Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 228 การต่อสู้ดําเนินต่อไป
อย่างไรก็ตาม เกิดอะไรขึ้นกับมู่เหิง? ทําไมเขาไม่ลงไปถึงแม้ว่าจะได้รับธงมาแล้ว? ทําไมเขาถึงกระโดดกลับขึ้นไป?”
ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นใจกับชะตากรรมของเกาหยางนัก หลังจากเห็นสิ่งโหดร้ายที่เขาทําไป
“ฉัวะ! ฉัวะ!”
ขณะที่ทุกคนกําลังถูกกันเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มู่เหิงได้ทําสิ่งที่น่าตกตะลึง;เขาได้ทําลายธงที่อยู่ในมือของเขา
“ซิ่ว!”
จางเลี่ยและเซียวเฉินก็ลงมือพร้อมกัน,พวกเขาแต่ละคนทําลายธงในมือ จากธงห้าผืนสุดท้าย เหลือเพียงหนึ่งต่อพวกเขาสามคน, กําลังร่องลอยอยู่อย่างช้าๆ
“พวกขเวทําอะไร? เห็นชัดว่าพวกเขาได้รับธงมาแล้ว:พวกเขาน่าจะผ่านด่านนี้ไปได้เรียบร้อย!”
“ทําไมข้ารู้สึกว่าพวกเขาตั้งใจจะเลื่อนการประลองรอบสุดท้ายเข้ามา?!”
“ข้าไม่เข้าใจการทดสอบในครั้งนี้จริงๆ มันเป็นเพียงการทดสอบรอบที่สอง,แต่มันกลับดุเดือดเข้มข้นเช่นนี้ กําลังเกิดบ้าอะไรขึ้น?”
“พวกเขาสามคนดันตัวเองเข้าสู่ทางตัน มีเพียงหนึ่งคนที่จะคว้าธงมาได้ คนที่เหลือจะถูกคัดออก”
ไม่เพียงแค่ผู้ที่ผ่านการทดสอบรอบนี้ไปแล้วที่ไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้ แต่ศิษย์ชั้นในคนอื่นๆรวมถึงท่านเจ้ายอดเขาแต่ละคนก็คิดไม่ตกเช่นกันว่าทําไมพวกเขาถึงดันตัวเองเข้าสู่ด่านสุดท้าย
ผู้อาวุโสสอง,ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างของผู้อาวุโสหนึ่งเจียงชือบนฐานสูงร่วมกับผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ล,หัวเราะขึ้นเบาๆ “สามคนนั้นดูเหมือนจะเข้าใจเจตนาของท่านแล้ว ข้าสงสัยว่าผู้อาวุโสหนึ่งจะชอบพอ ผู้ใดมากที่สุด?”
“ความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสามสามารถคว้าตําแหน่งหนึ่งในสอบอันดับแรกของการทดสอบศิษย์แก่นกลางที่ผ่านมาได้อย่างสบาย พวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมากคาดไม่ได้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ” สายตาของเจียงชือลึกล้ำราวกับน้ำนิ่งเป็นผลให้ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของเขาได้
ผู้อาวุโสสามที่อยู่ด้านข้างของพวกเขากล่าวขึ้น “พี่ใหญ่เจียงชือ,หากท่านเจ้ายอดเขาพวกนั้นตระหนักถึงสิ่งที่พวกเรากําลังทํา อยู่,พวกเขาจะมีปัญหาหรือไม่?”
ผู้อาวุโสหนึ่งกล่าวอย่างไร้สีหน้า “ไม่มีใครแทรกแซงสิ่งที่ข้าได้ตัดสินใจไปแล้วได้”
เมื่อผู้อาสุโสท่านอื่นได้ยินดังนั้น,หน้าอกของพวกเขาก็บีบแน่น พวกเขาปิดปากเงียบและหยุดถกกันเรื่องนี้
บนค่ายกลที่มีหอกนับไม่ถ้วน เซี่ยวเฉิน,มู่เหิง,และจางเลี่ยยืนอยู่คนละมุม,เร่งกระแสพลังของพวกเขาขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ฉีและโลหิตของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างไม่มีใครเปรียบ ขณะที่กระแสพลังของพวกเขากําลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง,อากาศในลานฝึกฝนกลายเป็นเลวร้าย,ทําให้ผู้คนหายใจได้อย่างลําบาก
ธงลอยอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา ทันใดนั้น,พลังที่ค่ำมันเอาไว้ก็สลายหายไปและมันก็ลอยลงไปที่พื้นอย่างช้าๆ สายตาของพวกเขาไม่ละไปจากธง มีแสงเรืองอยู่ในดวงตาของพวกเขา
โซว!”
ทันใดนั้น,มีสายลมรุนแรงสามสายพัดเข้ามา,กระจายไปในบรรยากาศและตบฝุ่นทรายลอยขึ้นไปในอากาศ
พวกเขาทั้งสามเริ่มลงมือเคลื่อนไหวในจังหวะเดียวกัน, พวกเขาแต่ละคนต่างใช้ออกทักษะเคลื่อนไหวของพวกเขา พวกเขาต่างหมายจะฉกเอาธงที่กําลังลอยลงมายังพื้น
“เจ็ดดาราโยกย้าย!”
“ไร้ลักษณ์ก้าววารี!”
“มังกรฟ้าฟาดหาง!”
มู่เหิงจางหายไปในอากาศอย่างแปลกประหลาด จางเลี่ยกดลงพื้นดีดตัวเบาๆด้วยเท้าของเขาและทิ้งรอยคลื่นราวกับผิวน้ำเหลือเป็นภาพติดตาหลายร่างไว้ข้างหลัง
มังกรฟ้าปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบเซี่ยวเฉินและร้องคําราม ภาพร่างของมังกรฟาดหางปรากฏขึ้นในอากาศ
พวกเขาทั้งสามใช้ออกทักษะที่ยอดเยี่ยมที่สุดพร้อมกับลอยตรงไปยังธงที่กําลังร่วงหล่น ท้ายที่สุด,มังกรฟ้าเมฆาทะยานของเซี่ยวเฉินก็เร็วกว่า แสงสีฟ้าจับเอาธงไว้อย่างรวดเร็ว
มังกรฟ้าเมฆาทะยาน ถึงอย่างไรมันก็เป็นทักษะเคลื่อนไหวระดับสวรรค์ ถึงแม้ว่าเขาจะฝึกฝนมันไปถึงเพียงระดับสมบูรณ์ขั้นต้น ก็ไม่มีนักบ่มเพาะพลังในระดับเดียวกันคนใดที่จะแซงเซี่ยวเฉินในเรื่องของความเร็วไปได้
มันแทบจะเป็นในจังหวะเดียวกัน เมื่อเซี่ยวเฉินจับเอาธงมาได้, จางเลี่ยกับมู่เหิงนั้นร่อนลงมาและยื่นแขนของพงกเขาไปที่ธง
เซี่ยวเฉินดึงกลับอย่างนุ่มนวล,และธงก็ลอยผ่านอากาศมาลงบนหลังของเซี่ยวเฉินพวกเขาทั้งสองมือคว้าไปที่ความว่างเปล่า
“เทือกเขาคดเคี้ยวร้อยวิถี!”
“ฝ่ามือเงาหุบเขานิรันดร์!”
จางเลี่ยและมู่เหิงไร้ซึ่งความลังเล,พวกเขาลงมือพร้อมกัน จางเลี่ยใช้ออกกระบวณท่าที่สามของทักษะหระบี่ยอดเขาหลิงหยุนทันใดนั้น เขาก็แสดงปรากฏการณ์ลึกลับของภูเขานับร้อยเป็นที่ตื่นตระลึงของคนอื่นๆ เปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นมืดมิด
อีกด้านหนึ่ง,มู่เหิงหมุนเวียนทักษะเสริมกายาหยกม่วง ร่างสีม่วงนับร้อยวูบผ่าน,ล้อมรอบตัวเขาเอาไว้ ทําให้ยากที่จะจําแนกระหว่างร่างจริงกับร่างปลอม
เซี่ยวเฉินหน้าเทา คนพวกนี้ไม่ใช้ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงทั่วไป ผู้หนึ่งได้เข้าใจถึงเจตนารมณ์แห่งกระบี่ นอกจากนั้นพรสวรรค์ของเขายังเยี่ยมยอด
อีกผู้หนึ่งเสริมสร้างร่างกายาของเขาเปลี่ยนร่างของเขาให้เป็นกระบี่ นับพลังโจมตีอย่างเดียวเขาเหนือกว่าเซี่ยวเฉิน ไม่ว่าเขาจะเดินไปทางใด เขาก็จัดได้ว่าเป็นอัจฉริยะ
“เทือกเขาคดเคี้ยวร้อยวิถี ข้าก็เรียนมาเหมือนกัน!” เซี่ยวเฉินนึกผ่านความคิดของเขาและยิ้มขึ้นบางเบา ภาพลวงตาภูเขานับร้อยปราฎขึ้นที่ด้านหลังของเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม,มันก็เป็นเพียงวูบเดียวก่อนที่ภาพลวงตานั้นจะผสานเข้ากับร่างกายของเขา
คมกระบี่สีขาวหิมะของกระบี่เงาจันทร์สว่างขึ้นด้วยแสงรุ่งโรจน์ นี่ไม่ใช่กระบี่แสง:มันคือปรากฏการณ์ลึกลับขอบทักษะกระบี่หลิงหยุนที่ฝังเข้าไปฝนคมกระบี่
ปราณของเซี่ยวเฉินไหลเข้าไปในคมกระบี่ในเวลาเดียวกัน อีกครู่หนึ่งต่อมา,แสงเรืองกลายเป็นรุ่งโรจน์ยอ่งขึ้น มันราวกับดวงอาทิตย์ที่ถูกย่อส่วน,เปลี่ยนท้องฟ้าที่มืดมิดให้สว่างไสวอย่างไม่น่าเชื่อ
“สลายไปซะ!” เซี่ยวเฉินตะโกน เขาฟันลงไปที่ภาพภูเขาที่ร้อยเรียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด เสียงสั่นสะเทือนสวรรค์เขย่าปฐพี่ดังขึ้นมาให้ได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ภูเขาสั่นสะเทือนและทั่วทั้งลานฝึกฝนเขย่าไม่หยุด อากาศเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกับลมพายุหมุนหนาแน่น หอกบางเล่มบนพื้นไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไปและถูกดึงขึ้นมาจากพื้นลอยเหวี่ยงไปในอากาศ
“ปัง!” ทันทีที่หมู่ภูเขาถูกลบหายไป, จางเลี่ยปรากฏตัวขึ้นในอากาศพร้อมกับใบหน้าซีดขาว การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าลง,และแสงอาทิตย์สาดลงมาที่พื้นได้อีกครั้ง ทําให้สนามร้อนขึ้น
การเคลื่อนไหวของเซียวเฉินยังไม่ได้หยุดลง หลังจากที่เขาผลักจางเลี่ยลอยกลับไป เขารีบกลับตัวและเปลี่ยนจากกระบี่เงาจันทร์มาอยู่มือซ้ายของเขา เขาหมุนเวียนทักษะสลักร่างพยัคฆ์มังกรและกระดูกในร่างของเขาส่งเสียง “เปรี้ยะ เปรี้ยะ” ออกมาไม่หยุด
มัดกล้ามบนร่างกายของเซียวเฉินขยายขนาดขึ้น ภาพร่างพยัคฆ์ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา มันยกกระแสพลังของเขาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
“พยัคฆ์ร้ายทะลวงภูผา!”
ร้อยร่างภาพรอบตัวของมู่เหิงผสานกลับเมื่อพวกมันเข้ามาใกล้เซี่ยวเฉิน กระแสพลังของเขาก็ถูกเร่งขึ้นถึงขีดสุดเช่นกัน เมื่อเผชิญหน้ากับกระแสพลังของราชันสัตว์นับร้อย มันไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน
“ระเบิดไปซะ!” มู่เหิงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ฝ่ามือหยกสีม่วงที่แบกพลังผสานร่างนับร้อยและเข้าปะทะกับหมัดของเซี่ยวเฉินอย่างไร้ซึ่งความลังเล
“บูม!”
เมื่อฝ่ามือและกําปั้นเข้าปะทะกัน,มันราวกับสายฟ้าสวรรค์ที่ลั่นเสียงออกมาท่ามกลางลานฝึกฝนอันเงียบสงัด,ดังกึกก้องไปในหูของฝูงชน มันทําให้แก้วหูของพวกเขาสั่นสะเทือน ผู้บ่มเพาะพลังที่อ่อนแอหน่อยถึงกับหูดับไปชั่วคราว
คลื่นกระแทกระเบิดออกมาอย่างรุนแรง,เคลื่อนไปรอบทั่วทิศทาง หอกที่ถูกส่งลอยขึ้นไปแตกสลายหายไปกับสายลม
พวกเขาทั้งสองถอยกลับพวกเขาเคลื่อนถอยกลับไปหลายร้อยเมตรในทันที เซียวเฉินตัลังกากลางอากาศและลงจอดบนปลายหอกอย่างนิ่มนวล จากนั้นเขาค่อยๆจับไปที่ธงที่เขากําลังปกป้องบนหลังของเขา
ในอีกด้านหนึ่ง,มู่เหิงไม่ได้สบายเหมือนกับเซียวเฉิน ทุกก้าวที่เขาลง,ปลายหอกจะระเบิด เขาสามารถหยุดตั้งตัวได้หลังจากทําลายหอกไปนับร้อยเล่ม
หนึ่งหมัดหนึ่งฝ่ามือ… พวกเขาทั้งสองพึ่งพากําลังกายทั้งหมดในร่างของเขา พวกเขาเสมอกัน
แม้ว่ามันจะใช้เวลานานในการบรรยายออกมา แต่มันเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนกระบวณท่าเดียวระหว่างเซี่ยวเฉินกับพวกเขาใช้เวลาเพียงสองสามอึดใจเท่านั้น
พวกเขาทั้งสามยืนอยู่คนละมุม,ควบคุมพลังงานของพวกเขา พวกเขาไม่เร่งรีบที่จะลงมือ สถานการณ์ที่ดุเดือดบนค่ายกลหอกสงบลงขึ้นมาทันตา อย่างไรก็ตาม,ทุกคนล้วนรู้ว่านี่เป็นแค่ลมสงบก่อนพายุ
“ฮ่ะ!”
ตามนั้น หลังจากนั้นเอง,จางเลี่ยและมู่เหิงทั้งคู่ตะโกนขึ้นและพุ่งเข้าใส่เซียวเฉิน ตอนนี้,พวกเขาทั้งคู่รู้แล้วว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาเทียบกับเซียวเฉินไม่ได้เพวกเขาทําได้เพียงร่วมมือกันกันล้มเซียวเฉิน
ทุกคู่ต่อสูที่เขาเคยพบมาไม่อ่อนเกินก็แข็งแกร่งเกินไป ตอนนี้เขาได้พบกับคู่ต่อสู้สองคนที่ความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับเขา เขาจะสนุกไปกับมันและต่อสู้จนกว่าจะพอใจ
เซี่ยวเฉินใช้กระบี่ของเขารับการโจมตีของจางเลี่ยและมือซ้ายของเซี่ยวเฉินจัดการกับฝ่ามือวายุที่ส่งมาโดยมู่เหิง
ร่างของพวกเขาทั้งวามโยกย้ายไปบนค่ายกลหอกอย่างต่อเนื่อง มีเสียงพยัคฆ์คําราม,สายลมกระบี่ และฝ่ามือวายุดังขึ้นมาไม่ขาดสาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง,พวกเขาทั้งสามก็แลกเปลี่ยนกันไปกว่าร้อยกระบวณท่า ทุกที่ที่พวกเขาผ่าน,ปลายหอกแตกสลายและสายลมแรง วูบไหว เติมเต็มอากาศไปด้วยฝุ่นทราย
ในไม่ช้า,ภายใต้การโหมโจมตีจากพวกเขาทั้งสอง,เซี่ยวเฉินก็รับไปมากกว่าห้าร้อยกระบวณทรา อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เสียเปรียบ กลับกัน ยิ่งเขาประมือมากขึ้นเท่าไหร,กระแสพลังของเขายิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ฝูงชนบนที่นั่งคนดูมองเห็นภาพเงาเรือนร่างทั้งสามผ่านม่านสีเหลืองที่เติมเต็มไปในอากาศและได้ยินเสียงหมัดเท้ากับอาวุธปะทะกัน มันช่างเป็นศึกที่ตระการตา,แต่ถูกคั่นเอาไว้ด้วยม่านทราย พวกเขาทําได้เพียงรู้สึกโชคร้ายในใจด้วยความเสียดาย
“เย่เฉินแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แม้ว่าจะถูกสองคนเข้าลุม,เขายังไม่ได้เสียเปรียบแต่อย่างใด สมกับชื่อเสียงเยู่เฉินแห่งยอดเขาฉิงหยุน”
“จางเลี่ยกับมู่เมิงก็ไม่เลวเช่นกัน ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นทั่วไปไม่ใช่คู่มือของพวกเขา”
“จะไปเลวได้เช่นไร? ไม่ต้องพูดถึงชื่อจางเลี่ย:ยอดเขาเทียนเยว่ได้นับเขาอยู่ในสิบอันดับศิษย์แก่นกลางที่แข็งแกร่งที่สุดของยอดเขาเทียนเยว่ไปเรียบร้อยแล้ว”
“สําหรับมู่เหิง,ข้าได้ยินมาจากคนของยอดเขาเปยเฉินว่าเขานั้นคือบุตรชายของท่านเจ้ายอดเขา เขาได้เก็บตัวฝึกฝนอยู่ที่ด้านหลังหุบเขา,เปลี่ยนร่างกายของเขาให้เป็นกระบี่และใช้ความแข็งแกร่งกายยภาพของเขา ทุกครั้งที่ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาเพิ่มขึ้น,ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน”
“ข้าสงสัยว่าเย่เฉินจะอดทนต่อไปได้นานเท่าไหร ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถทนต่อไปได้เรื่อยๆ หลังจากห้าร้อยกระบวณท่า”
“แน่นอน ถึงอย่างไร มันก็เป็นหนึ่งต่อสอง ปราณในร่างของเขาจะเหือดแห้งเร็วกว่าอีกสองคนที่เหลือ ยิ่งยื้อไปนานเท่าไหร ก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม,ที่เขาอดทนมาได้นานขนาดนี้ ความแข็งแกร่งของเขาก็เป็นที่น่าหวาดกลัวแล้ว”
ในขณะที่คนบนค่ายกลหอกกําลังประมือกัน,คนบนที่นั่งคนดูก็กําลังยุ่งอยู่กับการถกเถียงแสดงความคิดเห็นของพวกเขา หลังจาศึกนี้ถึงแม้เซี่ยวเฉินจะแพ้,ข่าวรือของเขาก็ยังไกลออกไป
ขณะที่พูดคุยกันไป “สามัญมองดูความตื่นเต้นผู้เชี่ยวชาญมองดูทักษะ” ท่านเจ้ายอดเขาสองสามคนบนฐานสูงตื่นตะลึงกับเซี่ยวเฉิน;พวกเขาหวาดหวั่นถึงพลังของเซี่ยวเฉิน
“กระแสพลังที่เขาดึงออกมาในการต่อสู้และผสมผสานระหว่างทักษะหมัดกับทักษะกระบี่,ประสานเข้ากันอย่างสมดุลสมบูรณ์แบบ เจ้าเด็กนี้ช่างน่ากลัว” ท่านเจ้ายอดเขากางอถอนหายใจ
ฉ่เซียนอวิน, ท่านเจ้ายอดเขาสตรีหยก เต็มไปด้วยความปั่นชม “ร่างกายของเขาเทียบเท่าได้กับมู่เหิงและทักษะกระบี่ของเขาสามารถกดจางเลี่ยเอาไว้ พลังปราณของเขาก็ดูเหมือนจะไม่มีวันล้า ข้าสงสัยว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงใดเมื่อเขากลายเป็นระดับขอบเขตนักบุญ”
แม้แต่ท่านเจ้ายอดเขาซื้อวิ่น,ซ่งเฉว,ที่ดูแคลนอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้ เขายิ่งเงียบ ตอนที่เขาเห็นถึงคงามแข็งแกร่งที่แท้จริงของเซี่ยวเฉิน,เขาครุ่นคิดกับตัวเองอย่างกังวล,ศักยภาพของเขาจะน่ากลัวเกินไปแล้ว หากข้าปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นไปอีก เขาจะน่ากลัวถึงเพียงใด?
จากนั้น,ผลลัพธ์มันไม่อาจจินตนาการได้ ข้าจําเป็นต้องหาโอกาสสังหารเขาลงให้ได้