I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 90 ภารกิจพัฒนาการ
หลิงหลานรู้สึกได้แค่เพียงตัวเองกลิ้งติดอยู่ข้างในวังวนสีดำ จากนั้นเธอก็ถูกดูดเข้าไปในหลุมดำไร้ก้นบึ้งอย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังทะลุผ่านหลุมดำ บางทีอาจเป็นเพียงหนึ่งวินาที หรือบางทีอาจจะสิบนาที หรือผ่านไปเป็นเวลานาน หนึ่งชั่วโมง หรือแม้แต่หนึ่งวัน
สติของหลิงหลานเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าเล็กน้อย ในตอนที่เธอกำลังสับสนอยู่นั้น จู่ๆ ตรงหน้าก็สว่างขึ้น เธอถูกสลัดออกไปจากวังวนสีดำแล้ว
หลิงหลานรู้สึกว่าตัวเองร่วงหล่นไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้เองหลิงหลานก็มองเห็นว่าเธอมาถึงหุบเขาเล็กๆ ที่ไม่รู้จัก และตอนนี้เธอกำลังร่วงลงไปบนเนินหญ้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง
หลิงหลานไม่รู้ว่าทุ่งหญ้านี้มีอันตรายหรือไม่ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฉับพลัน ใช้พลังช่วงลำตัวที่แข็งแกร่งของเธอ กวาดขาขวาไปที่ทุ่งหญ้าด้านล่างจนเป็นพายุทรงพลังสุดขีดหลายลูก ท่อนขาสร้างกระแสลมอย่างรุนแรงทำให้พื้นหญ้าด้านล่างยุ่งเหยิงระเกะระกะ และก็ขู่กระต่ายป่าที่ซ่อนอยู่ในนั้นกระโดดหนีออกไปทั่วทุกทิศทางด้วยความตกใจกลัว ถึงขนาดที่ยังมีหนูผีจำนวนไม่น้อยก็ปะปนอยู่ในนั้น
ความเป็นไปได้ว่าจะมีบึงกับหลุมพรางคือศูนย์! ความเป็นไปได้ที่แมลงมีพิษประเภทต่างๆ ซ่อนตัวไว้ก็แทบจะเป็นศูนย์!
หลิงหลานตัดสินภายในเสี้ยววินาทีว่าสถานที่ที่เธอกำลังร่วงลงมาคือสถานที่ปลอดภัย จากนั้นเธอถึงค่อยทิ้งตัวลงมา ทว่าเธอก็ยังคงระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง หลิงหลานรู้ดีว่าโลกที่ไม่รู้จักย่อมมีอันตรายที่ไม่รู้จักอยู่
หลิงหลานลงสู่พื้นอย่างมั่นคงแล้ว เธอก็สำรวจรอบๆ จุดที่เธอร่วงลงมาอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายใดๆ อยู่จริงๆ เธอจึงค่อยตรวจสอบหุบเขาที่งดงามตรงหน้า
ทิวทัศน์ในหุบเขาสวยงามอย่างยิ่ง ไหล่เขาอยู่ห่างไกลออกไป มีต้นไม้มากมายนับไม่ถ้วน พื้นที่สีเหลืองทองนี้ พื้นที่สีแดงอร่ามตรงนั้น และยังมีพื้นที่สีเขียวขจีอีกมากมาย บริเวณตีนเขามีผืนหญ้าเขียวขจีเติบโตขึ้น ปะปนไปกับดอกไม้ป่าหลากสี สั่นไหวอยู่ท่ามกลางลม
ยังมีลำธารสายน้อยที่ไหลผ่านทุ่งดอกไม้ต้นหญ้า มันซ่อนตัวและเปิดเผยให้เห็นเป็นครั้งคราว จึงมีความงามที่ดูขวยเขินราวกับอุ้มผีผาอำพรางไว้อยู่ครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ยากแก่การอธิบายของมัน เมื่อมันเข้ามาใกล้เธอที่อยู่ทางด้านนี้ ทันใดนั้นลำธารก็ขยายกว้างขึ้นมากมาย กลายเป็นแม่น้ำสายน้อยที่ไม่ลึกไม่ตื้นเกินไป ข้างในยังมีปลาขนาดเท่าฝ่ามือกำลังเวียนว่ายอย่างมีความสุข
บนริมฝั่งแม่น้ำมีดอกไม้ป่าแพรวพราวหลากสีสันก็แผ่กระจายไปทั่วตรงนั้น สายธารไหลผ่านหินกรวดสีสันต่างๆ ไปเบาๆ ทั้งสองด้านส่องสว่างแพรวพราว ดินแดนเทพนิยายของโลกมนุษย์ก็ลอดเข้ามาในสายตาเธอเช่นนี้เอง ทำให้หลิงหลานเกิดเข้าใจผิด ราวกับว่าเธอได้กลับไปสู่โลกในชาติที่แล้วของตัวเอง…
ถึงแม้ว่าพวกทิวทัศน์งดงามที่เธอเห็นในตอนนั้นจะเป็นเพียงรูปภาพอันล้ำค่าบนอินเตอร์เน็ต แต่เธอก็ยังจำทิวทัศน์สวยงามที่ทำให้คนหลงใหลได้โดยตลอด
โลกในปัจจุบันนี้ มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่อยากจะเห็นทิวทัศน์งดงามตามธรรมชาติแบบนี้อีก ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้า ธรรมชาติก็ยิ่งถูกทำลายมากขึ้น ต่อให้ตอนนี้สหพันธรัฐจะมีดาวเคราะห์ที่สามารถอาศัยมากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็หาดาวที่มีทิวทัศน์งดงามอย่างดาวโลกไม่ได้อีกเลย
ข้างลำธารยังมีทางเดินเท้าเล็กๆ คับแคบยืดขยายอย่างคดเคี้ยวออกไปยังสองทิศทาง นี่พิสูจน์ว่าหุบเขาแห่งนี้ไม่ได้ไร้ผู้คน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางที่จะมีถนนสายเล็กๆ แบบนี้อยู่
หลิงหลานเห็นตรงนี้ก็รู้สึกยินดีอย่างไม่ต้องสงสัย นี่หมายความว่าเธอใกล้จะได้รู้แล้วว่าเธออยู่ที่ใด หรือพูดได้ว่าเธอจะได้รู้แล้วว่าต่อไปเธอต้องทำอะไรบ้าง
ถึงแม้ว่าวิธีการเข้ามาของหลิงหลานในครั้งนี้จะแปลกพิกลอยู่บ้าง แต่เธอก็แน่ใจแล้วว่า เธอได้เข้าสู่ภารกิจพิเศษบางอย่างของมิติการเรียนรู้แน่นอน มีเพียงทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเท่านั้น เธอถึงจะกลับไปที่ห้องโถงของมิติการเรียนรู้ได้อีกครั้ง หรืออาจจะกลับไปในมิติของอาจารย์สักคน
ความเป็นจริงแล้วหลิงหลานสงสัยมากๆ ว่าคนที่ทำภารกิจที่ไร้เหตุผลไม่มีคำใบ้อะไร ต้องอาศัยตัวเองตามหาแบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นภารกิจที่อาจารย์หมายเลขห้าแสนโรคจิตทำขึ้นมา มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ได้ โยนเธอเข้าไปในมิติภารกิจโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ถ้าเป็นหมายเลขหนึ่งหรือหมายเลขเก้าจะต้องมาพบเธอ และเตือนเธอก่อน
แน่นอนว่าตอนนี้หลิงหลานได้แต่คาดเดาเท่านั้น ไม่สามารถยืนยันได้ เธอต้องจบภารกิจครั้งนี้ก่อน กลับไปแล้วถึงจะค่อยรู้ผลสรุปที่แน่ชัด เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่หลิงหลานต้องทำก็คือต้องรู้ให้ได้ว่าภารกิจหนนี้ของเธอคืออะไรกันแน่ ไม่อย่างนั้นเธอไม่สามารถไปยังขั้นตอนต่อไปได้เลย และอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของหลิงหลานในตอนนี้ก็คือเรื่องนี้นี่เอง มันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่อาจารย์จะอธิบายภารกิจ ระบบจะแจ้งให้ทราบก่อน ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเธอจะต้องอาศัยตัวเองค้นหาและตัดสินใจ
ภาพฝาผนังพวกนั้นคือคำใบ้อย่างหนึ่งเหรอ? ไม่รู้ว่าทำไม หลิงหลานถึงไม่สามารถปล่อยวางภาพเหล่านั้นได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอรู้สึกมานั่นเป็นกุญแจสำคัญอันหนึ่ง แต่ว่าคืออะไรล่ะ หลิงหลานกลับบอกสาเหตุไม่ได้
ในเมื่อเธอไม่สามารถหาข้อมูลที่มีประโยชน์จากในภาพฝาผนังได้ ถ้าอย่างนั้นเธอก็หาเบาะแสอันใหม่จากที่นี่
หลิงหลานตัดสินใจเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเคลื่อนไหว เธอเริ่มจากมองไปยังทิศทางของสายธารก่อน จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินเท้าคับแคบ เดินไปยังแหล่งกำเนิดลำธาร หลิงหลานชอบเริ่มจากจุดเริ่มต้นมาก เธอคิดว่าแบบนี้ไม่ว่าเธอจะตามหาหรือแก้ไขเรื่องราว ลำดับขั้นตอนจะชัดเจน นอกจากนี้ยังเกิดข้อผิดพลาดได้ยาก
ด้วยเหตุนี้เอง หลิงหลานค่อย ๆ เดินตามขึ้นบันไดเล็กๆ เหล่านั้น ก้าวขึ้นไปทีละก้าว เดินไปได้ประมาณสามสิบนาที เมื่อหลิงหลานเลี้ยวไปตามเส้นทางน้อยๆ ก็พบกับยอดเขาสูงใหญ่ปรากฎขึ้นไม่ไกลนัก มองไปปราดเดียว เธอก็เห็นว่าทางเดินนี้สิ้นสุดลงก่อนจะถึงยอดเขาลูกนั้น
นี่มันทางตัน! ถ้าเธออยากจะประหยัดเวลา หลิงหลานก็ควรจะหันหลังกลับไปที่อีกเส้นทางหนึ่งเพื่อค้นหาเบาะแส หลิงหลานขมวดคิ้ว มองไปที่ยอดเขาลูกนั้น ครุ่นคิดว่าควรจะหันหลังกลับไปดีหรือไหม
“หลิงหลาน เธอต้องจำไว้ว่า ไม่มีคำว่า ‘เกือบจะ’ ในการศึกษาทักษะการต่อสู้มือเปล่า และยิ่งไม่มีทางลัด ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก เมื่อเรียนทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก็คือเรียนรู้ ถ้าเธอยังไม่ได้เรียนครบทุกด้านก็แปลว่ายังไม่ได้เรียนรู้ มันมีแค่สองประเภทนี้เท่านั้น ไม่มีอื่นใดอีก” ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นชากระจ่างใสของอาจารย์หมายเลขเก้าดังขึ้นในห้วงสติของหลิงหลาน
ตอนนั้น สมัยที่เธอยังคงเรียนทักษะการต่อสู้มือเปล่าขั้นพื้นฐานอยู่ อาจารย์หมายเลขเก้าได้ถามเธอว่าเธอเรียนรู้แล้วหรือยัง หลิงหลานได้ตอบอาจารย์หมายเลขเก้าด้วยความระมัดระวังว่าเรียนรู้เกือบจะหมดแล้ว
คำตอบนี้ทำให้อาจารย์หมายเลขเก้าต่อว่าเธออย่างหนัก ยิ่งเตือนเธอว่าไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรจะต้องทำให้เต็มร้อยก่อนถึงจะค่อยคิดจะเดินไปยังขั้นต่อไป
ต้องให้แน่ใจหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เหรอ? หลิงหลานเกาหัว ถอนหายใจออกมาเบาๆ ละทิ้งความคิดที่จะหันหลังกลับไป ภารกิจนี้ไม่น่ามีกำหนดเวลา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเธอก็เข้าไปตรวจสอบดู หลิงหลานรู้ดีว่าถ้าหากเธอไม่แน่ใจ เธอจะไม่มีทางสบายใจได้เลย
หลิงหลานมุ่งหน้าไปยังยอดเขาที่สูงตระหง่านลูกนั้นต่อ เมื่อเดินไปประมาณครึ่งชั่วโมง หลิงหลานก็มาถึงเบื้องหน้ายอดเขาลูกนั้นได้ในที่สุด
ยอดเขาลูกนี้เป็นรูปเว้าโค้งโอบรอบจากภายใน รูปลักษณ์นี้ทำให้มีที่ราบเล็กๆ รูปทรงวงรีปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของยอดเขา ด้านบนเต็มไปด้วยต้นไม้ต่างขนาดใหญ่น้อย มีต้นไม้หลายต้นที่ใหญ่แข็งแรงหาใดเปรียบ มันเติบโตขึ้นที่นี่มาหลายร้อยปีหรือแม้แต่เป็นพันๆ ปีก็มิอาจทราบได้
หลิงหลานมองแวบเดียว แววตาก็วาววับขึ้นมา เพราะเธอเห็นเส้นทางที่เล็กจนมองแทบไม่เห็นทะลุเข้าไปในป่า นี่ต้องขอบคุณอาจารย์หมายเลขหนึ่งที่ให้เธอเอาชีวิตรอดในป่าดึกดำบรรพ์มาหลายเดือน ทำให้เธอได้เรียนรู้ว่าจะเสาะหาพวกเส้นทางปลอดภัยที่ถูกซ่อนไว้อย่างดีได้อย่างไร ไม่ว่ามันจะถูกสร้างขึ้นโดยสัตว์ป่าหรือตัวเธอเองก็ตาม
มุมปากของหลิงหลานยกขึ้นน้อยๆ ทำเรื่องอะไรก็ต้องทำให้แน่ใจหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นจะพลาดโอกาสมากมายได้ง่ายๆ
หลิงหลานย่ำเข้าไปในป่าด้วยความลิงโลด เมื่อเดินเข้าไปในป่าตามเส้นทางที่ปิดบังอำพรางไว้นั้น เธอก็ข้ามผ่านพื้นที่ป่าที่อยู่ลึกไปประมาณสามสิบเมตรสั้นๆ จากนั้นสิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาเธอก็คือรอยแยกเล็กๆ ที่เล็กจนไม่อาจเล็กได้อีกทำให้คนแทบจะมองข้ามไปอยู่ตรงใต้ตีนเขา
รอยแยกนี้ทั้งบางทั้งเล็กเกินไปแล้ว ไม่อาจมองเห็นจุดนี้ได้จากระยะไกล ต่อให้เข้าไปใกล้ขึ้น หากไม่ได้ก้าวผ่านเหล่าต้นไม้สูงใหญ่ที่สูงเสียดฟ้าบดบังสายตาแล้วละก็ เธอก็มองไม่เห็นจุดนี้เลย
ช่องผาเหรอ?
มันถูกซ่อนไว้ หลอกสายตา รวมถึงเป็นกับดักความเคยชินได้พอดีจริงๆ ทำให้คนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป หลิงหลานเองก็เกือบจะยอมแพ้ตั้งแต่ครึ่งทาง โชคยังดีที่เธอยังจำคำพูดของอาจารย์หมายเลขเก้าได้ ทำให้เธอยืนหยัดต่อไป
หลิงหลานรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง บางทีด้านในอาจจะมีคำใบ้ที่เธอต้องการ? หรืออาจจะเป็นคำตอบ?
หลิงหลานค่อยๆ เข้าไปใกล้รอยแยกนั่น มันเป็นช่องผาจริงๆ ด้วย รอยแยกนั้นสามารถให้คนหุ่นปกติผ่านเข้าไปได้ ถ้าคนที่อวบหน่อยต้องการจะผ่านที่นี่ เกรงว่าจะต้องเตรียมพร้อมก่อนถึงจะได้
แน่นอนว่าสำหรับหลิงหลานแล้ว มันไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ร่างจิตของหลิงหลานคือเด็กอายุหกขวบ นอกจากตอนเริ่มแรกที่หลิงหลานยังไม่ได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายในชาตินี้ของเธอโดยสมบูรณ์ ดังนั้นตอนที่เธอเพิ่งจะเข้าไปในมิติการเรียนรู้ รูปลักษณ์ของเธอยังคงรูปลักษณ์ในชาติก่อนเอาไว้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่หลังจากที่เธอเติบใหญ่ขึ้นในชาตินี้ การหลอมรวมก็เป็นไปอย่างราบรื่น รูปลักษณ์ในมิติแห่งจิตของหลิงหลานก็รวมเป็นหนึ่งกับรูปร่างภายนอกของเธอในชาตินี้ ไม่มีความแตกต่างอะไรอีก
หลิงหลานผ่านช่องผาได้อย่างราบรื่น ไม่นึกเลยว่าด้านในจะเป็นหุบเขาในหุบเขา สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาคือทะเลสาบแห่งหนึ่ง คาดว่าทะเลสาบแห่งนี้จะเป็นต้นกำเนิดลำธารสายน้อยที่เธอเดินตามมา และต้นกำเนิดน้ำในทะเลสาบก็ก็มาจากหิมะของเทือกเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่รอบด้าน
หลิงหลานเดินอ้อมทะเลสาบที่กำลังปล่อยไอเย็นออกมาเบาบาง จากนั้นก็เดินไปทางเส้นทางเล็กๆ ต่อ หลังจากที่เดินไปได้ประมาณสองสามนาที หลิงหลานก็สัมผัสได้ถึงสีทองระยิบระยับพุ่งเข้ามาในม่านตา ทำให้หลิงหลานเผลอหรี่ตาลงตามจิตใต้สำนึก
นี่คือทุ่งรวงข้าวขนาดใหญ่ แทบจะสามารถบอกได้ว่าไกลสุดลูกหูลูกตา สายลมในหุบเขาพัดผ่าน ทุ่งรวงข้าวก็ม้วนขึ้นเป็นคลื่นรวงข้าวสีทอง ตอนนี้เป็นอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวของหุบเขา หลิงหลานก็เกิดปรารถนาอย่างบ้าบิ่น อยากจะพุ่งเข้าไปเก็บเกี่ยวธัญพืชที่พวกนี้ให้เรียบร้อยมากๆ…
เอ่อ ความคิดแบบชาวนาน้อยๆ ในชาติก่อนส่งผลต่ออารมณ์ของหลิงหลานอีกแล้ว หลิงหลานอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ในขณะที่หลิงหลานกำลังคิดจะเดินขึ้นหน้าต่อไป จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในสมองเธอ เธอนึกถึงภาพฝาผนังที่ทำให้เธอถูกดูดเข้ามาในหลุมดำภาพนั้น ในแผ่นภาพที่หนึ่งไม่ใช่ว่าก็มีทุ่งรวงข้าวแบบนี้อยู่หรอกหรือ?
นี่เป็นไปได้สูงมาก! ในเมื่อเธอถูกดูดเข้าไปในภาพฝาผนัง เช่นนั้นการเข้าไปในโลกของมันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว ถ้าหากการอนุมานของเธอถูกต้อง หลิงหลานก็ต้องใคร่ครวญแล้วว่า มิติการเรียนรู้ให้เธอเข้ามายังโลกใบนี้ เพื่อต้องการจะให้เธอทำอะไรกันแน่?
เมื่อย้อนนึกถึงรอยยิ้มที่เหมือนกันของตัวเอกในแผ่นภาพที่หนึ่งและแผ่นสุดท้าย ความหมายที่รอยยิ้มให้มาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หลิงหลานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ภารกิจของเธอเกี่ยวข้องกับรอยยิ้มนี้หรือเปล่า?
หลิงหลานเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ ก็ได้ยินเสียงจักรกลดังขึ้นมาจากบนท้องฟ้าของหุบเขา “ขอแสดงความยินดี คุณได้รับรู้ถึงเบาะแสสำคัญ ขณะนี้กำลังประกาศภารกิจพิเศษหนึ่งเดียวของมิติเรียนรู้ ค้นหาเส้นทางพัฒนาการที่ถูกต้อง!”
……………………………………