Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 130 ข้อสงสัยที่เกิดจากฉาวอวิ่น
ตอนที่ 130 ข้อสงสัยที่เกิดจากฉาวอวิ่น
คนผู้นั้นโชคดีเป็นอย่างมากที่ได้พบกับเซี่ยวเฉิน มีผู้บ่มเพาะหลายคนที่โชคร้ายเช่นเขาถึงขนาดที่ว่าไม่สามารถหาสถานที่อบอุ่นอยู่หรือมีอาหารกินหลังจากเป็นคนพิการ พวกเขามีชีวิตอยู่อย่างน่าสังเวชได้เพียงเท่านั้น
ตอนนี้เอง ก็มีคนรับใช้ผู้หนึ่งเข้ามาหาเซี่ยวเฉินและ พูดกับเขากับเขาในทันที “ท่านแขกผู้มีเกียรตินายน้อยของเราเชิญคุณไปพบ”
เซียวเฉินประหลาดใจเล็กน้อย ข้าได้แปลงโฉมเรียบร้อยแล้ว เจ้าหมูมันจําข้าได้ยังไงกัน? เซี่ยวเฉินเต็มไปด้วยความสงสัย เขานํากระดิ่งทองแดงออกมาและเดินตามคนรับใช้มุ่งหน้าตรงสู่ชั้นที่ห้า
บนชั้นห้า ใบหน้าคุ้นเคยของเจ้าหมูก็มองไปที่เซี่ยวเฉินที่เดินขึ้นมา เขาหัวเราะเสียงดังตบหลังของเซี่ยวเฉินอย่างรุนแรงและพูดว่า “ให้ตายเถอะ! เจ้ามันช่างมีความสามารถนัก แม้จะถูกพวกตระกูลชั้นสูงความหาตัวเจ้าอยู่ แต่เจ้าก็ยังไม่ถูกพบ แล้วคราวนี้มีอะไรล่ะ? เจ้ามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือนายท่านหมผู้นี้เพื่อช่วยเจ้าหลบหนี ?”
เซี่ยวเฉินยิ้มเล็กน้อยและพยายามไขข้อสงสัยของเขา เจ้าหมูยื่นมือชี้ให้เซี่ยวเฉินนั่งลง จากนั้นเขาก็กางพัดที่เป็นสัญลักษณ์ของตนและพัดให้กับตนเอง
เขายิ้มอย่างหยิ่งผยอง “ความอัจฉริยะของนายท่านหมูผู้ นี้ก็แค่มากกว่าคนอื่นเล็กน้อย ข้ารู้ว่าเมื่อเจ้าเข้าเมืองมา เจ้าจะต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนอย่างไรก็ตาม แหวนบนนิ้วของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง
“ดังนั้น ข้าจึงนํารูปวาดแหวนของเจ้าให้กับข้ารับใช้ ทุกคนดู และบอกให้พวกเขานคนที่สวมแหวนแบบนี้มาหาข้าในทันที”
เซี่ยวเฉินมองดูแหวนห้วงจักรวาลบนนิ้วของตน และ ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าหลังจากเขาวาง แผนทั้งหมดแล้วมันจะยังมีช่องโหว่ที่เห็นได้ชัดอยู่เช่นนี้
เซี่ยวเฉินหวนคิดเสร็จก็มองไปที่เจ้าหมู และถามว่า “ในวันนั้นที่บนแท่นหิน… หลังจากข้าจากไป เจ้าได้เห็นสิ่งที่ฉู่ฉาวอวิ๋นกระทําหรือไม่ ?
เจ้าหมูส่ายหัวและถอนหายใจ “ไม่ เมื่อเจ้าบินออกไป พวกเราทุกคนก็ออกจากแท่นหิน ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงสิ่งที่ฉู่ฉาวอวิ๋น เมื่อเรากลับไปแล้ว ไม่ว่าจะโลงศพหรือศพ และรวมไปถึงฉู่ฉาวอวิ๋นก็หายตัวไป”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ เซี่ยวเฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบ เขาจัดการชี้แจงถึงสิ่งที่เขาสงสัยเมื่อตอนที่เขาเดินทางไปยังซากโบราณ
อย่างไรก็ตาม ฉู่ฉาวอวิ๋นและโลงศพก็หายไปพร้อมกัน เขายังไม่เข้าใจเรื่องนี้ แม้ว่าจักรพรรดิเทียวหรู่จะไม่ได้มาจากยุคบรรพกาล เขาหยั่งรู้ได้ถึงกฎแห่งสวรรค์และปฐพีและ ยังบรรลุถึงเต่าของตนเองด้วย
ร่างกายจะปลดปล่อยเต๋ออกมาตลอดเวลามันจึงปฏิเสธ แหวนมิติ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะนําร่างกายใส่เข้า ไปในแหวนมิติ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังหายไปพร้อมกับโลง ศพขนาดใหญ่ มันเกิดขึ้นได้เช่นไร?
นอกจากคิดเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เซี่ยวเฉินกําลังคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่เดินทางไปยังซากโบราณ เขารู้สึกเหมือนว่ามันมีคนอยู่เบื้องหลัง กําลังจัดฉากขึ้นมาและเปลี่ยนทุกคนให้เป็นตัวหมาก
เซียวเฉินถามเจ้าหมู “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ตระกูลเจียงได้รับแผนที่ซากโบราณมาเช่นไร?”
ไม่มีบุคคลภายนอกผู้ใดรู้ว่าตระกูลเจียงได้รับแผนที่ ซากโบราณมาเช่นไร มันดูเหมือนว่าจู่ๆมันก็ปรากฏออกมา โดยไม่ทิ้งเบาะแสไว้เบื้องหลัง
เช่นนั้น ข่าวมันรั่วไหลออกมาโดยบังเอิญ และลากตระกูลชั้นสูงของแคว้นตงหมิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตระกูลเจียงนั้นแท้จริงมีผู้หนุนหลัง ตระกูลจี้ผู้ไม่หวาดกลัวต่อตระกูลชั้นสูง ทุกสิ่งทุกอย่างมันตกลงสู่ความสมดุลที่เปราะบาง ไม่มีใครสามารถสํารวจ ซากโบราณได้เพียงลําพัง พวกเขามีแต่ต้องร่วมมือกันเท่านั้น
จินต้าเปา นำภาพวาดที่อายุแตกต่างกันทั้งหลายออกมา ภาพวาดเหล่านี้เก่าแก่มากจนไม่น่าเชื่อ ภาพทั้งหมดปลดปล่อยออร่าอันเก่าแก่ เซี่ยวเฉินเดาว่าภาพที่อายุมากที่สุดก็ไม่ต่ำกว่าสามพันปีแล้ว
เจ้าหมูพูดออกมาช้าๆ “ข้ารู้สึกตัวช้าเกินไป ก่อนที่พวกเราจะเข้าไปในซากโบราณ ข้าก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เช่นนั้น ข้าจึงสั่งคนของข้าให้รวบรวมข่าวทั้งหมดของซากโบราณในแคว้นตงหมิง”
“ในที่สุด ข้าก็เพิ่งจะได้รับรายงานมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ปลายทางสุดท้ายของภาพวาดทั้งหลายชี้เป้าไปที่พระราชวังใต้ดินที่พวกเราไปมา ข้าได้ตรวจสอบแล้ว ภาพวาดที่ เก่าแก่ที่สุดถูกสร้างขึ้นตอนที่ราชวงศ์เทียนหวี่ล่มสลายแล้ว”
เซี่ยวเฉินประหลาดใจ ราชวงศ์เทียนหวี่ล่มสลายเมื่อห้าพันปีก่อน กล่าวได้ว่าเรื่องนี้ถูกวางแผนเอาไว้ตั้งแต่เมื่อห้า พันปีก่อนและดําเนินต่อมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อคิดเกี่ยวกับแท่นหินประหลาดและศพจํานวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในนั้น เซี่ยวเฉินก็กล่าวด้วยความไม่เชื่อ “เจ้ากําลังจะบอกว่ามีใครบางคนพยายามชุบชีวิตให้กับจักรพรรดิเทียนหวู่? เห็นได้ชัดว่าค่ายกลโบราณที่อยู่ด้านล่างแก่นหินกําลังดูดซับพลังชีวิตและพลังจิตวิญญาณของ ทุกคนก่อนที่จะรวบรวมทั้งหมดไว้ในที่เดียว”
เจ้าอ้วนเกาศรีษะของตนและกล่าว “นั่นน่าจะเป็นไป ไม่ได้ในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของทวีปเทียนหวู่ วิธีการชุบชีวิตคนตายนั้นไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้จะเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีทางทําเช่นนั้นได้ มีผู้คนมากมายที่พูดเกี่ยวกับวิธีการคืนชีพให้กับคนตาย แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่ในความทรงจําของเขาในสมัยนั้น”
เซี่ยวเฉินคิดเกี่ยวกับมันและเห็นด้วย การคืนชีพให้กับคนตายนั้นเป็นการต่อต้านวัฐจักรแห่งเต่า ถ้ามันเกิดขึ้น จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับกฏแห่งสวรรค์และปฐพี
“เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับขอบเขตนักปราชญ์ไร้หัวจํานวน มากที่อยู่บนแท่นหิน?” เซียวเฉินจําได้ว่ายังมีดาบหักอยู่ใน แหวนห้วงจักรวาลของเขา จนถึงทุกวันนี้ เขาก็ยังไม่สามารถทําความเข้าใจพิเศษอะไรจากมันได้ เขาอยากจะเห็นว่าเขาสามารถงัดข้อมูลบางอย่างจากเจ้าหมูได้หรือไม่
จินต้าเปานำภาพวาดโบราณออกมาและพูดขึ้น “นี่เป็น ภาพวาดเมื่อพันปีที่ผ่านมา ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่รุ่งเรือง มากที่สุดของอาณาจักรต้าฉัน ไม่ว่าจะแคว้นตงหมิง ซีเหอ หรือ หนานหลิง ก็มีอัจฉริยะอยู่มากมาย”
“ผู้คนที่อยู่ในช่วงเวลานั้นเป็นผู้ที่อยู่จุดสูงสุด พวกเขาทั้งหมดอยู่ขอบเขตปราชญ์ ตามความเข้าใจของข้า นั่นควรจะเป็นช่วงเวลาสุดท้าย แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางคนปล่อย ข่าวแผนของพวกเขาออกไป ดังนั้นตอนนี้พวกเราจึงเดินทางไปที่นั่นได้”
ผู้ที่คิดแผนนี้ออกมาน่าจะเป็นผู้ที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งในตอนที่เขาคิดแผนออกมา เขาถึงขนาดสามารถทําให้ ขอบเขตปราชญ์เต้นอยู่บนฝ่ามือของเขาได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ปล่อยข่าวแผนของเขาออกมา แต่แน่นอนว่าระดับการบ่มเพาะของเขาจะต้องไม่ต่ํา
เจ้าอ้วนพึมพํากับตนเองครู่หนึ่งก่อนพูด “ตามสถานการณ์ในยุคนั้น มีเพียงคนเดียวในอาณาจักรต้าฉินที่ทําแบบนั้นได้”
“ใคร?”
“จักรพรรดิอัสนีซ่างมู่!” จินต้าเปาพูดออกมาช้าๆ “จักรพรรดิอัสนี้คือระดับขอบเขตจักรพรรดิยุทธคนสุดท้ายของอาณาจักรต้าฉิน เขาเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในอา ณาจักรต้าฉัน ไม่มีใครรู้ว่าที่อยู่ในบั้นปลายชีวิตของเขานั้นคือที่ไหน ข้าเดาว่าเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน”
เซี่ยวเฉินไม่ได้แปลกใจมาก เขาเองก็คิดเช่นเดียวกับเจ้าหมูรอยบาดแผลที่คอของขอบเขตปราชญ์นั้นจะต้องเป็นแผลที่เกิดจากสายฟ้าแน่นอน
เมื่ออ๋าวเจียวฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาสามารถลองถามเธอได้ในฐานะที่เป็นจิตวิญญาณอาวุธของดาบไม้อัสนี เธอน่าจะรู้อะไรบางอย่าง
“ดูเหมือนเจ้าจะลืมใครบางคนไปแล้ว” เซี่ยวเฉินพูด เขาไม่ได้ไล่หาคําตอบของคําถามก่อนหน้านี้ต่อ
จินต้าเปายิ้มเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าเจ้าพูดถึงใคร ฮู่ฉาวอวิ๋นใช่ หรือไม่? ข้าพูดได้แค่ว่าคนผู้นี้ช่างลึกลับและแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จะเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าไม่ไปขัดใจเขา”
ไม่ไปขัดใจเขา? อย่างไรก็ตาม เซียวเฉินรู้สึกได้ว่าเขาจะต้องได้ประมือกับคนผู้นั้นไม่ช้าก็เร็ว นี้เป็นรางสังหรณ์ที่ไม่มี เหตุผลหรือหลักฐาน มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึก
หลังจากได้รับข้อมูลแล้ว เซี่ยวเฉินก็ลุกขึ้นและเตรียมตัวที่จะจากไป เจ้าหมูรีบดึงเขากลับมาและพูดว่า “เจ้าแน่ใจว่า ไม่ต้องการให้ข้าช่วยเจ้าหนี? สานุศิษย์ของตระกูลชั้นสูง ทั้งหมดกําลังตามล่าเจ้าอยู่”
เซี่ยวเฉินยิ้มเล็กน้อย “ไม่จําเป็นหรอก จริงด้วยเจ้าช่วยบอกให้ใครสักคนนข้าวต้มปลามาให้ข้าหน่อย ข้าต้องการมัน”
เจ้าหมูเรียกข้ารับใช้มาเพื่อสั่งให้ทําข้าวต้มปลาให้ เซี่ยวเฉิน จากนั้นเขาก็พูดว่า “ใช่แล้วในเวลาเช่นนี้ พวกตระกูลชั้นสูงและตระกูลเจียงอยู่ที่ปาอํามหิต เจ้าอยู่ที่เมืองไป สู่ยจะปลอดภัยกว่า”
“อย่างไรก็ตาม พี่ชายเซียว ท่านไม่ได้ลืมอะไรไปหรือ?”
เซี่ยวเฉินถามออกไปด้วยความสับสน “อะไรหรือ?” 3600
เจ้าหมูหัวเราะเสียงเบาและนําหนังสือเจ้าหนี้ออกมา เขากล่าว “พี่ชายเซียว ท่านจะต้องทําให้มั่นใจว่าจะไม่ลืม หนังสือเจ้าหนี้เล่มนี้เร็วเกินไปนอกจากนี้ หากท่านจะขาย สมบัติของตระกูลชั้นสูงให้กับผู้อื่น ดังนั้นท่านก็ควรจะขายให้ข้า ถ้าท่านทําเช่นนั้น ข้าจะคิดเกี่ยวกับการปลดหนี้”
ข้าลืมเรื่องนี้ไปสนิท เซี่ยวเฉินคิดอยู่พักหนึ่ง เขาเองก็ไม่ได้ต้องการของพวกนี้ ดังนั้น เขาจึงนำอาวุธจิตวิญญาณ ชุดเกราะ ทักษะต่อสู้โบราณ และยาโอสถทั้งหลายออก มาจากแหวนห้วงจักรวาล
กองสมบัติปรากฏขึ้นดั่งภูเขาขนาดเล็กบนโต๊ะขนาดเล็ก เจ้าหมูมองพวกมันจนเกือบลูกตาถลน หลังจากผ่านไปนาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
ผ่านไปนาน เจ้าหมูก็เห็นเซี่ยวเฉินมองไปที่เขาอย่างแปลกๆ เขาจึงรีบหยุดหัวเราะและพูด “ข้าควบคุมตัวเอง ไม่อยู่… ข้าอดไม่ได้จริงๆ จริงด้วย มิใช่ว่ายังมีหินจิตวิญญาณอีกหรือ? นั่นเป็นของดีเลยนะ สานุศิษย์ทุกคนของสามตระกูลชั้นสูงจะต้องมีมันอยู่ในครอบครองบ้าง”
เจ้าหมูตัวนี้ไม่ได้มีความโลภอยู่ในระดับปกติ เซี่ยวเฉินยิ้ม เล็กน้อยและพูด “เจ้าลืมเกี่ยวกับหินจิตวิญญาณไปได้เลยนี่ คือทั้งหมดที่ข้าจะขายจ่ายครึ่งหนึ่งให้ข้าเป็น หินจิตวิญญาณและที่เหลืออีกครึ่งเป็นตัวเงินสีทอง”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเจ้าหมูก่อนหน้านี้กลายเป็นขมขื่นทันที เขากล่าว “พี่ชายเซียว ให้ข้าบอกท่านอย่างนึง มันเป็นเรื่องง่ายที่จะจ่ายเป็นตัวเงิน แต่สําหรับหินจิตวิญญา ณมันจะมีปัญหามากหน่อย”
เซี่ยวเฉินนคิดซักพักแล้วก็ตอบกลับ “เช่นนั้นก็เปลี่ยน เป็นตัวเงินทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นํามันมาทั้งหมดพร้อมในพรุ่งนี้เช้า ไม่แน่ข้าจะไม่ปรากฏตัวที่แคว้นตงหมิงอีกแล้ว”
เจ้าหมูรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเซียวเฉิน เขากล่าว “ไม่ มีปัญหา นี่คือลูกศรปราณแสงทั้ง 20 อันที่แม่นางเสี่ยว เสี่ยวขอร้องให้ข้าส่งมันให้กับท่านก่อนที่นางจะจากไป”
เซี่ยวเฉินรับลูกศรปราณแสงที่เจ้าหมูส่งมาให้เขา และ ทันใดนั้นเขาก็คิดได้ถึงบางอย่าง การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปขณะที่พูด “ไอ้เจ้าหมูสวะ! เมื่อครั้งก่อนแม่นางซูเสียวเสี่ยวเป็นผู้มอบลูกศรปราณแสงให้ข้าใช่หรือไม่?!” 264
เจ้าหมูยิ้มออกมาอย่างงุ่มง่ามและกวาดของทั้งหมดที่อยู่ บนโต๊ะออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็หนีไปอย่างรวดเร็ว คําตอบของคําถามนั้นชัดเจน เพราะเจ้าหมู มีคดีติดตัว
ในตอนเช้าตรู่ เซี่ยวเฉินก็ได้รับแปดล้านเหรียญทองจากเจ้าหมูและ ออกจากศาลาหลับไหล แปดล้านเหรียญทองเป็นโชคขนาดใหญ่ แม้จะเป็นตระกูลเจียงแห่งเมืองไป สุ่ยก็ไม่มีรายได้ต่อปีมากเช่นนี้
ไม่นานหลังจากเซียวเฉินออกจากศาลาหลับไหล ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่คลุมเคลือที่กําลังแผ่มารอบตัวเขา เซี่ยวเฉินตกใจและปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณออกไป
พ่อค้าผู้ที่พูดคุยกับผู้บ่มเพาะพลังที่ไร้แขน เมื่อคืนก่อนนํากลุ่มปรมาจารย์ยุทธตามมาด้านหลังของ เซี่ยวเฉินอย่างระมัดระวัง พวกเขาซ่อนตัวได้ดีมาก หากไม่ใช่เพราะจิตสังหารหลุดลอดออกมา เซี่ยวเฉินก็จะไม่มีทางที่จะพบตัวพวกเขา
เซี่ยวเฉินยิ้มเล็กน้อยและเดินไปทางตรอกที่เปล่าเปลี่ยวจากนั้นเขาก็พุ่งเข้าไป
กลุ่มคนรีบตามไปอย่างรวดเร็ว ในตรอกเป็นทางตัน แต่พวกเขาก็หาเซียวเฉินไม่เจอ ผู้นํากลุ่มอดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง “มันอยู่ไหน? มันหนีไปไหนแล้ว?”
“สหาย เจ้ากําลังตามหาข้า?” เซี่ยวเฉินลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ และขวางทางเข้าของตรอกเอาไว้
ผู้นํากลุ่มตกใจก่อนที่เขาจะเริ่มยิ้มออกมา เขาหัวเราะเสียงดังลั่น “พวกข้ากําลังตามหาเจ้า และเจ้าก็ออกมาด้วยตนเอง ส่งหินจิตวิญญาณทั้งหมดที่เจ้ามีมาซะ มิฉะ นั้นก็อย่าโทษว่าข้าโหดร้าย”
การแสดงออกของเซียวเฉินไม่เปลี่ยนแปลงเขายิ้ม เล็กน้อย “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีความแค้นใดๆกับเจ้า ดังนั้นอย่าบังคับให้ข้าต้องลําบากใจเลย”