Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 229 เปิดไพ่ตาย
Immortal and Martial Dual Cultivation
ตอนที่ 229 เปิดไพ่ตาย
เมื่อท่านเจ้ายอดเขาแปยเฉิน,มู่เฟิง,เห็นการต่อสู้ของเซี่ยวเฉิน,เขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงเช่นกันแต่เดิมเขาคิดว่าเมื่อมู่เพิ่งเปิดตัวออกมา เขาจะคว้าอันดับหนึ่งมาได้อย่างแน่นอนดูเหมือนว่ามันจะไม่แน่นไม่นอนแล้วในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม,มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร หากเขาจะสามารถได้รับแรงจูงใจเข้ามาบ้างจากเรื่องนี้ ทําให้เขาลดความทระนงตนลงมาบ้างก็เป็นเรื่องดีสําหรับตัวเขาในอนาคต
เหลิ่งเทียนเจิ้งจ้องมองทั้งหมดนี้และก็ถอนหายใจออกมาหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง “หรูเยว่เจ้ารับยอดศิษย์เข้ามาแล้วในครั้งนี้ ยอดเขาเทียนเยว่เป็นที่หนึ่งในการทดสอบศิษย์แก่นกลางมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา ตอนนี้ดูเหมือนจะส่งต่อให้เจ้าแล้ว”
ใบหน้าอันสง่างามของหลิวหรูเยว่เผยรอยยิ้มเป็นสุขนางเป็นผู้ที่ เป็นสุขมากที่สุดอย่างแน่นอนที่มองดูเหี่ยวเฉินเติบโตขึ้น “ท่านลุงเหลิ่ง,ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ยอดเขาเทียนเยว่เต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ ยอดเขาของท่านก็ยังคงมีจํานวนผู้ที่ผ่านการทดสอบมากที่
สุด”
“ฮ่าฮ่า,เอาล่ะๆ เดียวก็ได้เห็นกัน จางเลี่ยยังคงไม่ได้ใช้เจตนารมณ์แห่งกระบี่ออกมาอย่างเต็มที่ บุตรชายของน้องมู่ก็ยังไม่ได้เผยไพ่ตายออกมาเช่นกัน ผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้ยังไม่ได้ตัดสิน” เหลิ่งเทียนเจิ้งหัวเราะเบาๆและจบหัวข้อลง
ถึงว่าว่าเหลิ่งดทียนเจิ้งจะเสียอันดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้ไป,เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ถึงอย่างไรก็ความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ของศาลากระบี่สวรรค์ก็ยังรวมตัวอยู่ที่เขา ความแข็งแกร่งของเหล่ารุ่นเยาว์จะเติบโตต่อไป เขาก็ยังคงกดยอดเขาอื่นไว้ได้เหมือนแต่ก่อน
“ปัง! ปัง!”
ขณะที่ทุกคนกําลังพูดคุยกัน,เกิดเสียงระเบิดขึ้นสองครั้งที่ลานฝึกฝน หอกมากมายนับไม่ถ้วนสั่นสะเทือนและลอยขึ้นไปในอากาศก่อนที่คลื่นกระแทกจะบดพวกมันเป็นผุยผง
สายลมรุนแรงกดลงและตบฝุ่นทรายลอยขึ้นพวกเขาทั้งสามต่างล่าถอย,และร่างของพวกเขาก็ค่อยๆปรากฏขึ้นต่อหน้าฝูงชน
ใบหน้าของมู่เพิ่งซีดขาว,มีเลือเล็กน้อยไหลออกมาจากมุมปากของเขา แสงสีม่วงหนาแน่นบนร่างของเขาค่อยๆอ่อนลง
เสื้อผ้าของจางเลี่ยขาดรุ่งริ่ง มีบาดแผลจากกระบี่น้อยใหญ่ลึกตี้นมากมาย เลือดโลหิตไหลออกมาอย่างต่อเนื่องเขาดูน่าอนาถเป็นอย่างมาก
เซี่ยวเฉินถือกระบี่หนึ่งมือและมีธงอยู่ในอีกมือหนึ่ง เม็ดเหงื่อไหลอกมาจากหน้าผากของเขาอย่างต่อเนื่อง มีแผลจากกระบีบ้างเล็กน้อยตามตัวของเขา แต่ไม่ได้หนักหนานักด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายของเขา,พวกมันได้ฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว
เซียวเฉินแต่งกายชุดคลุมยาวที่ปลอวไหวไปตามลม ปลายผมของเขาร่ายรําไปกับสายลม คมกระบีสีขาวหิมะส่องแสงเย็นยะเยือกออกมาธงในมือของเขาก็โบกสะพัดไปตามลม
เลือดโลหิตของเขาแข็งแกร่งกระแสพลังของเขารุ่งโรจน์ เขานึกเสียใจและอยากจะแลกกันอีกสักแปดร้อยกระบวณท่า
“เจ้ามันแข็งแกร่ง หากว่าเจ้าสามารถรับกระบวณท่าต่อไปของข้าได้,ข้าจะเดินออกไปเอง” มู่เพิ่งกล่าวกับเซี่ยวเฉินขณะที่เขาปาดเลือดที่มุมปาก
จางเลี่ยพึมพํากับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง และนําเอาขี้ผึ้งสีทองออกมาจากแหวนห้วงมิติของเขาก่นอที่จะโรยลงบนบาดแผลเขากล่าว “ข้าด้วยเช่นกัน หากเจ้าสามารถรับกระบวณท่าต่อไปของข้าได้,เช่นนั้นข้าจะถอนตัวออกจากการทดสอบศิษย์แก่นกลาง”
“เฟียว!”
เซี่ยวเฉินปาธงในมือของเขาลงไปอย่างรุนแรง,ปักติดแน่นอยู่กับพื้นจากนั้นเขากล่าวขึ้น “ดีใครจะเข้ามาก่อน? ใครชนะได้ธงของข้าไป”
“ข้าก่อน!”
จางเลี่ยกล่าวเสียงนุ่ม,และเขาก็เริ่มรวบรวมความแข็งแกร่งของเขาอย่างช้าๆ เขาจับไปที่ด้ามกระบี่ในมือขวาของเขามั่น,ฝั่งเจตนารมณ์แห่งกระบี่ที่เขาได้บรรลุมาลงไปกับกระแสพลังของเขา
สายลมแรงอันไร้ขอบเขตเริ่มพัดเปาที่ด้านหลังของจางเลี่ย ราวกับอากาศกําลังจะถูกตัดและส่งเสียง “ซี่ “ออกมาเจตนารมณ์แห่งกระบี่ของจางเลี่ยผสานเข้ากับสายลม
“ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าเจ้าน่าจะบรรลุกระบวณท่าที่สิบหกของทักษะกระบี่หลิงหยุนมาเช่นกัน อย่างไรก็ตามเจตนารมณ์แห่งกระบี่ระดับสมบูรณ์ขั้นต้นของข้าได้ฝังเข้ากับผลักเมฆานิรันดร์พลังของมันเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนหน้านี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะรอดมา
หลังจากที่จางเลี่ยพูดจบ,ทิวแถวหมู่เมฆปรากฏขึ้นบนค่ายกลหอกบดบังสายตาของทุกคน;พวกเขาไม่อาจเห็นฉากที่กําลังเกิด
ขน
ไม่เพียงแค่นั้น เมฆาพวกนี้ยังปวรสัมผัสทั้งห้าของพวกเขาและสัมผัสวิญญาณของเซียวเฉิน เชี่ยวเฉินครุ่นคิดอย่างตกตะลึง,เมฆพวกนี้จะต้องมีเจตนารมณ์กระบี่ของจางเลี่ยด้วยอย่างแน่น
อน
ถูกต้อง,ในจังหวะต่อมา เซี่ยวเฉินสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันที่ทะลวงผ่านหมู่เมฆเข้ามา เมื่อเมฆเข้ามาสัมผัสกับผิวของเขา,พวกมันเริ่มโจมตีปราณเกราะที่ห่อหุ้มเขาเอาไว้ ทําให้เกิดเสียง “ซี่ ซี่”ขึ้นมา
มือขวาของเซี่ยวเฉินจับด้ามกระบี่เงาจันทร์เอาไว้ บ่อพลังฉีที่จุดต้นเทียนของเขาหมุนวนอย่างรวดเร็ว,ส่วพลังปราณออกมาปกคลุมเขาไว้ไม่ขาดสาย
ภายในหมู่เมฆสัมผัสทั้งห้าของเซี่ยวเฉินไร้ประโยชน์ เมื่อเขาขยายสัมผัสวิญญาณออกไป,เขาสัมผัสได้เพียงหมู่เมฆที่ไร้ขอบเขตเซี่ยวเฉินราวกับคนตาบอดเมื่ออยู่ในนี้เขามองไม่เห็นอะไรเลย
ด้วยกระบวณท่านี้ เซี่ยวเฉินตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบชั่วคราวเชี่ยวเฉินหลับตาลงเขาไม่อาจใช้สัมผัสกายภาพรับรู้โดบรอบได้เช่นกันและได้แต่ปรับตัวไปตามสถานการณ์ที่กําลังตามมา
จางเลี่ย,ผู้ที่อยู่ในเมฆหมอก, จดจ้องเจตนาฆ่าฟันของเขาลงไปที่เซี่ยวเฉิน เขาสามารถสัมผัสได้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเซี่ยวเฉินเขาเผยรอยยิ้มบางเบาออกมาไม่ว่ามันจะเป็นใคร,หลังจากที่สัมผัสทั้งห้าถูกปั่นป่วน,พวกเขาไม่อาจต้านทานกระบี่ของข้าได้
“ปลุกเมฆานิรันดร์!”
เมฆโดยรอบค่อยๆแตกตัวและมารวมกันที่กระบี่ในมือของจางเดี๋ยจุดแสงสีขาวเริ่มร่ายรําบนคมกระบี่สีดํา
“บูม!”
ในตอนที่เมฆหมอกจางหายไป,กระบี่ของจางเลี่ยได้ซึบซับเจตนารมณ์แห่งกระบี่ทั้งหมดเข้ามา แสงเรืองบนคมกระบี่ในตอนนี้สว่างไสวอย่างไม่น่าเชื่อ
ที่สําคัญยิ่งกว่าก็คือคมกระบี่มันได้เข้ามาในระยะไม่ถึงเมตรห่างจากตัวของเซี่ยวเฉิน;ปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่เซียวเฉิน กระบี่สร้างสายลมรุนแรงขึ้น,ทําให้ผมของเซี่ยวเฉินปลิวกลับหลัง
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในประกายแสงเดียว ในสายตาของผู้ชม,มันใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
จางเสี่ยโบกสะบัดกระบี่ของเขาและหมู่เมฆล้อมรอบค่ายกลกระบี่เอาไว้ในจังหวะต่อมา,หมู่เมฆาจางหายไป,และเขากําลังชี้กระบี่ตรงไปที่เซี่ยวเฉิน
ภายในลานฝึกฝน มีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างดีกซึ้งในทันทีที่เมฆปรากฏขึ้น, จางเลี่ยได้ใช้จังหวะที่สัมผัสทั้งห้าของ เซี่ยวเฉินถูกปิดกั้นบินเข้าไปจากระยะสิบเมตรอย่างเงียบเชียบ
ก่อนที่คมกระบี่จะแตะโดนตัวของเซี่ยวเฉิน,กระบี่แสงรุ่งโรจน์กลายไปเป็นเส้นกระบี่ฉีพร้อมกับเสียง “โซว” และยิงตรงไปที่หน้า ผากของเซี่ยวเฉิน
“โซว!”
ระหว่างจังหวะความเป็นกับความตาย,ดวงตาของเซี่ยวเฉินที่ปิดแน่นทันใดนั้นก็ลืมขึ้น สายกระบี่ฉีเพรียวบางรวดเร็วยิ่งกว่าความ เร็วเสียงในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้ในจังหวะที่เซี่ยวเฉินลืมตาขี้ นมา,เขาก็มาอยู่ตรงหน้าตาขวาของเขาแล้ว
เซี่ยวเฉินกดเท้าดีดตัวออกจากปลายหอกและเขาก็เริ่มหมุนตัว ร่างที่หมุนวนของเขาส่งเสียง “ฟว ฟิว ฟิว” ออกมามันสร้างแรงล มมหมุนวนที่น่ากลัวก่อเกิดเป็นพายุหมุนขนาดเล็กปรากฏขึ้นในพื้นที่
เส้นกระบี่ฉีไล่ตามหลังเซี่ยวเฉินไป, ขยายไปในอากาศอย่างรวดเร็วทุกที่ที่มันวาดผ่านเกิดเป็นละลอกคลื่นปรากฏขึ้นมา ให้เห็นกระบี่ฉีดส้นเพรียวบางดูเหมือนกับจะไล่จับเซี่ยวเฉินเสียให้ได้แต่ก็ไม่อาจ
มุมปากของจางเลี่ยยกขึ้นบนโค้ง,และเขากวาดแขนขวาของเขา,ที่กําลังถือกระบี่เอาไว้ กระบี่ฉีดส้นบางยิ่งกลายเป็นบางกว่าเดิมอย่างช้าๆ จากนั้นเขาก็มองไปยังเซี่ยวเฉินพร้อมหัวเราะและก็กล่าวขึ้น “ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเจ้าจะรวดเร็วถึงเพียงใดเจ้าไม่ อาจหลบหนีไปจากปลุกเมฆานิรันดร์ที่เสริมด้วยเจตนารมณ์แห่งกระบี่ของข้าได้”
เซี่ยวเฉินยังคงหมุนตัวต่อไปเขาไม่หวั่นไหวด้วยคําของจางเลี่ยเส้นกระบี่ฉีกลายเป็นบางเฉียบ,มันไม่อาจมองด้วยตาเปล่าอีกต่อไป,ลบหายไปในอากาศ
เซี่ยวเฉินได้สําเร็จถึงปลุกเมฆานิรันดร์เช่นกัน ธรรมดาเขาไม่ได้คิดว่าปลุกเมฆานิรันดร์นั้นถูกลบหายไปการระเบิดในทันทีต่อมาต่างหากที่เป็นแก่นแท้ของปลุกเมฆานิรันดร์
เซี่ยวเฉินยังคงหมุนๆต่อไป,บินไปสูงขึ้นและสูงขึ้นไปอีกภายในพริบตาเขาก็ลอยไปสูงกว่าหนึ่งพันเมตร
ปลุกเมฆานิรันดร์แต่เดิมเป็นทักษะต่อสู้ระดับปฐพีขั้นสูงพลังของมันเกือบจะเทียบเท่าทักษะต่อสู้ระดับสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามกระบวณท่าสุดท้าย
นอกจากนั้น, จางเลี่ยได้เสริมเข้าไปด้วยเจตนารมณ์แห่งกระบี่ของเขาแม้แต่เซียวเฉินก็ไม่รู้ว่าปลุกเมฆานิรันดร์นี้จะแข็งแกร่งขึ้นไปถึงเพียงใด
หากเซียวเฉินต้องการที่จะป้องกันกระบวณท่านี้และคว้าชัยชนะอย่างหมดจด,เซี่ยวเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้กระบวณท่าที่สิบหกของทักษะกระบี่หลิงหยุนออกมา
อย่างไรก็ตาม,เซี่ยวเฉินยังไม่ได้สําเร็จกระบวณท่าเบี่ยงวิถีรอบยอดเขา ทันใดนั้นเขาได้จุดประกายความคิดและรู้สึกเหมือนจะเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง เขาใช้โอกาสนี้และลองเสี่ยงดู,ทําตามความรู้สึกของเขา
หากเขาพลาด,อย่างน้อยที่สุด เซี่ยวเฉินจะบาดเจ็บสาหัสจากปลุกเมฆานิรันดร์ที่เสริมด้วยเจตนารมณ์แห่งกระบี่,เสียเวลาไปครึ่งปีโดยที่เขาไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ แต่หากว่ามันสําเร็จเขาจะบรรลุถึงกระบวณท่าที่สิบหกของทักษะกระบี่หลิงหยุน-เบี่ยงวิ ถีรอบยอดเขาหลังจากนั้นเขาก็จะมีไพ่ตายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งในมือ
โอกาสสําเร็จคือครึ่งต่อครึ่ง เซี่ยวเฉินไม่ลังเลที่จะวางเดิมพันด้วยความเข้าใจในปัจจุบันของเขา เขายังไม่อาจทําเข้าใจถึงเบี่ยงวิถีรอบยอดเขาได้ อนึ่ง เมื่อเขาเข้าใจถึงเบียงวิถีรอบยอดเขาได้, พลังของมันจะยกขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ตอนนี้โอกาสได้มาอยู่ตรงหน้าของเซี่ยวเฉินแล้ว หากว่าเขาไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ เขาอาจจะไม่ได้โอกาสที่จะบรรลุถึงมันได้ไปอีกสิบปี
“ลงมือ!”
จางเลี่ยตะโกน เส้นด้ายที่แต่เดิมลบหายออกไปในอากาศปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง มันราวกับเส้นลําแสงกระบี่ฉีที่วิ่งทะลวงค่ายกลหอกเจาะทะลุที่อยู่โดยไม่หยุดหรือช้าลงแม้แต่น้อย
กําแพงที่อยู่ห่างออกไปสองพันเมตรจากจางเลี่ย,ด้านนอกลานฝึกฝน,ถูกเจาะทะลวงโดยกระบี่ฉีเส้นนี้ ทั่วทั้งผืนกําแพงเริ่มแตกร้าวและฟังคลื่นลงมา
โชคดี,ที่เส้นพลังนั้นกินพื้นที่เพียงจุดเล็กๆ ตลอดระยะเวลาที่มันลบหายไป,เซี่ยวเฉินได้เริ่มลอยตัวขึ้นไปสูงขึ้น ตอนนี้เขาได้ลอยขึ้นไปสูงหลายร้อยเมตรเหนือพื้นดิน
“ตายซะ! ปลุกเมฆานิรันดร์,ระเบิดออก!”
จางเลี่ยตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด เส้นกระบี่ฉีกระจายตัวออกไปเป็นเส้นแสงนับไม่ถ้วน,ยิงออกไปทั่วทิศทางและก่อเกิดระเบิ ดรุนแรง
“บูม! บูม! บูม!”
เส้นสายของมันแตกตัวออกราวกับดอกไม้ไฟ มันช่างเป็นฉากที่สวยงาม อย่างไรก็ตาม,ในโลกใบนี้, บางสิ่งที่แสนงดงามเป็นบางสิ่งที่ยิ่งอันตรายนี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“ดี!” เจตนารมณ์แห่งกระบี่ของจางเลี่ยช่างน่าหวาดกลัวแต่เดิม,ปลุกเมฆานิรันดร์จะระเบิดออกเป็นแนวนอน ตอนนี้มันไร้ซึ่ง จุดบอดนอกจากนั้น,มันยังทรงพลังยิ่งกว่าเดิม มันแทบจะใกล้เคียงกับทักษะต่อสู้ระดับสวรรค์
.
“ข้ารับรองได้ ด้วยเกียรติของท่านเจ้ายอดเขาปวิ่น,หากเย่เฉินไม่ตกตาย,อย่างน้อยก็ต้องเจ็บหนัก ไม่มีทางที่เขาจะหลบมันไปได้!”
ซ่งเฉว,ผู้มีสายตาปลาตายมาตลอด,ตะโกนอย่างตื่นเต้นเมื่อเขาเห็นฉากตรงหน้า มันราวกับเขาไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครรับรู้เขาเสียงดังเป็นอย่างมาก
หลิวหรูเยวรู้สึกเป็นกังวล นางไม่คาดคิดว่าทักษะกระบี่หลิงหยุนจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ แม้ด้วยความแข็งแกร่งของนาง,นางจะต้องทุ่ม พลังไม่น้อยในการป้องกันมันเซียวเฉินจะหลบไปได้หรือไม่?
ทุกเส้นแสงแบกพลังงานระดับน่าหวาดกลัว พวกมันสามารถทะลวงการป้องกันของระดับขอบเขตปรมาจารย์ได้อย่างง่ายดายนอกจากนั้นยังไม่มีจุดบอด:ไม่มีทางที่จะหลบไปได้
เมื่อไม่มีทางให้หลบ,เช่นนั้นข้าจะทําลายมันทิ้งไปซะ!เซียวเฉินหยุดหมุนตัวและตะโกนขึ้น“เบี่ยงวิถีรอบยอดเขา!”