Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 140 สะเทือนเมืองกระบี่
ตอนที่ 140 สะเทือนเมืองกระบี่
“มันจะเป็นไปได้อย่างไรสําหรับระดับขอบเขตปรมจารย์? เขาติดอยู่ที่ค่ายกลเล็กที่เจ็ดท้ายที่สุด พ่อของเขาต้องเป็นคนไปช่วยเขาออกมา”
เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของเซี่ยวเฉินไปอย่างสมบูรณ์ เขารีบถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น?”
สําหรับเหตุการณ์หลังจากนั้นเจ้าของร้านไม่แน่ใจนัก “สําหรับที่เหลือมีเพียงเรื่องเดียวที่ข้าได้ยินมาจากคนอื่น มันดูเหมือนเหลิ่งเทียนเยว่จะได้ทําผิดกฏบางข้อ และพ่อของเขาต้องการจะโยนเขาเข้าห้องสํานึกตน ท้ายที่สุด เขาทําลายการบ่มเพาะพลังของตัวเองและคิดริเริ่มที่จะเข้าไปที่คุกของศาลากระบี่สวรรค์”
ได้ยินข่าวนี้ เซี่ยวเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทําไมเหลิงเทียนเยวถึงขังตัวเองไว้ในคุกของศาลากระบี่สวรรค์ มันดีพอแล้วที่จะไม่เจอเขาที่นี่
ถือกระบี่เงาจันทร์เอาไว้ เซี่ยวเฉินมุ่งหน้าไปยังเมืองกระบี่ไม่นานนัก เขาก็ได้มาถึงประตูเมืองและจ่ายค่าผ่านทาง วิธีคิดค่าผ่านทางทําให้เซี่ยวเฉินประหลาดใจ
ทั้งหมดที่ต้องจ่ายตัดสินด้วยน้ําหนักของกระบี่ที่ผู้บ่ม เพาะพลังผู้นั้นถือครองอยู่ ไม่สําคัญว่าเจ้าจะมีกระบี่กี่เล่มหรือระดับอะไร ชั่งน้ําหนักได้เท่าไหร เจ้าจ่ายไปตามนั้น
“กระบี่หนัก 85 จินและฝึกกระบี่หนัก 70 จิน รวมกันได้ 155 จิน น้องชาย เจ้าต้องจ่าย 1155 เหรียญเงินเพื่อผ่านเข้าเมือง” ยามสองคนที่ประตูดึงกระบี่เงาจันทร์ของเซี่ยวเฉิ นออกมาจากเครื่องชั่งและยิ้มไปที่เซี่ยวเฉิน
เซี่ยวเฉินเหงื่อตกในใจนี่มันไม่ได้แพงระดับธรรมดา เขาเห็นบางคนแบกกระบี่ใหญ่มาเจ็ดเล่มเขาถูกคิดไปทั้งหมดกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญเงิน
อย่างไรก็ตาม เงินที่ต้องจ่ายเขาก็ต้องจ่าย เซี่ยวเฉินไม่มีทางอื่น หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย ยามก็ถามคําถามเซี่ยวเฉินสองสามคํา
หลังจากบันทึกสถานที่เกิด ชื่อ และอายุ พวกเขายื่น แบบฟอร์มมาให้เขาและพูดขึ้น “ไปที่ด้านข้างแล้วทําเหรียญแสดงตน ในอนาคต เจ้าสามารถใช้เหรียญแสดงตนเพื่อเข้าเมืองกระบี่ ไม่จําเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทางอีกต่อไป”
เซี่ยวเฉินยิ้มบางๆและพูดขึ้น “ยังดีที่ไม่เก็บค่าผ่านทางทุกครั้ง มิฉะนั้น ต่อให้ข้ามีเงินขนาดไหน สักวันก็ต้องแห้ง”
ทําเหรียญแสดงตนนั้นง่ายดาย หลังจากยื่นแบบฟอร์ม และนั่งรอครึ่งชั่วโมงเขาก็ได้เหรียญไม้มาหนึ่งเหรียญ มันมีข้อมูลของเซี่ยวเฉินสลักไว้บนเหรียญ อีกด้านหนึ่ง มียอดเขาสูงและคําว่ากระบีสลักลงไป
ผูกเหรียญไว้ที่ข้อมือของเขา เซี่ยวเฉินในที่สุดก็ได้เข้าไปในเมืองกระบี่อันโด่งดัง ผู้บ่มเพาะพลังถือกระบี่เดินไปมาเต็มถนนใหญ่
มีสนามประลองตั้งอยู่ทุกหนึ่งร้อยเมตร ทุกสนามเต็มไปด้วยผู้คนมันช่างแออัดจอแจ มันแสดงถึงจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันขั้นสุดยอด
นอกจากสนามประลองและทุกคนต่างพกกระบี่ เมืองกระบี่ก็ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากเมืองอื่นๆ
เซี่ยวเฉินถามทางไปบ้านท่านเจ้าเมือง เมื่อเขาได้ข้อมูล เขาก็มุ่งหน้าตรงไปทันที
ศาลากระบี่สวรรค์ได้แต่งตั้งเจ้าเมืองกระบี่ เขาเป็นผู้ดูแลจัดการบริเวณนิกายศาลากระบีสวรรค์ชั้นนอกทั้งหมด ตําแหน่งของท่านเจ้าเมืองในนิกายไม่ได้ต่ําไปกว่าเจ้านายขั้นสูงสุด เขาอาจจะเทียบได้กับเหล่าผู้อาวุโส
เมื่อเซี่ยวเฉินมาถึงประตูบ้านท่านเจ้าเมือง เขายื่นจดหมายแนะนําตัวของเฟิงเฟยเสวียให้กับยามจดหมายแนะนําสีแดงมีตราประทับและสัญลักษณ์ตระกูลเฟิงอยู่ เฟิงเฟยเสวี่ยเขียนมันขึ้นด้วยตัวเอง
เหล่ายามต่างมีสายตาเฉียบคม พวกเขาสามาถจําแนกได้ทันทีว่ามันเป็นจดหมายแนะนําของแท้ พวกเขาบอกเซี่ยวเฉินให้รอสักครู่ก่อนที่คนหนึ่งจะนําเรื่องไปรายงาน
ไม่นานนัก คนคนนั้นรีบวิ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว เขายิ้มขึ้นในเชิงขออภัย “พี่ชาย ท่านเจ้าเมืองกําลังพบแขกคนสําคัญ ท่านอาจจะต้องรอสักครู่ โปรดตามข้าไปพักผ่อนที่ห้องโถงก่อน”
ยามของท่านเจ้าเมืองช่างเป็นมิตร เซี่ยวเฉินไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนสําคัญอะไร เขายิ้มบางๆและเดินตามยามเข้าไปในบ้านของท่านเจ้าเมืองด้วยท่าทางสบายๆ
หลังจากเดินผ่าน
ลานและสวนสองสามแห่ง เขาก็พาเซี่ยวเฉินมาถึงห้องโถงรองยามขอตัวและทิ้งเซี่ยวเฉินไว้คนเดียว เซี่ยวเฉินจบลงที่นั่งรอเป็นเวลานาน
ในห้องโถงรับรองของบ้านท่านเจ้าเมือง เจ้าเมืองกระบี่เก่อหยุนปินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ มีผู้เฒ่านั่งอยู่ตรงโต๊ะชาห่างจากเขาไป เขาดูเหมือนไม่พอใจเมื่อเห็นจดหมายแนะนําของเซี่ยวเฉิน
ที่กําลังยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขาทั้งสองคือชายหนุ่มอายุประมาณ 16-17 ปี เขามีกระบี่แบกอยู่ที่หลัง เขามีสีหน้าน่าเกลียดอยู่บนใบหน้า และมีแววตามุ่งร้ายในดวงตา
ผู้เฒ่าวางจดหมายแนะนําลงบนโต๊ะและพูดขึ้นกับเก่อห ยุนปืน “ผู้เฒ่าเก่อ ไม่ใช่ว่าเราตกลงเรื่องนี้จบกันไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน? ทําไมจู่ๆท่านถึงได้เปลี่ยนใจ?”
เก่อหยุนปินยิ้มเบาบาง “ผู้เฒ่าจาง อย่าทําให้มันเป็นเรื่องยากสําหรับข้าเลย ท่านไม่เห็นรีว่าใครคือผู้เขียนจดหมายแนะนํา? แม่นางเฟิงลงมือเขียนมันด้วยตัวเอง ข้าไม่มีทางเลือกมากนัก!”
“ศาลากระบี่สวรรค์จับมือกับตระกูลเฟิงมาหลายร้อยปี พวกเขามอบวัตถุดิบทุกอย่างสําหรับอาวุธวิญญาณและชุดเกราะศึก สําคัญที่สุดคือพวกเขาจัดการศิลาแสงจันทร์ที่หามาโดยศาลากระบี่สวรรค์”
“ตระกูลเฟิงมีสิทธิ์ที่จะแนะนําใครสักคนมา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะกําหนดได้มันกําหนดโดยเจ้าศาลากระบี่สวรรค์ก่อนหน้านี้ นอกจากนั้น ข้ายังติดค้างแม่นางเฟิงเนี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ตอบแทนนาง”
เมื่อผู้เฒ่าจางได้ยินเช่นนี้ เขาหยิบขวดออกมาเปิดฝาออกกลิ่นหอมของยาหนาแน่นลอยออกมา มันช่างเป็นกลิ่นที่อ่อนโยน
เก่อหยุนปืนสีหน้าเปลี่ยน เขาถามขึ้น “ผู้เฒ่าจาง หรือนั้นจะเป็นเม็ดยาต่อชีวิตเมฆาอมตะ?”
ผู้เฒ่าจางเผยสีหน้าภูมิใจพร้อมกับพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “ถูกต้อง เม็ดยาระดับ 7 ต่อชีวิตเมฆาอมตะ หลังจากกินมันลงไป ผู้นั้นสามารถยืดอายุตัวเองไปได้ถึงยี่สิบปี ขาตั้ง ใจไว้ว่าจะมอบมันให้กับท่านหลังจากเสร็จสิ้นเรื่องนี้”
เก่อหยุนปืนหัวเราะขมขืน “ผู้เฒ่าจาง ทําไมต้องพยายามถึงเพียงนี้? ด้วยพรสวรรค์ของหลานชายของท่าน ตราบใดที่เขาอยู่เป็นศิษย์สายนอกเป็นเวลาหกเดือน เขาจะมีโอกาสเข้าไปเป็นศิษย์สายในอย่างแน่นอน นอกจากนั้น ข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี เขาจะไม่ขาดแคลนหินวิญญาณ เม็ดยา หรือทักษะต่อสู้”
ผู้เฒ่าจางมองไปที่ชายหนุ่มด้านหลังเขาและพูดขึ้น “พรสวรรค์ของเยู่เอ๋อจะปรากฏให้เห็นเอง แต่หกเดือนมันนานเกินไป เขาได้ล่าช้ามาแล้ว 16 ปี ข้าไม่ต้องการให้เขาล่าช้าไปมากกว่านี้
เก่อหยุนปืนลุกขึ้นเดินไปรอบทั่วทั้งห้องรับรอง สีหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่ากําลังขัดแย้งกับตัวเอง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ได้ตัดสินใจ “ข้าจะคิดหาทางเอง ข้าจะให้คนคนนั้นเข้ารับการทดสอบก่อน เขาจะไม่สามารถผ่านมันไป ได้ะจากนั้นข้าจะจัดเตรียมให้เขาเป็นศิษย์สายนอกไปก่อน”
“จะมีที่นั่งเหลือให้กับหลานชายของท่าน รออยู่ที่นี้ก่อน!” หลังจากเก่อหยุนปืนพูดจบ เขามุ่งหน้าไปยังห้องโถงรอง
หลังจากที่เก่อหยุนปืนจากไป ผู้เฒ่าจางลุกขึ้นตรงไปที่ประตูทันที เขาเรียกชายชราผู้หนึ่งเข้ามาและบอกกล่าวสิ่งที่เกิดขึ้น
ในที่สุด เขาก็พูดขึ้น “ข้าไม่อยากให้มันอะไรผิดพลาด หากว่าจางเย่สามารถเข้าร่วมนิกายศาลากระบี่สวรรค์ชั้นในได้จะส่งผลให้ตระกูลจางมั่นคงในเมืองหยุนหยางไปอีกนับร้อยปี”
TL: จางเย่ อักษรตัวเดียวกับตระกูลจางที่เมื่อ งม่อเหอเลยครับ
“เมื่อคนคนนั้นออกมา จับตาดูเขาเอาไว้ หากเขาไม่สามารถผ่านการทอดสอบ ก็เป็นเรื่องดี อย่างไรก็ตาม หากเขาผ่าน เจ้ารู้ว่าต้องทําเช่นไร!”
ชายชราผู้นี้อยู่ระดับขอบเขตนักบุญขันกลาง หลังจากเขาได้ยินเช่นนี้ เขาตอบกลับอย่างเฉยเมย “ผู้นําตระกูล อย่าได้เป็นกังวล ไม่มีอะไรผิดพลาดเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”
ในห้องโถงรอง ขณะที่ความอดทนของเซี่ยวเฉินกําลังจะขาดลง มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา ทันใดนั้นประตูห้องโถงรองก็เปิดออก และมีชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบปีเดินเข้ามา
เซี่ยวเฉินตรวจสอบเขาด้วยสัมผัสวิญญาณสัมผัสวิญญาณ ของเขาราวกับจมลงไปในมหาสมุทรกว้าง ส่งผลให้เขารู้สึกหยั่งไม่ถึง เขารู้สึกตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเก่อหยุนปืนเห็นเซี่ยวเฉิน,เขายิ้มขึ้นมาเบาๆ “ต้องขออภัย ข้าติดธุระบางเรื่องจนทําให้สหายตัวน้อยต้องรอนาน โปรดอย่าขุ่นเคือง”
ขณะที่เก่อหยุนปืนกําลังพูด เขากวาดตามองวิเคราะห์ เซี่ยวเฉินไปด้วยเช่นกัน เซี่ยวเฉินรู้สึกราวกับถูกเขามองทะลุปรุโปร่ง และไม่มีความลับใดสามารถปิดซ่อนจากเขาไปได้
อย่างไรก็ตาม เซี่ยวเฉินไม่ได้ตื่นตกใจเขาเพิ่งพบกับกิ่งนักปราชญ์มาเมื่อครู่ เมื่อเทียบกันแล้ว นี่มันไม่มีอะไรเลย
เซี่ยวเฉินลุกขึ้นยืน คํานับมือของเขาและทําความเคารพ “คารวะผู้อาวุโส ในฐานะผู้เยาว์ มันถูกต้องแล้วที่ข้าต้องเป็น ฝ่ายรอ”
เก่อหยุนปืนพยักหน้ากับตัวเองอย่างยอมรับ แม้ว่าจะเป็นเพียงระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูง เซี่ยวเฉินยังคงใจสงบนิ่งอยู่ได้ภายใต้กระแสพลังของเขา เขาทั้งสุภาพและรู้มารยาทคนเช่นนี้ไม่ได้พบได้บ่อยนัก
เก่อหยุนปินชี้มือให้เซี่ยวเฉินนั่งลง เขายิ้มขึ้น “ข้าเก่อหยุนปิน หากเจ้าไม่ขัดข้อง เจ้าสามารถเรียกข้าผู้เฒ่าเก่อ ข้ายังไม่ได้ถามชื่อแซ่ของสหายตัวน้อย”
“เย่เฉิน เย่หมายถึงใบไม้ และเฉินตัวอักษรแปดเส้นจากคําว่าดวงชะตา” เย่เฉินคือนามแฝงของเขาในตอนนี้ ชื่อเซี่ยวเฉินได้แพร่กระจายออกไปทั่วแคว้นซีเหอโดยตระกูลหยาน มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนักที่จะใช้ชื่อจริง
TL: เย่เฉิน เซี่ยวเฉิน ออกเสียงคล้ายกันครับแต่คนละตัว
หลังจากเก่อหยุนปืนแลกเปลี่ยนคําพูดกันสองสามคําพอเป็นพิธี เขาก็พูดขึ้น “เย่เฉิน ข้าได้เห็นจดหมายแนะนําของแม่นางเฟิงแล้ว ในจดหมายของนาง นางแนะนําเจ้า อย่างหนักแน่น ข้าเคารพแม่นางเฟิงอย่างมากและจะทําตามคําของนางอย่างแน่นอน”
“อย่างไรก็ตาม ศาลากระบี่สวรรค์ชั้นในเป็นแก่นกลางกําลังหลักของศาลากระบี่สวรรค์ จะให้มีจุดอ่อนอยู่ข้างในไม่ได้ ข้ายังคงต้องทดสอบความแข็งแกร่งของเจ้า”
เซี่ยวเฉินคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็พูดขึ้น “ผู้เฒ่าเก่อ เพียงแค่พูดมาตรงๆ ข้า เย่เฉิน ข้าไม่ใช่คนไร้เหตุผล”
เมื่อเก่อหยุนปืนได้ยินเช่นนี้ เขาก็นิ่งอึ้ง จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้น “มันก็ผ่านมานานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นผู้เยาว์ที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะกล่าวตรงๆ ข้ามีงานให้ เจ้าทํา”
“หากเจ้าทําสําเร็จ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเข้าสู่นิกายชั้นในได้โดยตรง หากไม่เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปเป็นศิษย์สายนอกก่อนเพื่อพัฒนาตัวเอง เจ้าคิดเช่นไร?”
เซี่ยวเฉินไม่ได้คิดเยอะเกี่ยวกับมัน เขาพลาดการทดสอบเข้าเป็นศิษย์สายในและวางแผนไว้ว่าจะเข้าผ่านทางศิษย์สายนอกอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขามีจดหมา ยของเฟิงเฟยเสวี่ยเขาได้รับโอกาสเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะล้มเหลว มันก็ไม่มีอะไรเสียหาย
เซี่ยวเฉินไม่ลังเลและตอบตกลง เก่อหยุนปืนประหลาดใจ เซี่ยวเฉินไม่แม้แต่จะลองพยายามต่อรองแม้แต่น้อย
เก่อหยุนปืนยิ้มขึ้น “ข้าขอชื่นชมเจ้า แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ประมาท งานที่ข้าจะให้เจ้าทําเป็นงานเดียวกับการสอบ สิ้นปีของศิษย์สายนอก ทางลัดที่ข้าเปิดให้เจ้าจะช่วยให้เจ้าประหยัดเวลาไปหกเดือน”
“สังหารสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 5 ในหุบเขาสายลมอสูรด้านนอกของเมือง เพื่อป้องกันการโกง เจ้าต้องนําร่างของมันกลับมาให้ข้าตรวจสอบ”
หลังจากเก่อหยุนปืนพูดจบ เขายืนข้อมูลบางส่วนของหุบ เขาสายลมอสูรให้กับเซี่ยวเฉินเซี่ยวเฉินรับมันมาและทําตามคําสั่งทันทีโดยไม่ได้เปิดอ่าน
หลังจากเซี่ยวเฉินพบลานสันโดษในเมืองกระบี่ เขาเริ่มอ่านข้อมูลที่เก่อหยุนปินให้มามันอย่างละเอียด
หุบเขาสายลมอสูรตั้งอยู่ที่ทางตะวันตกของเมืองกระบี่ มีพลังฉีเยือกเย็นอุดมสมบูรณ์ สัตว์อสูรวิญญาณส่วนใหญ่เป็นธาตุน้ําแข็ง มันเป็นสถานที่ที่ศิษย์สายนอกมักจะวนเวียนเข้าไปฝึกฝนบ่อยๆ
สัตว์อสูรวิญญาณระดับ 5 เทียบเท่าได้กับมนุษย์ระดับพลังนักบุญ มันมีความคิดรวดเร็วและสติปัญญาต่ํากว่ามนุษย์ แต่พลังความแข็งแกร่งของมันสูงกว่า
เซี่ยวเฉินจดจําและโยนมันลงบนโต๊ะ มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเขียนเอาไว้มันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย