Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 224 ผู้โดดเด่น
ตอนที่ 224 ผู้โดดเด่น
“ศิษย์พี่หนูเชียน คนผู้นี้รับมือได้ไม่ง่ายนัก” ศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นผู้หนึ่งกล่าวกับผู้นํากลุ่ม
หยูเชียนสีหน้ากลายเป็นจริงจังและเขากล่าวขึ้น “ไม่จําเป็นต้องกังวล ตามที่ท่านเจ้ายอดเขาได้กล่าวไว้ตราบใดที่พวกเราสามารถทําให้มันสอบตกในการทดสอบศิษย์แก่นกลางได้ เขาจะมอบหินวิญญาณะดับต่ําให้แก่พวกเราคนละหนึ่งพันก้อน”
“ด้วยหินวิญญาณมากมายขนาดนี้,มันไม่เป็นปัญหาแม้ว่าพวกเราจะสอบตกการทดสอบศิษย์แก่นกลาง หินวิญญาณพวกนั้นจะเพียงพอสําหรับการบ่มเพาะพลังของพวกเรา นอกจากนั้น พวกเรายังมีโอกาสอยู่อีกในปีหน้า ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลแม้แต่น้อย หากมันจําเป็น, พวกเราต้องลากเขาสอบตกไปพร้อมกันให้ได้”
เมื่อคนอื่นได้ยินดังนั้น,เขาเหลืมมองเซี่ยวเฉินและกล่าวขึ้น “ใช่แล้ว หินวิญญาณระดับต่ําหนึ่งพันก้อนมันมากเพียงพอที่จะทําให้ข้าทะลวงระดับขอบเขตนักบุญขึ้นไปได้ มันจะเป็นเรื่องง่ายดายที่จะผ่านการทดสอบศิษย์แก่นกลางในปีต่อไป”
ทั้งสองพูดคุยกันต่อหน้าเซี่ยวเฉิน,ราวกับว่าเขาไม่ได้มีตัวตน เซี่ยวเฉินรักษาสีหน้าสงบนิ่ง,จับกระบี่เงาจันทร์ของเขาไว้แน่น เขาไม่สั่นไหวไปตามคําพูดพวกนั้น
“เย่เฉิน,ระวังตัว!” ทันใดนั้นหลิวสุยเฟิงก็ตะโกนขึ้นมา
พวกมันทั้งสองคนยั่วยุเซี่ยวเฉินอย่างตั้งใจ เพื่อหักเหความสนใจของเขา มองดูสถานการณ์แล้วเห็นโอกาส,คนที่อยู่ด้านหลังของเขาลงมืออย่างเงียบเชียบ
เขายิ้มขึ้นเย็นชา ให้ฉันได้เข้าไปในระยะสามเมตร,เจ้าเสร็จข้าแล้ว! “ร่วงไปซะ! ภูเขาไฟปราบปราม!”
ขุนเขาใหญ่ปรากฏขึ้นดานหลังของเขา สามารถมองเห็นได้ถึงสิงสาราสัตว์และนกวิหคอยู่ด้านบน
ไม่เลว! ใช้ออกภูเขาไท่ปราบปรามพร้อมกับปรากฏการณ์ลึกลับ ขณะที่อยู่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธระดับสูง หากพิจารณาจากปรากฏการณ์ลึกลับเพียงอย่างเดียว,เขาก็เทียบเท่าได้กับซ่งเฉวในวัยเดียวกัน
มุมปากของเซี่ยวเฉินยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา หัวใจของเขานิ่งสงบอย่างไม่น่าเชื่อพร้อมกับประเมินถึงทักษะต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า
สัมผัสวิญญาณของเขาขยายออกไปประมาณ 500 เมตรรอบตัวของเขา การเคลื่อนไหวทั้งหมดของศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นทั้งสี่อยู่ในการรับรู้ของเขา
ปรากฏการณ์ลึกลับนี้ใช้ออกมาค่อนข้างดี น่าเสียดาย,ทักษะต่อสู้ที่แข็งแกร่งต้องการรากฐานที่มั่นคง เท่านั้นถึงจะสามารถดึงพลังที่แท้จริงออกมาได้ มิฉะนั้นมันก็มีเพียงผิวเผิน
“ปะ! ปะ! ปะ! ปะ!”
สลักร่างพยัคฆ์มังกรหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว กระดูกของเซี่ยวเฉินส่งเสียงกรอบแกรบอย่างต่อเนื้อ เขาเก็บกระบี่เงาจันทร์เข้าไปในแหวนห้วงจักรวาลและกํามือขวาของเขาขึ้นเป็นหมัด เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานอันไร้ขอบเขตภายในร่างของเขาพร้อมกับหันตัวซัดออก
ภาพร่างพยัคฆ์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังของเซี่ยวเฉิน พยัคฆ์ร้องคํารามเสียงดังและกระแสพลังของเซี่ยวเฉินทันใดนั้นก็พุ่งสูงถึงขีดสุด,ราวกับว่าเขากลายเป็นเจ้าแห่งสัตว์อสูร
“ปัง!”
ขุนเขาแตกสลายไปด้วยกําปั้นเดียว ทันทีที่ปรากฏการณ์ลึกลับพังทลายลง,ผู้ที่ลอบเข้าโจมตีเซี่ยวเฉินกระอักเลือดออกมาคําใหญ่ สีหน้าของเขาซีดขาว,ราวกับว่าถูกสูบเลือดออกจนแห้ง
ร่างของเขาแกว่งไปเหมือนกับว่าวที่เชือกขาดพร้อมกับตกลงจากท้องฟ้า ขณะที่เขากําลังจะถูกหอกแหลมแทงทะลุเมีร่างสีขาวลอยผ่านและรับร่างของเขาเอาไว้ และจากนั้น,นางก็ลงจอดที่ด้านนอกของค่ายกล
สลักร่างพยัคฆ์มังกรพร้อมกับพยัคฆ์ร้ายทะลวงภูผามันเพียงพอที่จะรวบรวมความแข็งแกร่งของร่างกายและพลังปราณของเซี่ยวเฉิน เพียงแค่พลังกายของเขาเพียงอย่างเดียวก็ให้พลังมากถึง 6,000 กิโลกรัม
นี่มันไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังปราณของระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้น ผู้ที่มีพลังกว่า 5,000 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกัน,หมัดของเซี่ยวเฉินในตอนนี้แบกพลังมากกว่า 10,000 กิโลกรัม
ด้วยพลังที่น่าหวาดกลัว,สิ่งที่เรียกว่า “ภูเขาไม่ปราบปราม” ได้กลายเป็นเรื่องตลกขบขัน ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นก็ไม่กล้าที่จะรับหมัดนี้
“ไม่! ศิษย์น้องเหยา! ข้าจะฆ่าเจ้า! ตัดภูผาผ่าโลกา!”
“ฟันไขว้ผ่าเมฆา!”
“ พลิกเมฆาล้างสมุทร!”
เมื่อพวกเขาเห็นศิษย์น้องเหยาของพวกเขาลอบโจมตีล้มเหลว และบาดเจ็บสาหัสจากผลย้อนกลับของปรากฏการณ์ลึกลับ, พวกที่เหลือสูญเสียเหตุผลและพุ่งเข้าใส่เซี่ยวเฉินอย่างเร่งรีบ
กระบวณท่าสังหารทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา
สามระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุดทั้งหมดใช้ออกกระบวณท่าสังหารของพวกเขาตามธรรมดา,พลังของพวกมันจักต้องไม่อาจดูแคลน อากาศที่ร้อนอยู่แต่เดิมตอนนี้ถึงกับเรื่มหายใจไม่ออก
เซี่ยวเฉินยิ้มขึ้นและเคลื่อนไหวมือซ้ายของเขาไปสู่ทวงท่ามังกร และมือซ้ายไปสู่ท่าพยัคฆ์ จากนั้นเขาก็ไขว้แขนของเขาและจากนั้นสัตว์อสูรทั้งสองก็ผสานเข้ากับร่างของเขา มังกรสะท้านและพยัคฆ์ร้ายกําลังเคลื่อนไปรอบตัวของเขา
เมื่อเซี่ยวเฉินหมุนเวียนสลักร่างพยัคฆ์มังกรในขณะเดียวกันเรื่องแสงสีทองทันใดนั้นก็ล้อมรอบร่างกายของเขามองดูตราตรึงใจ พลังงานอันไร้ขอบเขตเริ่มสะสมขึ้นในร่างของเขา
พลังอํานาจของพยัคฆ์และมังกรไหลอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน,ร้องคํารามลั่น,ไม่เกรงกลัวภูผาหรือนที่
“ปัง! ปัง! ปัง!”
เพียงก่อนหน้าที่สามกระบวณท่าสังหารจะมาถึงตัวของเขาืมันก็ปะทะเข้ากับม่านพลังที่มองไม่เห็น ไม่อาจทะลุผ่านไปได้
“ระเบิด!”
เซี่ยวเฉินตะโกนและพลังงานที่เขาได้สะสมเอาไว้ก็ปะทุออกราวกับภูเขาไฟ พยัคฆ์และมังกรกับละลอกคลื่นนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นในอากาศ,ราวกับผิวน้ําไหว
เผชิญหน้ากับพลังงานที่หนักหน่วง,สามคนที่เหลือนี้ไม่เหลือวิธีต่อต้านและถูกเปาย้อนกลับไป
ในช่วงเวลานี้ เซี่ยวเฉินได้บ่มเพาะขั้นที่สี่ของสลักร่างพยัคฆ์มังกรไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นต้นดังนั้นตอนนี้เขาจึงสามารถแยกพลังงานส่วนหนึ่งของมันออกมาใช้ได้
เมื่อเขาขึ้นไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม,เขาจะสามารถดึงพลังของมันทั้งหมดออกมาใช้ได้ ยิ่งทําให้พยัคฆ์ข่มมังกรคํารามน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
มู่เหิงผู้ที่ยืนหลับตานิ่งราวกับต้นสนกลางฤดูหนาว ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้น:เรื่องแสงความประหลาดใจฉายออกมา ช่างเป็นพลังร่างกายที่แข็งแกร่ง! พยัคฆ์และมังกรผสานเข้ากับร่างกายทักษะบ่มเพาะร่างกายนี้จะต้องอยู่ในระดับเดียวกับของข้าเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม,ร่างกายของเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่า หลังจากที่ศิลปะเสริมกายหยกม่วงของข้าหมุนเวียนเต็มกําลัง,ร่างกายของข้าจะราวกับเหล็กน้ําค้างเหมันต์อายุนับร้อยปี เป็นผลทําให้ข้าสามารถตัดเหล็กและทําลายหยกได้ด้วยมือเปล่า
อย่างไรก็ตาม,มันเป็นไปได้ว่านี่ยังไม่ใช่ไม่ตายของเขา ความคิดเช่นนี้วูบผ่านความคิดของมู่เหิง,ดูเหมือนว่าจะมีผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งในการทดสอบศิษย์แก่นกลางครั้งนี้เพิ่มขึ้นมาอีกคน
เมื่อกลุ่มสานุศิษย์ยอดเขาเทียนเยว่มองเห็นฉากตรงหน้าของพวกเขา,พวกเขาเกิดตกตะลึงขึ้นในใจ พวกเขายืนอยู่บนปลายหอกหอกก็แทบจะเต็มกลืน พวกเขาไม่คาดคิดว่าเซี่ยวเฉินจะหาญกล้าระเบิดพลังออกมาได้เช่นนี้
หวู่ปิง ผู้ที่อยู่ด้านข้างจางเลี่ย,ครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่งก่อนที่จะกล่าวขึ้น “ศิษย์น้องจาง,พวกเราควรรวบรวมศิษย์พี่สักจํานวนหนึ่ง และลงมือก่อนหรือไม่? ด้วยพลังที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ เขาจะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขวางเจ้ากับอันดับหนึ่งเอาไว้”
จากนั้น,สานุศิษย์ชั้นในของยอดเขาเทียนเยวที่แข็งแกร่งสิบคนก็ขยับเข้ามา เหมือนกับคนของยอดเขาปี้อวิ๋น,พวกเขาสามารถเคลื่อนไปบนปลายหอกได้อย่างอิสระ ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ระดับแนวหน้า
คนที่นํากลุ่มมองไปที่จางเลี่ย “ศิษย์น้องจาง,หากเจ้าต้องการก็เพียงแค่บอกกล่าว ท่านเจ้ายอดเขาได้กําชับไว้ว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นระหว่างการทดสอบ,ศิษย์น้องจางจะรับหน้าที่เป็นคนสั่งการและตัดสินใจ
เมื่อจางเลี่ยได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกเป็นสุข เขาไม่คาดคิดว่าท่านเจ้ายอดเขาจะเชื่อใจเขาถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากพึมพําอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้ตัดสินใจ เขาคํานับมือด้วยความเคารพและกล่าว “ศิษย์พี่,ขอบคุณสําหรับข้อแนะนํา ข้าจะเติมเต็มความคาด หวังของท่านเจ้ายอดเขาให้ได้เข้าจะคว้าอันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งนี้”
อย่างไรก็ตาม,เซี่ยวเฉินนั่นไม่ใช่ศัตรูที่เราต้องจัดการเป็นอันดับแรก หากมีเพียงความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ข้าสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเราก็คือคนนั้น!”
หลังจากที่จางเลี่ยกล่าวจบ,เขาหันตัวและชี้ไปยังมู่เหิงแห่งยอด เขาเปยเฉินที่เก็บตัวนิ่งเงียบ เมื่อมู่เพิ่งรู้สึกได้ถึงสายตาของจางเลีย,เขามองกลับมาและยิ้มอย่างสงบนิ่ง,ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
ผู้คนที่อยู่ด้านข้างขาวเลี่ยค่อนข้างประหลาดใจ มู่เหิงเป็นเห็นง ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นต้น ทําไมต้องไปใส่ใจกับเขามาก ถึงเพียงนั้น?
จางเลี่ยไม่ได้อธิบาย,กลับกัน เขาพูดขึ้น “สถานการณ์อาจจะแปลเปลี่ยนในภายหลัง รอดูก่อน หากข้าคาดเดาผิดพลาดไป,เช่นนั้นพวกเราจะลงมือทันที”
การจู่โจมของศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นทั้งสี่มันกระทันหันเกินไปเป็นผลทําให้สานุศิษย์จากยอดเขาอื่นระมัดระวังตัวมากขึ้น หากมันมีใครเข้าใลอบโจมตีพวกเขาเช่นกันล่ะ?
ผู้บ่มเพาะพลังผู้หนึ่งจากบอดเขาเขียนตัวน,พร้อมกระบี่เล่มมที่มาบนหลังของเขาเยืนนิ่งเงียบบนยอดปลายหอก กระบี่บนหลังของเขายาวเกือบจะสองเมตร,กว้าง 7 เซนติเมตรและหนาประมาณ 1 เซนติเมตร ขนาดของมันกล่าวได้ว่าเป็น “กระบี่เล่มมหึมา” :น้ําหนักของมัน 250 กิโลกรัม
เขายืนอยู่บนปลายหอกพร้อมกระบี่หนักเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่ไหวนิ่งแม้แต่น้อย,แบกมันเอาไว้ราวกับขนนก มันดูเหมือนไม่มีน้ําหนักสําหรับเขา นี่ทําให้ผู้คนต่างตกตะลึง
เมื่อบางคนด้านข้างเขามองเห็นคนจากยอดเขาเทียนเยว่กําลังถกเถียงกัน,เขารีบแจ้ง “ศิษย์พี่เกาหยาง,ดูเหมือนทางฝั่งยอดเขา เทียนเยว่จะมีการเคลื่อนไหว พวกเราควรทําอะไรสักอย่าง?”
เกาหยางมีใบหน้ากว้างพร้อมกับคิ้วเส้นหนา เมื่อมองดู มันให้ความรู้สึกห้าวหาญ เขาเหล่มองไปที่คนของยอดเขาเทียนเยวและกล่าวอย่างเฉยเมย “ พวกเราจะมองดูอย่างนิ่งเงียบและเคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์ ไม่มีประโยชน์สําหรับพวกเราศิษย์ยอดเขาเชียนต้วน,ที่จะไปประมือบนหอกแหลม”
ประโยคคล้ายกันถูกพูดขึ้นโดยศิษย์ยอดเขาอื่นๆ ทุกยอดเขามีศิษย์อย่างน้อยหนึ่งคนที่หยิ่งผยอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเทียบเท่าจางเลี่ยหรือคนอื่นๆ, พวกเขาก็โดดเด่นในหมู่พวกเขาเอง
ทุกคนล้วนกําลังพูดถึงวิธีรับมือเรื่องไม่คาดคิด,ป้องกันการลอบโจมตีจากยอดเขาอื่น
หลิวสุยเฟิงมองดูเหี่ยวเฉินที่รับมือศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นสี่คนที่ลอบโจมตีเขาได้อย่างง่ายดาย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกต่ําใจ พวกเขาทั้งอยู่อยู่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงเช่นเดียวกัน แต่มีความแตกต่างอย่างมากในความแข็งแกร่งของพวกเขา
“เย่เฉิน,ทุกอย่างเรียบร้อยหรือไม่?” หลิวสุยเฟิงถามขึ้น
เซี่ยวเฉินตอบกลับ “ไม่มีปัญหา,ข้าเสียพลังปราณไปเพียงเล็กน้อย ระวังตัวเอาไว้ ยังมีคนของยอดเขาปี้อวิ๋นที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหว”
หลังจากเซี่ยวเฉินซัดลอยไปสามคน,เขาก็ได้ใช้สัมผัสวิญญาณ ตรวจดูสานุศิษย์ที่เหลือของยอดเขาปี้อวิ๋น เขาพบคนที่มีกระแสพลังอันแข็งแกร่ง,เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนเมื่อก่อนหน้านี้เขาปิดซ่อนตัวเองไว้อย่างดี
แต่เดิมเซี่ยวเฉินอยากจะพุ่งเข้าไปเพื่อกดดันให้เขาเผยตัวออกมา อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาครุ่นคิดดู.มันยังมีจางเลี่ยที่กําลังจ้องมองเขาอยู่ มันไม่มีความจําเป็นที่จะเผยความแข็งแกร่งของเขามากเกินดังนั้นเขาจึงปล่อยไปก่อน
เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ ละภายในพริบตาเก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมง การทดสอบด่านนี้ได้ผ่านไปครึ่งทางแล้ว ยังมีสานุศิษย์มากกว่า 80 คนที่เหลืออยู่ในค่ายกลหอก
หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น,คนทั้ง 80 คนนี้ไม่น่าจะมีปัญหาในการผ่านครึ่งชั่วโมงหลังนี้ไป
จางเลี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย,เขามีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจว่าการทดสอบรอบนี้มันง่ายดายเกินไป ตอนนี้ผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น, บางเริ่มก็เริ่มรู้สึกสงสัย
ไม่เป็นไร, ข้าจะไม่ลังเลอีกต่อไป ข้าจะเริ่มลงมือก่อน เจตนาฆ่าฟันวูบผ่านดวงตาของจางเลี่ย ดวงตาของเขาราวกับตะเกียงพร้อมกับส่องไปที่มู่เหิงแห่งยอดเขาเปยเฉิน เจตนารมณ์กระบี่รุนแรงรวมตัวกันในดวงตาของเขา
“ฟ้าว!”
กระบี่ฉีหลายเล่มปรากฏขึ้นในอากาศ พวกมันราวกับกระบี่เฉียบคม,ตัดผ่านอากาศไปอย่างง่ายดายและสร้างละลอกคลื่นพร้อมกับพวกมันพุ่งเข้าไปหามู่เพิ่ง
มู่เหิงคาดการณ์ถึงการลงมือฉับพลันของจางเลี่ยเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดคิดว่าเจตนารมณ์กระบี่ของจางเลี่ยจะแข็งแกร่งพอที่จะปล่อยกระบี่ฉีออกมาจากอากาศ
“ปัง! ปัง! ปัง!”
มู่เพิ่งใช้ฝ่ามือของเขาแทนกระบี่และฟันไปยังกระบี่ฉีที่พุ่งมาทางเขา พร้อมกับเสียงเหล็กกระทบ “แคร้ง แคร้ง , มู่เพิ่งสลายกระบี่ฉีได้อย่างง่ายดาย