Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 124 โลงศพ,ร่างมหาปราชญ์
ตอนที่ 124 โลงศพ,ร่างมหาปราชญ์
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน,ตระกูลชั้นสูงคนอื่นๆก็ลุกขึ้นตามมา ยิ่งพวกเขาเดินหน้าขึ้นไป,พลังปราณยิ่งเหือดแห้ง หากพวกเขามีหินวิญญาณไม่เพียงพอพวกเขาคงไม่สามารถผ่านมันไปได้
“ไปกัน,เหลืออีกเพียง 500 ขั้น ลองไปรวดเดียวให้ถึง!” จีชางคงพูดขึ้น ในตอนนี้เขามองเห็นยอดของจุดสูงสุดแล้ว
หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็เดินนําขึ้นหน้าไปเช่นเดิม ดวงตาอันแหลมคมของเขามองกวาดไปข้างหน้ามีดวงดารานับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ทุกก้าวที่เขาเดิน จะมีดวงมีดดับ หลังจากนั้น ดวงดาวที่สุกสว่างยิ่งกว่าถูกสร้างขึ้นแทนที่
หากมีคนที่เข้าใจถึงเคล็ดวิชาของตระกูลจําอยู่ที่นี้,พวกเขาคงจะตกตะลึง จีชางคงกําลังบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณยุทธอรุณดาราของเขาแม้กําลังอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ทุกคนก้าวขึ้นบันไดหินไปอย่างช้าๆ ทุกย่างที่ก้าวเดินเคลื่อนเข้าใกล้จุดยอดขึ้นไปทุกที่ มีแรงกดลงมาที่ไหล่ของพวกเขาราวกับมีชั้นพลังที่มองไม่เห็นหยุดไว้เขาเอาไว้
“ปัง!”
ระดับขอบเขตนักบุญตระกูลจีผู้หนึ่งก้าวเดินขึ้นไป และ ก่อนที่เท้าของเขาจะได้เหยียบลงมาร่างของเขาก็ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผง
จีชางคงไม่ได้หันกลับไปเสีหน้าของเขาไม่แปลเปลี่ยนแม้ต่อน้อย เขากุมหินวิญญาณระดับต่ําเอาไว้และพยายาม ก้าวขึ้นต่อไปที่ละก้าว
ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้แท่นหิน,แรงกดอันน่ากลัวยิ่งกดลงมาใส่พวกเขา มันราวกับยกภูเขาขนาดหย่อมลงวางใส่บนบ่า ของพวกเขา บันไดหินแต่ละขั้นเหมือนกับหลุมที่ไร้ก้น ดูดกลืนพลังปราณของพวกเขาทันทีที่เท้าเหยียบลงไป
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”
ระดับขอบเขตนักบุญอีกสองสามคนจากสองสามตระกูล ไม่อาจต้านทานแรงดันได้และร่างระเบิดตายไป ทุกคนล้วนตื่นตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวเกรงกลัวว่าพวกเขา อาจจะเป็นรายต่อไป
“มหาปราชญ์ อยู่ไม่ไกลแล้ว!”
มีแผ่นศิลาตั้งตระหง่านสูงอยู่ตรงหน้าของจีชางคง มีตัวอักษรขนาดยักษ์สี่ตัวเขียนเอาไว้ พลังอันไร้ขอบเขตปลดปล่อยออกมาจากแผ่นศิลา
จีชางคงยิ้มอย่างเย็นชาและกวัดแกว่งดาบของเขา คลื่นดาบพลังฉีซัดเข้าที่แผ่นศิลา รอยแตกปรากฏขึ้นบนแผ่นศิลา ก่อนที่มันจะพังลงมาแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย
เขาเงยหัวขึ้นมองไปยังแท่นหินที่อยู่ด้านบน เขาเหลืออีก เพียงสิบก้าวก่อนที่จะไปถึง จีชางคงตะโกนขึ้นมาเบาๆ
และมีร่างมนุษย์ปรากฎออกมาจากร่างของเขา
มันยืนอยู่บนบันไดหินด้านหน้าของเขา จากนั้นก็มีร่างมนุษย์ตนอื่นปรากฏออกมาจากร่างข้างหน้ายืนอยู่บนบันได ขั้นต่อไป มันเกิดขึ้นซ้ําสิบครั้งจนในที่สุดร่างของจีชางคงก็ยืนอยู่จุดบนสุดของแท่นหิน
จีชางคงสูดหายใจเข้าลึก ร่างแยกด้านหลังของเขาผสาน กลับเข้าไปในร่างกายของเขาราวกับภาพลวงตา ที่จุดสูงสุดของแท่นหิน,มันมีสิ่งก่อสร้างกว้างแบนราบ มีโลงศพสีทองของมหาปราชญ์ตั้งอยู่ตรงกลาง
มีพลังฉีเที่ยงธรรมบางๆลอยออกมาจากโลงศพ จีชางคง ไม่อาจต้านทานได้เผยรอยยิ้มบางเบาออกมา หลังจากที่เขาวางแผนมาอย่างแยบยลและฝ่าฟันเอาชีวิตรอดมาได้ ด้วยโอกาสแสนน้อยนิด,ในที่สุดเขาก็มาถึง
โลงศพสีทองสูงพอดีกับตัวคน จีชางคงเดินไปข้างหน้าอย่างไร้กังวลเข้าไปอย่างช้าๆ ในจังหวะนั้นเอง,มีเงาคนปรากฏขึ้นจากอีกด้านหนึ่ง จีชางคงตกอกตกใจและ ถอยกลับออกมาหลายก้าว
“พี่น้องชางคงไม่เจอกันพักนึงแล้ว” เฉาหยุ่นเดินออก มาจากอีกด้านหนึ่งของโลงศพ เขามองไปที่จีชางคง,ยิ้มขี้นมา
จีชางคงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาประหลดใจสุดขีด เขาไม่ได้ คาดฝันว่าจะมาพบกับฉู่เฉาหยุ่นที่นี้
มันช่างน่าประหลาดใจ
“ปัง! ปัง! ปัง!”
ฮวาหยุ่นเฟย ตวนมู่ฉิง และขุนนางกุยยื่นระดับขอบเขตนักบุญที่เหลือขึ้นมาถึงจุดบนสุด เมื่อพวกเขาเห็นฉู่เฉาหยุ่น พวกเขาต่างประหลาดใจ
ฉู่เฉาหยุ่นพูดอย่างเฉยเมย “อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าเพิ่งมา ถึงเช่นกัน โลงศพสีทองยังไม่มีใครแตะต้อง” หลังจากที่เขาพูดจบ เขาทําท่าเชื้อเชิญพร้อมกับถอยไปหนึ่งก้าว
จีชางคงหันไปมองหน้าสบตากับตวนมู่ฉิง ฮวาหยุ่น เฟย และขุนนางกุยยี่ พวกเขาทั้งสามต่างรู้ใจกันว่าจะทําเช่นไร พวกเขาเดินอย่างช้าๆตรงไปที่ฉู่เฉาหยุ่น และกันเขาออก ไปด้านนอก ฉู่เฉาหยุ่นเพียงแค่ยิ้มบางๆและไม่ได้ไปใส่ใจ อะไรพวกเขา
“บูม!”
จีชางคงส่งฝ่ามือซัดออกไปที่ฝาของโลงศพสีทอง เสียงดัง ไพเราะนึกก้องสะท้อนไปทุกที่ฝูงชนรู้สึกได้ถึงแก้วหูที่สั่นสะเทือน
มุมของฝาโลงเปิดออกอย่างไรก็ตาม จีชางคงจ้องไปที่ ฝ่ามือของเขาอย่างประหลาดใจ หลังจากนั้น เขาบอกกับคน ด้านข้างของเขา “พวกเจ้าลองดู ดูว่าเจ้าเรียกพลังปราณออกมาได้บ้างหรือไม่”
เมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างนิ่งงง พวกเขาลองดูในทันทีและพบว่าจิตวิญญาณยุทธที่จุดตันเที่ยนดูเหมือนจะถูกผนึกเอาไว้ ไม่ว่าพวกเราจะโคจรพลังของพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจเรียกจิตวิญญาณยุทธออกมาได้
“เกิดอะไรขึ้น?” ทุกคนต่างอุทานขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
ฉู่เฉาหยุ่นยิ้มบางๆ เขาเดินผ่านฝูงชนเข้าไปและพูดขึ้น “มาดูกันก่อนเถอะว่าข้างในโลงศพมีอะไร”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างวางความสงสัยของพวกเขาลงไปก่อนและมุ่งหน้าเดินไปที่โลงศพ หลังจากที่ทุ่มเทพยายามมาทุกคนต่างสงสัยว่าจะมีมหาปราชญ์ ท่านใดกําลังนอนอยู่ในโลงศพ
ข้างในโลงศพสีทอง มีชายสง่างามในชุดคลุมสีม่วงกําลัง นอนนิ่งอย่างสงบ มือทั้งสองของเขาวางอยู่บนหน้าอกกําลังกุมดาบเอาไว้
จีชางคงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “นี่มันจักรพรรดิคนสุดท้ายของราชวงศ์เทียนวู่มิใช่รึ? ทําไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่?”
ขุนนางกุยยี่และคนที่เหลือทั้งหมดต่างประหลาดใจ ตลอดทางที่พวกเขามาที่นี่, ทุกสิ่งอย่างบ่งชี้ว่าที่นี่คือซากโบราณของของมหาปราชญ์ ทักษะต่อสู้ที่พวกเขาได้รับมาจาก โลงศพสีดําพวกนั้นต่างเป็นข้อพิสูจน์ นอกจากนั้นยังมีภาพสลักนับไม่ถ้วนอยู่บนผนัก พวกมันทั้งหมดเป็นรูปแบบจากยุคโบราณ
มันเป็นเวลากว่าหนึ่งหมื่นปีหลังยุคโบราณสิ้นสุดลงและ ราชวงศ์เทียนวู่ถือกําเนิดขึ้นมา จักรพรรดิคนสุดท้ายของ ราชวงศ์เทียนวู่ล่วงลับไปได้เพียงหนึ่งพันปีก่อนเขามีความเกี่ยวข้องเช่นไรกับมหาปราชญ์เมื่อสองหมื่นปีก่อน
“ฟุว!”
ชายในชุดม่วงข้างในโลงศพมหาปราชญ์ทันใดนั้น ก็ลืมตาขึ้น แสงเรืองสีม่วงปรากฏขึ้นบนดวงตาของเขา ก่อนที่ระดับขอบเขตนักบุญผู้ที่กําลังจ้องมองอยู่จะได้ ตอบโต้ใดๆ เขาก็ถูกเผาจนตาย
“จักรพรรดิเทียนวู่ฟื้นคืนชีวิต?”
“หรือนั้นจะเป็นเปลวเพลิงสวรรค์ในตํานาน?” ผู้บ่มเพาะพลังทุกคนถอยหนี และหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว แม้ว่าราชวงศ์เทียนวู่จะล่มสลายไปแล้วแต่ตํานานของมันยังคงไม่ถูกลืมเลือน
ในครั้งนั้น จักรพรรดิเทียนวู่รุ่นแรกพึ่งพลังที่โดดเด่น สั่นสะเทือนสวรรค์ทั่วทวีปเทียนวู่ เขาก่อตั้งจักรวรรดิเทีย นอู่ที่คงอยู่มานับหมื่นปี ความสําเร็จที่นับได้ว่าไม่เคยมี มาก่อนและไม่มีทางเกิดขึ้นมาอีก เขาเคยเป็นอันดับหนึ่ง ไร้ผู้ต่อต้านในอดีตหรืออาจจะแม้กระทั่งถึงตอนนี้
ตามตํานานกล่าวไว้ว่าเขาได้ไปหยิบยืมเปลวเพลิงสวรรค์ มาจากเบื้องบน เมื่อเปลวเพลิงสวรรค์ลุกไหม้ไปจนถึงขีด สุดของมันทั่วทั้งทวีปต้องหลอมละลาย มันเป็นจ้าวของเปลวเพลิงทั้งปวง ไม่มีอะไรต่อต้านมันได้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้สืบทอดของจักรพรรดิมีความแข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิ แม้แต่จักรพรรดิเทียนวู่คนสุดท้ายผู้ที่นอนอยู่ที่นี่ก็มีความแข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิ หากเขาตื่นขึ้นมาจริงๆ จะไม่มีผู้ใดหนีรอดไปได้
ฉู่เฉาหยุ่นเผยสีหน้าครุ่นคิดลึก เขาเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ตรวจดูชุดสีม่วงของจักรพรรดิ เขาพูดขึ้น “ไม่มีอะไรต้องกังวล มันเป็นเพียงแค่สายพลังฉีสะท้อนกลับ เพียงแค่อย่ามองไปที่ตาของเขาก็พอ”
ทุกคนคิดอย่างถ้วนที่และเห็นด้วยกับเขา มันคงไม่มีเรื่องอย่างผู้ไม่อาจตาย แม้แต่มหาจักรพรรดิเทีย นว์ก็ตบตายไปเมื่อหลายปีก่อน นอกจากตํานานระดับขอบเขตพระเจ้า ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น
มองดูไปที่โลงศพอีกครั้งเปลวไฟลุกโชนในดวงตาของทุกคน แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าร่างของมหาปราชญ์จะไปอยู่ ที่ใดแต่มูลค่าของร่างจักรพรรดิเทียนวู่ก็ไม่ใช่ด้อยไปกว่า
เพียงแค่เปลวเพลิงสวรรค์ที่บรรจุอยู่ในร่างของเขาก็นําพาให้ผู้คนกลายเป็นบ้าคลั่งนั้นเป็นเพาะพลังอํานาจของเปลวเพลิงสวรรค์ที่มีมากเกินไป ก่อนที่จักรพร รดิเทียนวู่รุ่นแรกจะล่วงลับ เขาได้ตัดแบ่งเปลวเพลิงสวรรค์ออกเป็นสิบส่วนเหลือไว้เพียงส่วนที่ สิบส่งต่อให้ทาญาติของเขา
แม้มันจะเป็นเพียงหนึ่งในสิบส่วน,พลังอํา นาจของเปลวเพลิงสวรรค์ก็ยังคงน่าหวาดกลัว ตัดผ่าภูเขา เผาพื้นพิภพจนกลายเป็นแดนร้างทั้งหมดนี่คือสิ่งที่มัน สามารถทําได้อย่างง่ายดาย
ทุกทุกคนมาสุมหัวกันที่โลงศพมหาปราชญ์ในตอนนี้เอง พวกเขายังไม่กล้าขยับลงมืออะไร จีชางคงยื่น มือของเขาออกไปและปิดตาของจักรพรรดิลงอย่างช้าๆ ตอนนี้
จักรพรรดิในโลงศพหลับตาลงอีกครั้ง
‘หุ!’
ฮวาหยุ่นเฟยยื่นแขนของเขาออกไปหยิบเอาดาบของจักรพรรดิเทียนวู่ เขาพูดขึ้นอย่างเป็นสุข “ดาบแยกนภา, นี่คืออาวุธศักดิ์, อาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง”
“ปัง!” อาวุธศักดิ์สิทธิ์ดิ้นหลุดมือของฮวาหยุ่นเฟยและลอยไปหางขุนนางกุ้ยย ฮวาหยุนเพย สีหน้าเปลี่ยนเขารีบยื่นมือออกไปตั้งใจจะคว้ามันเอาไว้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามอาวุธศักดิ์สิทธิ์รวดเร็วเกินไปเขาไม่อาจคว้าเอาไว้
ขุนนางกุยยี่ยืนมือของเขาออกไปและคว้าจับเอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ เขาเต็มไปด้วยความงุนงง เขาไม่อาจเข้าใจว่าทําไมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ถึงลอยมาหามือของเขา นอก จากนั้นเขายังใช้หอกไม่ใช่ดาบ
ฮวาหยุ่นเฟยเคลื่อนที่ไปตรงหน้าขุนนางกุยยอย่างรวดเร็ว และยื่นมือของเขาออกไปหมายจะฉกเอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์กลับมา ขุนนางกุยยจ้องมองไปที่ทเขาและถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ฮวาหยุ่นเฟย เจ้ากําลังจะทําอะไร?”
ฮวาหยุ่นเฟยมองไปที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือของขุนนางกุยยี่และพูดขึ้น “ข้าจะทําอะไร? คืนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของข้ามาซะ
ขุนนางกุยยี่ยิ้มอย่างเย็นชา “อาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้เลือกนายของมันแล้วมันชัดเจนว่าเจ้าไม่คู่ควรที่ได้จะได้ ถือครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ หยุดทําตัวก่อปัญหาน่ารําคาญ”
“ขอดีๆไม่ไม่ได้ต้องให้บังคับ!” ฮวาหยุ่นเฟยไม่ชอบขี้หน้าขุนนางกุยยีมานานแล้ว เขาจดจําตอนที่เขาถูกขวางไม่ให้ฆ่าเซียวเฉินในใจ
ตอนนี้เขามีข้ออ้างและนักรบทองคําของขุนนางกุยยี่ก็ไม่ อยู่ที่นี้เขาไม่มีความลังเลที่จะลงมือพร้อมกับระดับขอบเขตนักบุญอีกสี่คน
ไม่มีทางที่จะใช้พลังปราณตอนอยู่บนแท่นหิน การต่อสู้ใช้ ได้เพียงความแข็งแกร่งทางกายและทักษะเท่านั้น
แม้ว่าขุนนางกุยยี่จะตัวคนเดียว เขาก็อยู่ในสนามรบมาตั้ง แต่ยังเยาว์ ประสบการณ์ของเขาสูงล้ํากว่าห้าคนตรงหน้า ฮวาหยุ่นเฟยและกลุ่มของเขาไม่อาจทําอะไรขุนนางกุยยีได้แม้แต่น้อย
จีชางคงเหลือบไปมองการต่อสู่ข้างหลังของเขาและ เบือนหน้าหนีไม่หันกลับไปมองอีกเลย เขามองไปที่ฉู่เฉาหยุ่นและพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “พี่น้องเฉาหยุ่น หากพวกเราสามารถดึงเอาเปลวเพลิงสวรรค์ออกมาได้ เอาเป็นว่าแบ่งกันอย่างเท่าเทียม?”
ฉู่เฉาหยุ่นยิ้มบางเบาและมองไปที่จีชางคง “ข้าไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ”
หลังจากที่พวกเขาตกลงกันเรียบร้อยพวกเขาพูดคุยกัน ว่าจะดึงเอาเปลวเพลิงสวรรค์ของจักรพรรดิเทียนวู่ออกมาได้ เช่นไร หลังจากที่เปลวเพลิงสวรรค์ถูกดูดซับมันจะต้องซ่อนเร้นอยู่ใต้ผิวหลังของเจ้าของมันทุกระเบียบนิ้ว มันเป็นการยากอย่างที่สุดที่จะดึงเอามันออกมาได้แทบจะติดกับขอบของคําว่าเป็นไปไม่ได้
วิธีตรงๆที่จะดึงเอาเปลวเพลิงสวรรค์ออกมาก็คือนําร่างของจักรพรรดิเทียนว์ไปผ่านการกลั่นสกัด หลังจากผ่านกลั่นสกัดเปลวเพลิงสวรรค์จะควบแน่นและปรากฏขึ้นไม่เคยมีวันมอดดับ
อย่างไรก็ตามกลั่นสกัดร่างของจักรพรรดิเทียนวูด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขามันเป็นได้แค่ฝันโง่เง่า ระหว่างที่พวกเขาพยายามจะทํามันอาจจะเป็นไปได้ ว่าจะต้องทรมานจากเปลวเพลิงตีกลับทําให้พวกเขาถูกเผา จนไม่เหลือแม้แต่ฝุ่น
นอกจากเปลวเพลิงสวรรค์แล้วยังมีทักษะที่สืบทอดกัน มาของราชวงศ์เทียนวู่ร่ายรําดาบสละชีวิตโลหิตห้วนรื่น มันเป็นสมบัติล้ําค่าที่ทําให้ทุกคนต้องตาโต หากพวกเขาสา มารถหามันพบ,มูลค่าของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเปลวเพลิงสวร รค์
จีชางคงค้นหาไปรอบๆโลงศพทองคํา อย่างไรก็ตามหลังจากที่ค้นหามานานเขาไม่แม้แต่จะพบอะไรสักอย่าง เขามองตรงไปที่ฉู่เฉาหยุ่นอย่างช่วยไม่ได้ มันจะเป็นไปได้รึที่ที่พํานักสุดท้ายของจักรพรรดิเมียนอู่จะไม่มีตําราร่ายรําดาบสละชีวิตโลหิตห้วนคืน