Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 136 ความลับที่บังเอิญได้ยิน
ตอนที่ 136 ความลับที่บังเอิญได้ยิน
เอี้ยนเชียนอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับว่าเขาพบบางอย่างผิดปกติ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาโยนตั๋วเงินลงมาพร้อมกับพูดขึ้น “ข้าต้องขออภัย ข้าเชื่อว่าข้าได้จําผิดคน”
หลังจากเอี้ยนเชียนอวิ๋นและกลุ่มของเขาจากไป ที่ชั้นสองกลายเป็นคึกครื้นอีกครั้งผู้บ่มเพาะพลังจิตใจดีเข้ามาช่วยเซี่ยวเฉินให้ยืนขึ้นและพูดขึ้น “น้องชายเจ้าเป็นเช่นไร?”
เซี่ยวเฉินหยิบตั๋วเงินขึ้นมาและยิ้มบางๆ “ข้าไม่เป็นไร แม้ว่าจะถูกทุบตีโดยไม่มีเหตุผล มันก็ยังดีที่ได้ตั๋วเงินมาสี่พันเหรียญเงิน”
ที่ชั้นสาม ด้านหน้าหน้าต่างลับเอี้ยนเชียนอวิ๋นมองดูเซี่ยวเฉินลุกขึ้นยืน เขาพูดขึ้น ลักษณะเต็มไปด้วยความสงสัย “เป็นไปได้ว่าเขามองผิดไป? อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่าต้องเป็นตาคู่นั้น”
เขาสังเกตการณ์มาเป็นเวลานาน แต่เขาไม่อาจพบอะไรผิดปกติ เขาส่ายหัวเขารู้สึกราวกับว่ามันมีอะไรบางอย่างขาดหายไป เขาพูดกับคนที่อยู่ด้านหลัง “มีบางอย่างผิดปกติกับคนผู้นั้นเมื่อครู่ พวกเจ้าติดตามเขาไปตรวจสอบ ข้ามีธุระกับนายน้อยเหลิง”
เซี่ยวเฉินกําลังสังเกตการณ์เอี้ยนเชียนอวิ๋นด้วยสัมผัสวิญญาณของเขา ในตอนนี้เอง เขาก็ถอนสัมผัสวิญญาณกลับมา เขาถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนความทุกข์ระทมของสหายผู้นี้จะฝังลึกลงไปในจิตใจ เขาเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปมาก และมันก็ยังจะจําเขาได้
ไม่นานนัก ผู้บ่มเพาะพลังทั้งหมดบนชั้นสองก็จากไป เซี่ยวเฉินรู้ว่าการประลองระหว่างเหลิ่งหลิวซูกับมู่เฉิงเสวี่ยกําลังจะเริ่มขึ้น นี่เป็นสิ่งที่คนพวกนี้ต่างเฝ้ารอมาตล อดหนึ่งปีไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะไม่ไปดู
เซี่ยวเฉินไม่ได้รีบร้อนที่จะจากไป เขาไม่ได้ต้องการจะไปชมการประลองของพวกเขา มู่เฉิงเสวี่ยทําให้เขารู้สึกถึงอันตราย ความรู้เกี่ยวกับที่เขาสัมผัสได้จากฉู่ฉาวอวิ๋น สําหรับเหลิ่งหลิวซูนั้นยิ่งไม่จําเป็นต้องพูดถึง
หลังจากจัดการอาหารของเขาเสร็จสิ้น เซี่ยวเฉินมองไปที่ชั้นสามโดยไม่ได้ตั้งใจเขาเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย เขาเรียกบริกรมาจ่ายเงินและจากไป
บนชั้นสาม ผู้ติดตามของเอี้ยนเชียนอวิ๋นตามดูเซี่ยวเฉิน ใกล้ชิดขณะที่บริกรกําลังเก็บเงิน เขายืนบังร่างของเซี่ยวเฉินเอาไว้ เมื่อเขาเก็บเงินเก็บโต๊ะเรียบร้อยและเดินจาก ไป พวกคนที่เฝ้ามองอยู่กลับพบว่าเซี่ยวเฉินได้หายตัวไปแล้ว
“เขาไปไหนแล้ว? หายหัวไปไหน? ข้าเห็นเขานั่งอยู่เมื่อครู่ เขาหายตัวไปได้อย่างไร?” มองดูเซี่ยวเฉินที่หายตัวไปต่อหน้าต่อตาของพวกเขา พวกเขาตื่นตระหนกและรีบพุ่งลงมา
หนึ่งในพวกเขาดึงเสื้อของบริกรเอาไว้และตะโกนขึ้น “เขาไปไหนแล้ว? คนที่นั่งอยู่ก่อนหน้านี้ไปไหน?”
บริกรกลอกตาและมองดูพวกเขาด้วยความรังเกียจ เขาพูดขึ้น “มันก็แน่นอนอยู่แล้ว กิน จ่ายแล้วก็จากไป!”
“ข้ากําลังถามว่าเขาออกไปได้อย่างไร”
บริกรผลักมือของเขาออกและพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย “ข้าจะบอกอีกเพียงหนึ่งครั้งเขาเดินออกไปด้วยสองเท้าของ เขาหยุดรบกวนเวลางานข้าได้แล้ว ขอบคุณ!”
ท่าทีของบริกรทําให้เขาหัวเสีย เขาอยากจะลงมือ แต่คนรอบข้างหยุดเขาไว้ พวกเขาอธิบายถึงเบื้องหลังของศาลาหลับไหลให้เขาฟัง
พวกเขาสองสามคนค้นหาดูรอบๆ แต่ก็ไม่พบเซี่ยวเฉิน พวกเขาเชื่อว่าเซี่ยวเฉินได้ออกจากศาลาหลับไหลไปแล้ว พวกเขานึกถึงคําของเอี้ยนเชียนอวิ๋นและรีบวิ่งลงไปข้างล่าง
ขณะใช้คาถาเปลี่ยนลักษณ์ เซี่ยวเฉินย่อตัวลงและซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ มองดูชายทั้งสี่คนจากไป เขาจึงรีบออกมา กระดูกของเขาดังกรอบแกรบขณะที่ความสูงของเขาฟื้นคืนกลับมา
เขาขยายสัมผัสวิญญาณออกไปและพบเอี้ยนเชียนอวิ๋นและชายชุดดํานั่งอยู่บนชั้นสี่ ชายชุดดําท่าทางดูแข็งแกร่ง
กระแสพลังของเขาแข็งแกร่งกว่าของเอี้ยนเชียนอวิ๋นไปมาก ราวกับดาบค่าดึงออกมาจากฝัก เซี่ยวเฉินไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้เขาด้วยสัมผัสวิญญาณ
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เซี่ยวเฉินเดินตรงไปที่ชั้นสี่ เขาแสดงบัตรผ่านพิเศษที่เจ้าหมูให้เขามาไม่มีใครขวางทางของเขา
เซี่ยวเฉินประหลาดใจที่ชั้นสามและชั้นสี่ต่างไร้ซึ่งผู้คน ดูเหมือนการประลองระหว่างเหลิ่งหลิวซูกับมู่เฉิงเสวี่ยจะน่าดึงดูดมาก
เซี่ยวเฉินมาถึงบันไดระหว่างชั้นสามกับชั้นสี่และตรวจดูอย่างระมัดระวัง มันเป็นเพียงพื้นที่ทอดยาวไปถึงชั้นสี่ เขาหยิบเอาแผ่นยันต์ระดับ 3 สองแผ่นออกมาจากแหวนห้วงจักรวาลและวางมันลงก่อนที่จะละเลงด้วยน้ําลายของสัตว์วิญญาณ2 สองแผ่นออก
น้ําลายเช่นนี้เหนียวมาก เมื่อมันไปติดเข้ากับอะไรสักอย่าง มันก็ไม่หลุดออกมาโดยง่ายหลังจากทําเช่นนี้
เซี่ยวเฉินก็พบห้องส่วนตัวบนชั้นสี่และนั่งลง
“พี่น้องเหลิ่ง แหล่งข่าวครั้งนี้น่าเชื่อถือหรือไม่? มีเพียงปรมจารย์ยุทธสองคนมากับเหลิ่งหลิวซู?” เอี้ยนเชียนอวิ๋น ถามคนที่อยู่ตรงข้ามของเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เซี่ยวเฉินขมวดคิ้ว เขาพยายามจะทําอะไร? หรือ เอี้ยนเขียนอวิ๋นพยายามจะทําอะไรกับเหลิ่งหลิวซู? ด้วยความคิดของเขา เขาจดจ่อไปกับสัมผัสวิญญาณของเขา
ชายชุดดําที่นั่งตรงข้ามมีสีหน้าเคร่งขรึมและพูดขึ้น “ข้า เหลิ่งเทียนเยว่ได้เตรียมการมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อวันนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะทําเรื่องผิดพลาดเช่นนี้”
เอี้ยนเชียนอวิ๋นหัวเราะแห้ง “เรื่องนี้มันสําคัญมากแน่นอนว่าข้าต้องทําให้แน่ใจ อย่างไรก็ตาม ให้ข้าได้พูดเรื่องนี้ก่อน ข้ารับผิดชอบส่งคนออกไปล่อสองปรมาจารย์ ยุทธออกไปเจ้ารับผิดชอบจัดการที่เหลือ
เหลิ่งเทียนเยว่ไม่แสดงสีหน้าใดๆพร้อมกับพูดขึ้นอย่างไม่แยแส “ทั้งหมดที่เจ้าต้องทําก็แค่ล่อออกไป เจ้าไม่จําเป็นต้องกังวลกับส่วนที่เหลือ ผลประโยชน์ของเจ้าจะได้รับหลังจากเสร็จงาน ข้าบอกพ่อของเจ้าไปเรียบร้อย
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันต่อไปอีกนาน นกพิราบสื่อสารบินมาเกาะที่มือของเหลิ่งเทียนเยว่ เขาดึงกระดาษออกมาจากขาของมันและหลังจากนั้นก็ยิ้มขึ้น “เสมอกันอีกครั้ง ฮ่าฮ่า ข้าเริ่มสงสัยในแรงผลักดันของมู่เฉิงเสวี่ย พี่น้องเอี้ยน ไปกันเถอะ ได้เวลาพวกเราลงมือแล้ว”
พวกเขาทั้งสองลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปที่บันได ในทันทีที่พวกเขาลงไป พวกเขาก็เหยียบลงไปบนแผ่นยันต์ แผ่นยันต์ที่ติดไปน้ําหนักเบามากพวกเขาไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
มองดูพวกเขาทั้งสองจากไป เซี่ยวเฉินยิ้มบางเบา และลุกขึ้นช้าๆ เขาแปลงสัมผัสวิญญาณให้เป็นเส้นสายและผูกติดไว้กับพวกเขา
“ข้าควรจะลองใช้ความได้เปรียบในตอนนี้หรือไม่?” เซี่ยวเฉินไตร่ตรองเมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ในตอนนี้ คนผู้นี้เห็นชัดว่าเป็นคนจากศาลากระปสวรรค์ การต่อสู้ตรงหน้าของเขาดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้เพื่อเป็นผู้สืบทอดศาลากระบี่สวรรค์
ในขุมพลังแข็งแกร่งทั่วทุกที่มีผู้มีพรสวรรค์นับไม่ถ้วนที่อยากชิงดีชิงเด่น เซี่ยวเฉินไม่พบว่ามันแปลกอะไร แม้ว่าเขาจะเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร
อย่างไรก็ตาม หากเหลิ่งหลิวซูคือหญิงสาวจากเมื่อตอนกลางวัน มันจะไม่ใช่ตัวเขาหากไม่เข้าไปช่วยเหลือ ในที่สุด เซี่ยวเฉินก็ตัดสินใจ “หากนางคือหญิงสาวนางนั้น ข้าก็ จะตัดสินใจได้ว่าต้องทําเช่นไร”
เซี่ยวเฉินตามหลังพวกเขาไปเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม เนื่องจากเซี่ยวเฉินมีสัมผัสวิญญาณเขาจึงสามารถติดตามไปได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นเขาก็ติดตามพวกมันออกไปจากประตูเมืองทางตะวันออก
ยิ่งพวกเขาออกไปไกล พื้นที่ยิ่งรกร้างมากขึ้นในที่สุด เซี่ยวเฉินก็มองไม่เห็นถนนใหญ่อีกต่อไป เซี่ยวเฉินสัมผัสได้ถึงบางอย่างผิดปกติและลังเลว่าจะตามต่อไปดีหรือไม่
หลังจากเดินไปได้สองสามก้าวเขาพบว่าเหลิ่งเทียนเยว่และเบี้ยนเชียนอขึ้นหยุดรอและยิ้มมาทางเขา เหลิงเทียนเยว่เดินตรงเข้ามาช้าๆไม่มีสีหน้าปรากฏ เขาถามขึ้นอย่างเย็นชา “ใครส่งเจ้ามา?”
เอี้ยนเชียนอวิ๋นตามมาอยู่ด้านข้างและยิ้มขึ้น “พี่น้องเหลิ่ง ปล่อยมันผู้นี้ให้ข้าจัดการ เขาเป็นของข้า แค่ล่วงหน้าไปก่อนและแจ้งให้พวกเขาทราบ”
เหลิงเทียนเยว่เหลือบมองไปที่เซี่ยวเฉิน เขาเห็นเซี่ยวเฉิน เป็นเพียงระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูงก็เบาใจ ด้วยระดับขอบเขตปรมจารย์ยุทธของเอียนเชียนอวิ๋น เขาน่าจะสามารถสังหารคนผู้นี้ได้อย่างง่ายดาย
“จัดการให้เร็วแล้วไปเจอกันให้เร็วที่สุด”
หลังจากเหลิงเทียนเยว่จากไป เอี้ยนเชียนอวิ๋นเดินตรงเข้ามาหาเซี่ยวเฉินอย่างช้าๆ เขายิ้มอย่างเย็นชา “เซี่ยวเฉิน ข้าไม่คาดว่าจะมาเจอเจ้าที่นี่ ข้ารอวันนี้มานานแล้ว เจ้าอยากจะตายท่าไหน?”
เซี่ยวเฉินพึมพําก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้ามีคําถาม…เจ้าจําข้าได้เช่นไร? ข้าเชื่อว่าข้าปกปิดตัวตนได้ดีเยี่ยมแล้วเจ้าพบเจอ ข้าได้เช่นไร?”
เอี้ยนเชียนอวิ๋นหัวเราะและตอบกลับ “ข้าไม่มีวันลืมสายตาที่เจ้ามองข้าในวันนั้น ข้าตั้งใจไว้ว่าข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าก่อนตาย เหลิ่งเทียนเยว่มีสมบัติลับในตอนที่เจ้าออกมาจากศาลาหลับไหล เขาก็ตรวจพบเจ้า”
เซี่ยวเฉินพยักหน้าของเขาเป็นเช่นนั้นเอง เขาสงสัยว่ามันเป็นสมบัติลับอะไร ที่สามารถตรวจจับขาได้ไกลเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม มันไม่สําคัญอีกต่อไป เซี่ยวเฉินพูดเบาๆกับ เอี้ยนเชียนอวิ๋น “ขอบคุณสําหรับคําอธิบาย เจ้าตายได้แล้ว”
เอี้ยนเชียนอวิ๋นสูดหายใจเย็นชาและพบว่ามันช่างน่าขันเขาพูดขึ้น “เจ้าคิดว่าจะเทียบชั้นข้าได้? ข้า…”
“บูม!”
ก่อนที่เขาจะได้พูดจนจบ เซี่ยวเฉินประทับสัญลักษณ์มือ 1
และแผ่นยันต์ระดับ 3 ที่ติดอยู่ใต้เท้าของเอี้ยนเชียนอวิ๋นเกิดระเบิดขึ้น เปลวเพลิง พร้อมคลื่นกระแทกพลุ่งพล่าน กระจายออกไป พลังมหาศาลซัดเอี้ยนเชียนอวิ๋นลอยขึ้นไปบนฟ้า
แผ่นยันต์โจมตีระดับ 3 มันเทียบได้กับการโจมตีเต็มกําลังของปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุด เอี้ยนเชียนอวิ๋นไม่ทันตั้งรับ และเขาก็หมดสภาพต่อสู้ในทันที
“วาดกระบี่!” เซี่ยวเฉินกระโดดขึ้นไปในอากาศ กระบี่ของเขาวูบผ่าน และหัวของเอี้ยนเชียนอวิ๋นก็ขาดออกจากร่างที่ลุกไหม้ มันร่วงลงพื้นเสียงดังตุบ
เซี่ยวเฉินลงจอดบนพื้นอย่างมั่นคง เขามองไปที่ร่างเอี้ยนเชียนอวิ๋นขึ้นโดยปราศจากสีหน้า เขาปลดแหวนห้วงมิติและเอาสิ่งของทุกอย่างออกมา
หินวิญญาณระดับต่ําสิบก้อน เม็ดยาอีกเล็กน้อย และตัวเงินเป็นปักตกลงบนพื้น เซี่ยวเฉินยังเห็นสมุดสีเหลืองเก่าๆเล่มหนึ่ง “ทักษะต่อสู้สืบทอด-หัตถ์จับมังกร
ทักษะที่เรียกว่าทักษะต่อสู้สืบทอดคือสิ่งที่มีเพียงผู้สืบทอดจิตวิญญาณยุทธเท่านั้นที่จะร่ําเรียนได้ อย่างไรก็ตาม เซี่ยวเฉินมีทักษะแปลงลักษณ์ของต้นกําเนิดปัญญายุทธ ที่สามารถลอกเลียนแบบได้ เขามองผ่านๆอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเก็บมันเข้าไปในแหวนห้วงจักรวาล
เซี่ยวเฉินหลับตาลงและสัมผัสถึงแผ่นยันต์ที่ติดอยู่ใต้เท้า ของเหลิงเทียนเยว่ แผ่นยันต์นั้นบรรจุด้วยโลหิตของเซี่ยวเฉินเล็กน้อย ต่อให้ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร เขาก็สามารถสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน
จุดสีเหลืองจางๆปรากฏขึ้นในจิตใจของเซี่ยวเฉิน เซี่ยวเฉินลืมตาขึ้น และเรียกเอาเรือสงครามสีเงินออกมา เขากระโดดขึ้นไปบนเรือ และมันก็เปลี่ยนไปเป็นแสงสีเงิน
หลังจากนั้นไม่นานนัก เซี่ยวเฉินพุ่งไปที่เหลิงเทียนเยว่ เนื่องจากเขากังวลเกี่ยวกับสมบัติลับของเขา เซี่ยวเฉินจึงซ่อนตัวอยู่เหนือเมฆาข้างบนเฝ้าสังเกตการณ์สถานกา รณ์พบพื้นดิน
เหลิ่งเทียนเยว่สวมหน้ากากสีดําหยุดยืนนิ่ง เบื้องหน้าของเขา มีปรมจารย์ยุทธสี่คนสวมหน้ากากแบบเดียวกันกําลังปิดล้มเหลิ่งหลิวซู
ขณะที่อยู่บนก้อนเมฆ เซี่ยวเฉินใช้สัมผัสวิญญาณมองดูการต่อสู้ หลังจากที่เขามองไปที่รูปร่างของหญิงสาวนางนั้นอย่างละเอียด เขาสามารถยืนยันได้ว่าผู้ที่ถูกล้อมอยู่ คือคนคนเดียวกับที่เขาพบในสระน้ํา
“ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะสังหารปรมจารย์ยุทธขั้นสูงสุดด้วยจิตวิญญาณยุทธที่ตกทอด” เซี่ยวเฉินยืนอยู่บนหัวเรือพูดด้วยความสงสัย “ต้องมีระดับนักบุญอย่างน้อย สองคนเพื่อมั่นใจว่าจะทําได้สําเร็จ”