็ตามมาทันในที่สุด
กลุ่มต่อมาก็คือหุ่นรบหกตัว รูปลักษณ์ภายนอกของหุ่นรบคล้ายคลึงกับหุ่นรบมาตรฐานของสหพันธรัฐ เพียงแต่มีการปรับแต่งเล็กน้อย สีของมันเปลี่ยนจากสีขาวสว่างล้วนกลายเป็นสีน้ำเงินและสีขาวสองสี ขอเพียงเข้าใจเรื่องหุ่นรบมาตรฐานของสหพันธรัฐ ก็จะรู้ว่าหุ่นรบประเภทนี้คือหุ่นรบระดับหัวหน้าหน่วยที่สูงกว่าหุ่นรบตามมาตรฐานทั่วไปหนึ่งระดับ ดูท่ากลุ่มนี้จะมาจากหน่วยกองทัพของสหพันธรัฐ
และอีกกลุ่มเป็นทีมที่มีสมาชิกห้าคน หุ่นรบมาตรฐานทั่วไป ทว่าสีที่ทากลับเป็นสีเทาเข้มซึ่งแทนถึงกองกำลังส่วนตัว สหพันธรัฐกับตระกูลใหญ่ต่างๆ ทำข้อตกลงกันไว้ว่าอนุญาตให้ตระกูลชั้นสูงมีอาวุธส่วนตัวได้ ทว่าหุ่นรบจะเป็นได้แค่หุ่นรบมาตรฐานทั่วไปที่สุด และสีก็ต้องเป็นสีเทาเข้มให้ตรงกันหมด สิ่งที่แยกความแตกต่างของหุ่นรบว่าเป็นของกองกำลังตระกูลไหนก็คือโลโก้ที่อยู่ตรงหน้าอกของหุ่นรบ
และโลโก้บนหน้าอกของหุ่นรบกองนี้ก็คือตราประจำตระกูลของตระกูลหลิง นกฟีนิกซ์ที่ลุกไหม้โชติช่วงละลานตาตัวหนึ่ง กองกำลังนี้คือผู้คุ้มกันของตระกูลหลิงซึ่งเป็นทีมหุ่นรบที่รับหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยของหลิงหลาน
นกฟีนิกซ์เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางความเชื่อของคนจีนในสมัยโบราณ และตระกูลหลิงเชื่อว่าตัวเองเป็นทายาทของสัตว์เทพนกฟีนิกซ์ ดังนั้นพวกเขาย่อมจะต้องเลือกนกฟีนิกซ์มาเป็นตราประจำตระกูลของตัวเอง
หลังจากที่หลิงหลานรู้ว่าตราประจำตระกูลเกิดขึ้นมาแบบนี้ เธอก็แทบจะไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้หลุดหัวเราะพรืดขึ้นมา ไม่นึกเลยว่าหมื่นปีให้หลังในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าขนาดนี้ ตำนานที่ลวงโลกอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ยังคงไม่สูญหายไป บอกได้แค่เพียงมนุษย์มีความรักอย่างคลั่งไคล้เกี่ยวกับเทพซึมลึกลงไปถึงกระดูกตลอดกาล
แน่นอนว่าคำเรียกขานว่านกฟีนิกซ์แพร่หลายอยู่ในสหพันธรัฐหัวเซี่ยรวมไปถึงประเทศพันธมิตรของมันเท่านั้น โดยปกติแล้วในประเทศเป็นกลางและประเทศศัตรูต่างเรียกมันว่านกตายยาก หลังจากที่หลิงเซียวบิดาของหลิงหลานเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมขั้นเทวะแล้ว จากนกตายยากก็ยิ่งแย่ลงจนกลายเป็นไอ้นกตายตัวนั้น สามารถมองเห็นได้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามเคียดแค้นขนาดไหน
ทั้งสามกลุ่มแทบจะพบปะพร้อมกันและระแวดระวังกันเอง อย่างไรก็ตาม หุ่นรบของตระกูลหลิงกับหุ่นรบระดับหัวหน้าหน่วยของกองทัพสหพันธรัฐยืนคนละมุมในแนวเดียวกัน บ่งบอกความหมายรางๆ ว่ามีการร่วมมือกัน เตรียมพร้อมรับมือกับอีกกลุ่มซึ่งเป็นทีมสี่คนที่ครอบครองหุ่นรบที่ดูดุดัน
หลิงหลานอดขมวดคิ้วไม่ได้ เธอเอ่ยถามเสี่ยวซื่อว่า “เสี่ยวซื่อ ซูมภาพได้ไหม แฮ็กข้อมูลติดต่อของพวกเขา?”
“ซูมได้ แต่ว่าแฮ็กข้อมูลติดต่อของพวกเขาไม่ได้ พลังจิตของเธอในตอนนี้รับการแฮ็กระยะไกลของฉันไม่ไหว” คำพูดเสี่ยวซื่อแฝงไปด้วยคับแค้นใจอย่างลึกล้ำ สายตาที่ทอดมองเข้ามาย่อมมีเพียงความหมายเดียว นั่นก็คือเธอโดนเสี่ยวซื่อดูถูกแล้ว
นับตั้งแต่ที่หลิงหลานรู้ว่า เมื่อพลังจิตเหนือกว่าความสามารถในการทนรับของร่างกายก็จะทำให้ร่างกายพังลง หลิงหลานก็หวาดกลัวพลังจิตอย่างยิ่ง เธอไม่ลืมว่าชาติก่อนตัวเองก็ตายแบบนี้ ดังนั้นชาตินี้หลิงหลานเลยไม่กล้าฝึกฝนพลังจิตของตัวเองโดยพลการ กลัวว่าตัวเองจะใจร้อนจนก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่ยากจะแก้ไขได้
ดังนั้นต่อให้เสี่ยวซื่อโน้มน้าวอย่างไร หลิงหลานก็ไม่ใช้คะแนนเกียรติยศของตัวเองแลกเปลี่ยนวิธีการอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนพลังจิตในมิติการเรียนรู้เพื่อมาฝึกฝนพลังจิตของตัวเองเลย อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นแบบนี้ ตอนที่หลิงหลานอายุหกขวบ พลังจิตของเธอก็ไปถึงจุดสูงสุดของระดับสี่แล้ว ขอเพียงให้โอกาสก็สามารถทะลวงกำแพงระดับสี่เข้าสู่ระดับห้าได้โดยอัตโนมัติ
สาเหตุที่พลังจิตของหลิงหลานมากกว่าช่วงเวลาที่เธอเกิดเกือบจะสามระดับย่อมไม่ใช่เพราะเธอมีพรสวรรค์ด้านพลังจิตยอดเยี่ยมจนพลังจิตเพิ่มขึ้นรวดเร็วมากเกินไป หากเป็นเพราะเดิมทีเสี่ยวซื่อผนึกพลังจิตของหลิงหลานไว้สองระดับ เวลานี้เสี่ยวซื่อค่อยๆ ปลดปล่อยพลังจิตที่ถูกปิดผนึกไว้ออกมาตามความแข็งแกร่งของร่างกายหลิงหลานที่เพิ่มมากขึ้น
แน่นอนว่าสาเหตุที่สามารถจัดการปัญหาเรื่องอันตรายแฝงเร้นของพลังจิตได้อย่างสมบูรณ์รวดเร็วขนาดนี้ ต้องขอบคุณหลิงหลานที่ยืนหยัดฝึกปรือเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายจนถึงที่สุด
ความจริงแล้ว จากข้อมูลที่แท้จริงในตอนที่หลิงหลานเกิด พลังจิตของเธอควรจะเป็นระดับสี่ ส่วนข้อมูลการประเมินที่หลานลั่วเฟิ่ง หลิงฉิน รวมไปถึงทางกองทัพได้รับนั้นเป็นข้อมูลเท็จที่ถูกเสี่ยวซื่อเล่นตุกติก
ด้วยเหตุนี้เอง ถึงได้ปรากฏเหตุการณ์อุปกรณ์ตรวจวัดส่งเสียงร้องแจ้งเตือนในตอนที่หลิงหลานรับการประเมิน เนื่องจากขีดจำกัดที่อุปกรณ์ตรวจวัดของพลเรือนสามารถแบกรับไว้ได้คือพลังจิตระดับสามเท่านั้น แน่นอนว่าไม่นับรวมอุปกรณ์ตรวจวัดที่ใช้ภายในกองทัพ
ทำไมอุปกรณ์ตรวจวัดของพลเรือนถึงตั้งค่าแบบนี้น่ะเหรอ นั่นเป็นเพราะถ้าหากไม่มีอุปกรณ์พิเศษดูแล เด็กที่มีพลังจิตเกินระดับสี่จะต้องเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์เนื่องจากร่างกายทนรับการกดดันของพลังจิตไม่ไหว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเด็กที่มีพลังจิตระดับสี่สามารถคลอดออกมาได้ตามธรรมชาติโดยที่ไม่มีการช่วยเหลือจากอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงใดๆ แน่นอนว่าการที่หลิงหลานสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรงภายในร่างกายของหลานลั่วเฟิ่งก็หนีไม่พ้นการดูแลของเสี่ยวซื่อ ทุกอย่างเป็นเพราะเสี่ยวซื่อปิดผนึกพลังจิตที่ล้นออกมา
อย่างไรก็ตาม สำเร็จก็เซียวเหอ ล้มเหลวก็เซียวเหอ[2] เสี่ยวซื่อพบว่าอุปกรณ์ตรวจวัดมีความสามารถในการประเมินพลังจิต เขาก็เลยปล่อยพลังจิตของหลิงหลานออกมาทั้งหมดเพราะอยากดูว่าพลังจิตของหลิงหลานอยู่ในระดับไหน ไม่คาดคิดว่ามันเกือบจะทำเรื่องเลวร้าย ทำให้อุปกรณ์ตรวจวัดแทบจะระเบิดออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวซื่อมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว ปิดผนึกพลังจิตของหลิงหลานกลับไปที่ระดับสองทันทีแล้วละก็ ผลที่ตามมาย่อมเลวร้ายจนไม่กล้าคิด
อันที่จริง ร่างกายเล็กๆ ของหลิงหลานในตอนที่เกิดสามารถแบกรับพลังจิตระดับสามไหว เพียงแต่มันจะทำให้หลิงหลานอ่อนแอลงเล็กน้อย แต่เสี่ยวซื่อยังคงกำหนดพลังจิตให้อยู่ที่ระดับสองเพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาหกปีก็ไม่ได้สูญเปล่า พลังจิตของหลิงหลานเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มันเพิ่มขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของระดับสี่โดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เชื่อว่าผ่านไปไม่นาน ตัวเธอที่เงื่อนไขพร้อมก็จะเลื่อนขั้นไปยังระดับห้าที่ทำให้คนตกใจจนพูดไม่ออกเอง
ถ้าหากถูกคนของกองทัพสหพันธรัฐรู้ว่าเด็กอายุหกขวบคนหนึ่งสามารถไปถึงระดับห้าที่ผู้ใหญ่ต่างไม่อาจไปถึง พวกเขาย่อมตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นี่ต้องเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะด้านพลังจิตแน่นอน
…………………………………………..
[1] โยนตัวเองเข้าไปในแห อุปมาว่า พาตัวเองเข้าไปตกอยู่ในหลุมพรางของศัตรู
[2] สำเร็จก็เซียวเหอ ล้มเหลวก็เซียวเหอ อุปมาว่า ความสำเร็จและความล้มเหลวล้วนมาจากปัจจัยเดียวกัน