Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 233 แข่งขันการประลอง
Immortal and Martial Dual Cultivation
ตอนที่ 233 แข่งขันการประลอง
“แว้ง!”
เสียงโซนิคบูมขยายจากสนามประลองไปทั่วทั้งลานฝึกฝน ภายใต้อิทธิพลของคลื่นเสียงที่กังศึกก้อง,ฝูงชนบนที่นั่งคนดูทั้งหมดรู้สึกว่าแก้วหูของพวกเขาสั่นสะเทือน ทําให้พวกเขาวิงเวียน
เซี่ยวเฉินตะลึง ช่างเป็นเสียงที่น่ากลัว แม้ว่าข้างจะอยู่ห่างจากสนามประลองมากว่าหนึ่งพันเมตร,แต่ผลของมันก็ยังแข็งแกร่ง
หยานเฟิง,ผู้ที่อยู่ใจกลางของโซนิคบูม.ถูกซัดเข้าทันทีและหูกลายเป็นหนวก โลหิตและฉีในร่างของเขาพลุ่งพล่าน เขาอดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมาคําใหญ่
“บูม!”
มือขวาของหยุนเข่อชินวูบไหวและคมกระบี่ที่ดึงออกมาเล็กน้อยก็กลับเข้าฝึกตามเดิม คลื่นเสียงที่แตกกระจายไปทั่วทุกที่ ปรากฏเป็นละลอกคลื่นและก่อเป็นวังวนขนาดใหญ่ จากนั้น,พวกมันก็หวนกลับสู่กระบี่ของนาง
ในทันทีที่คมกระบี่กลับเข้าฝักอย่างสมบูรณ์ คลื่นเสียงที่มารวมตัวกันระเบิดออก เกิดเป็นเสียงดังกังวาลใสไพเราะยิ่งกว่าเมื่อก่อนหนาน
แม้ว่าเสียงของมันจะดังและใสยิ่งกว่า,สานุศิษย์ชั้นในบนที่นั่งคน ดูกลับไม่รู้สึกอะไร นี่เป็นเพราะคลื่นเสียงได้มารวมตัวกันเป็นเส้นและทั้งหมดซัดเข้าใส่ร่างของหยานเฟิง
หยานเฟิงตกเลือดออกมาจากทุกรูขุมขน ใบหน้าของเขาซีดเซียวอย่างน่ากลัว เขาล้มเข่าลงหนึ่งข้างพร้อมเสียง “ตุบ” ขณะที่มองดูอาภรสีขาวของหยุนเข่อซินลอยลงมา
หยางเฟิงยิ้มขมขึ้น “หยุนเข่อซินเป็นช่วงเวลาเพียงครึ่งปีและข้าไม่มีค่าพอที่จะทําให้เจ้าชักกระบี่ออกมา เป็นไปได้ว่าในครั้งหน้าที่พวกเราพบกัน,ข้าจะไม่คู่ควรแม้แต่จะได้เห็นฝักกระบี่ของเจ้า?”
เสื้อผ้าสีขาวของหยุนเข่อซินพริวไหว ไม่ซึ่งการเปลี่ยนสีหน้านางกล่าว “สําหรับมือกระบี่,มันไม่สําคัญว่ากระบี่จะถูกชักออกมาหรือไม่ อย่าไปใส่ใจกับผิวเผินมากเกินไป มิฉะนั้น,มันจะเป็นการยากที่เจ้าจะเข้าใจถึงเจตนารมณ์กระบี่ของตัวเอง”
“หยุนเข่อซินได้รับชัยชนะ!” ผู้ตัดสินบนสนามประลองขานออกมา
ขณะที่หยานเฟิงมองดูแผ่นหลังของหยุนเข่อซิน,เขารู้สึกเจ็บใจ เมื่อไม่นานมานี้เขายังอยู่ในระดับเท่าเทียมกับนาง ตอนนี้เขาทําได้ เพียงวิ่งไล่ตามนางไป”
“ทักษะกระบี่ทํานองสวรรค์น่าหลาดกลัวอย่างแท้จริง หยุนเข่อ
อดีตที่ผ่านมา ทําให้ฝูงคนตื่นตะลึงอยู่เสมอ”
“หยานเฟิงก็พ่ายแพ้อย่างดูไม่ได้ เขาจดจ่อไปที่ว่าคู่ต่อสู้ไม่ได้ชักกระบี่ออกมา เขายังมีไพ่ตายที่ยังไม่ได้เผยออกมาอีก”
“นี่เป็นผลจากการที่จิตใจของเขาเริ่มอ่อนแอ ถึงอย่างไร,หยุนเข่อซินก็เคยอันดับน้อยกว่าเขาบนรายชื่อเมฆาล่องลอย ตอนนี้นางอยู่เหนือเขา เขารู้สึกว่ามันไม่อาจยอมรับ”
“เจ้าก็กล่าวเช่นนั้นไม่ได้ สภาวะจิตใจของผู้บ่มเพาะพลังสําคัญยิ่งกว่าทักษะบ่มเพาะพลังหรือทักษะต่อสู้ มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะพลัง”
การประลองรอบนี้แสนสั้น,ฝูงชนยังไม่พอใจ,พวกเขาอยากที่จะให้มันดําเนินต่อไปอีก แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่กระทบกับคุณภาพของการประลอง ฝูงชนยังถกเถียงกันไม่หยุดหย่อน
จางเลี่ยมองดูหยุนเข่อซินที่อยู่ห่างออกไป ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาพร้อมกับเขาพึมพํา “แม่นางผู้นี้ไม่ธรรมดา ทักษะกรทํานองสวรรค์ของนางเกือบจะถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม”
เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยินดังนั้นเขาเห็นด้วยอย่างเงียบๆ ทักษะต่อสู้นั้นประกอบเข้าด้วยส่วนต่างๆะการหมุนเวียนเส้นทางพลังปราณในร่างกาย,การเคลื่อนไหลร่างทางกายภาพ,และและสภาวะจิตใจที่มีอยู่ในทักษะต่อสู้
ตัวอย่างเช่น,สภาวะของทักษะกระบี่สายฟ้าฉับพลันรือสภาวะ สายฟ้าอัสนี สําหรับทักษะกระบี่หลิงหยุน,จะมีสองสภาวะ คือสภาวะขุนเขาและเมฆา
มีเพียงการผสานส่วนประกอบทั้งสามเข้าด้วยกันจึงจะสามารถเข้าถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม,ความเข้าใจในสภาวะต้องการความสามารถในการเข้าใจและความอดทนมันเป็นการยากอย่างไม่น่าเชื่อที่จะเขาใจถึงสภาวะแห่งจิตใจ
หากมุ่งมั่นไปกับการไล่ตามสภาวะนี้ มันอาจจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ และกลับกันอาจจะทดถอยลงด้วยซ้ํา ดังนั้น ผู้บ่มเพาะพลังส่วนใหญ่จะไม่ไล่ตามสภาวะจิตใจก่อนที่จะขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง
สําหรับหยุนเข่อซินที่สามารถเข้าใกล้ความเข้าใจถึงสภาวะทักษะกระบี่ทํานองสวรรค์ได้เกือบจะดันเข้าสู่ระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม,พิสูจน์ได้ว่าแม่นางผู้นี้ทั้งความสามารถในการเข้าใจ, พรสวรรค์ และโชคชะตาทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไป ไม่อาจเข้าถึงได้
จางเลี่ยเหลียวมองไปทางมู่เหิง,จากนั้นก็เหี่ยวเฉิน เขายิ้มและกล่าว “ตอนนี้เจ้าคิดว่าเยู่เฉินยังจะสามารถทะลวงเข้าสิบอันดับแร กของสานุศิษย์แก่นกลางได้อยู่อีกหรือไม่? ไม่ต้องพูดถึงความต่างชั้นของระดับการบ่มเพาะพลัง,ทุกคนที่สามารถเข้าไปยืนในสิบอันดับนั้นได้ล้วนเป็นหนึ่งในหมื่นอัจฉริยะ ภายในศาลากระบี่สวรรค์ที่เต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์,มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปโดยปราศจากฝีมืออย่างแท้จริง”
มู่เชิงพึมพํากับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจัง “หยุนเข่อซินนั้นแข็งแกร่ง,แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตาม,นางก็ยังคงไม่ใช่คู่มือของเยู่เฉิน”
เซี่ยวเฉินมองไปที่มู่เหิงอย่างประหลาดใจ เอ็งได้ความมั่นใจแต่ใดมา ถึงแม้ข้าจะไม่กลัวหยุนเข่อซิน,แต่หลังจากมองดูการประลองเมื่อครู่ ตัวข้าเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะล้มนางลงได้
“หยุดพูดจาใหญ่โต หยุนเข่อซินสามารถล้มอะนดับที่สิบหกหยานเฟิงได้ภายในครึ่งกระบวณท่า นางยังมีไพ่ตายอีกมากมายเก็บเอาไว้ เจ้ารู้ได้เช่นไรว่านางไม่ใช่คู่มือของเยู่เฉิน?”
“สําหรับระดับการบ่มเพาะพลัง,เย่เฉินอยู่เพียงระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุด แต่ในแง่ของสภาวะความเข้าใจ,ทักษะกระบี่ ทํานองสวรรค์ของหยุนเข่อซินเกือบจะถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอด เยี่ยมมันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าทักษะกระบี่หลิงหยุนของเยู่เฉิน ไม่มีทางที่จะบอกได้เต็มปากว่าใครแข็งใครอ่อนกว่ากัน”
ครั้งนี้ ก่อนที่จางเล่ยจะได้กล่าวอะไร.ศิษย์แก่นกลางหน้าใหม่อีก คนหนึ่งก็ส่งเสียงคีดค้านออกมา นอกจากนั้น,มันยังเป็นความจริง,ไม่มีทางจะไปโต้แย้งได้
มู่เหิงยิ้มบางเบา “พูดไปก็ไม่ได้อะไร ในอนาคต,เจ้าจะรู้ได้เองว่าที่ข้าพูดไปเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
หลิวสุยเฟิงโน้มตัวมาหาเซี่ยวเฉินและถามด้วยเสียงค่อย “เย่เฉิน,หากเจ้าเผชิญหน้ากับหยุนเข่อซินจริงๆ เจ้ามั่นใจว่าจะชนะได้หรือไม่?”
เซี่ยวเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว “น่าจะประมาณครึ่งต่อครึ่ง หากความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนางอยู่เพียงระดับนี้ เช่นนั้นก็จะเป็นหกต่อสี่”
เมื่อหลิวสุยเฟิงได้ยินเช่นนี้ เขาตกตะลึงอย่างไม่มีอะไรเปรียบ เขาคุ้นเคยกับนิสัยของเซี่ยวเฉินเป็นอย่างดี เขาไม่เคยคุยโว หากเขาว่าครึ่งต่อครึ่ง,มันก็จะมีแต่สูงกว่าไม่มีน้อยลง ครึ่งต่อครึ่งเป็นขั้นต่ํา!
การประลองบนสนามดําเนินต่อไป,สานุศิษย์สิบอันดับต้นบนรายชื่อเมฆาล่องลอนทยอยออกมาทีละคน ฝูงชนไม่ผิดหวังกับความแข็งแรก่งของพวกเขา
“อันดับที่ห้าหลี่ยู่เจือใช้เพียงสามกระบวณท่าเพื่อจัดการกับอันดับที่สิบห้าเหลียนหยุน ความเร็วของของเขาช่างโดดเด่น”
“อันดับที่สี่หยุนเฟยโม่ เขาล้มอันดับที่ยี่สิบด้วยกระบี่จู่โจมเพียงครั้งเดียว มันดูเหมือนว่าทักษะบ่มเพาะพลังเขาได้มาถึงชั้นที่สิบแล้ว”
“อันดับที่แปดเหลิ่งอ้าวชวงใช้เพียงสามกระบวณท่าในการจัดการกับคู่ต่อสู้”
อย่างที่จางเลี่ยกล่าว,สานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับต้นไม่ได้อ่อน พวกเขาแข็งแกร่งกว่าสานุศิษย์คนอื่นอย่างมาก พวกเขาทั้งหมดจัดการกับคู่ต่อสู้ได้ภายในห้ากระบวณท่า
จนถึงตอนนี้ นอกจากอันดับหนึ่งมู่หลงชง,สานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับต้นอีกเก้าคนที่เหลือล้วนออกมาแสดงคงามแข็งแกร่งของพวกเขาหมดแล้ว
เซี่ยวเฉินก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาไม่อาจทราบได้ว่าเป็นเพราะสภาอาวุโสหรือไม่ แต่สานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับต้นทั้งสิบคนไม่ได้เจอกันเองเลยในการประลองไม่มีศึกดุเดือดระหว่างยักษ์กับยักษ์
ในความเห็นของเซี่ยวเฉิน,สานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับต้นแข็งแกร่งกว่าที่เหลือเป็นอย่างมาก ไม่มีทางที่จะชนะได้
“ถึงตาของมู่หลงชงแล้ว คู่ต่อสู้ของเขาคืออันดับที่สิบเอ็ดหยานชื่อฮัว ในปีก่อน,เขาเคยเป็นหนึ่งในสิบอันดับต้น คู่ต่อสู้ทั้งหมดที่ประมือกับเขารับไม่ได้เกินกว่าสิบกระบวณท่า”
“หยานชื่อฮัวนั้นแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามเขาดันไปพบกับมู่หลงชง เขาพ่ายแพ้เป็นแน่นอน,ขึ้นอยู่เพียงว่าเขาจะยืนหยัดอยู่ได้ นานขนาดไหน”
“ข้าไม่เห็นกระบวณท่าของมู่หลงชงมานานแล้ว,ช่างน่าตื่นตา! ปีก่อน,มู่หลงชงปรากฏตัวออกมาเพียงระยะเวลาสั้นๆ เขาไม่ค่อยปรากฏตัวภายในศาลากระบี่สวรรค์”
“จอมกระบีผู้นี้ทุ่มเทเวลาไปกับการฝึกฝน หากไม่ใช่เพราะคําสั่งชุมนุมกระบี่จักรพรรดิ เขาคงไม่กลับมาอย่างแน่นอน”
หยานชื่อฮัวได้ยินทุกคําถกเถียงกันของผู้คน สีหน้าของเขาเปลี่ยน,เขารู้สึกไม่ดีนัก เขามองไปที่มู่หลงชงในชุดสีฟ้าดูภาคภูมิ “ไม่ว่าคนอื่นจะว่าเช่นไร,ข้ามีเพียงจุดประสงค์เดียวจึงมายืนอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ว่าข้าจะทนได้กี่กระบวณท่า แต่เป็นข้าที่จะล้มเจ้าลง!”
มู่หลงชงหัวเราะเย็นชา “ก่อนที่ปากจะขยับ,ชะโงกดูเงาของตัวเองซะก่อน”
“พวกเจ้าทั้งสองคํานับ! เตรียมตัว! เริ่ม!”
หลังจากที่ผู้ตัดสินกล่าวจบ,มีสายลมเย็นพัดผ่านสนามประลอง มีเสียงลมไหลไพเราะ, นี่คือเสียงของกระบี่ที่ถูกชักออกมาจากฝัก
หน้าอกของหยานชื่อฮัวบีบรัด เขาไม่คาดคิดว่ามู่หลงชงจะไม่สนใจสถานะของเขาจะชิงลงมือก่อน เขาตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่โชคดีที่เขามีสภาวะจิตใจที่มั่นคง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาสงบลงและเตรียมรับมือการจู่โจมของมู่หลงชง
อย่างไรก็ตาม เมื่อหยานชื่อฮัวมองดูตรงหน้าของเขา เขากลับไม่พบมู่หลงชง เขากวาดสายตามองรอบเป็นวงกลม,แต่นอกจากสายลมเย็นหมุนวน,เขาไม่พบอะไรอื่น
“เขาหายไปไหน?”
เวลานี้,หยานชื่อฮัวตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์ คนผู้นี้หายไปจากสายตาของข้าได้เช่นไร? น่าแปลกเกินไปแล้ว
อย่าตื่นกลัว,เขาไม่อาจออกจากสนามประลองไปได้ เมื่อเขาชิงลงมือก่อน,เขาจะต้องเผยเจตนาฆ่าฟันออกมาอย่างแน่นอน ตราบใด ที่ข้าจับทิศทางของเจตนาฆ่าฟันได้,ข้าก็จะสามารถป้องกันการโจ มตีของเขาได้
หยาบชื่อตัวทองกับตัวเองซ้ําแล้วซ้ําเล่า เขาขยายการรับรู้ของ
เขาและเคลื่อนที่ไปรอบๆ เขาไม่กล้าที่จะลดการป้องกันลง
“ฟู ฟิว!”
ทันใดนั้นบาดแผลยาวปรากฏขึ้นบนหน้าอกของหยานชื่อฮัว:สายเลือดสาดทะลักออกมา ดวงตาของเขาเบิกกว้าง,มีความไม่อยากจะเชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ข้าได้รับบาดเจ็บได้เช่นไร?
“ซี่! ซี่!”
ทันใดนั้นสายลมเย็นบนสนามประลองก็หยุดลง อากาศในสนามประลองกลายเป็นหยุดนิ่ง ใบหน้าอันหล่อเหลามู่หลงชงปรากฏขึ้นตรงหน้าของหยานชื่อฮัว เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม
ดวงตาของมู่หลงชงเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันอันไร้ขอบเขต ทันใดนั้นเขาก็ดีดตัวออกราวกับแม่น้ําไหลพุ่ง “ไสหัวไป!”
มู่หลงชงถอนกระบี่กลับและเตะเข้าที่หน้าอกของหยานชื่อฮัว,เตะเขาร่วงออกจากสนามประลอง
ข้าไม่รู้สึกถึงเจตนาฆ่าฟันได้เช่นไร? เกิดบ้าอะไรขึ้น? เขาล้มกลิ้งลงไปกับพื้นสองสามตลบ เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้ตัดสินเห็นดังนั้น เขาประกาศออกมา “มู่หลงชงได้รับชัยชนะ!”
หยานชื่อฮัวหน้าซีด เมื่อเขาคืนสติกลับมา,เขาตะโกน “มันเป็นไปไม่ได้เข้าพ่ายแพ้ได้เช่นไร? ข้ายังไม่ได้งัดไฟตายที่ฝึกฝนมานานปีออกมา!”
“มู่หลงชง,เจ้ากล้าเผชิญหน้ากับข้าหรือไม่? กล้าหรือไม่กล้า!”
มู่หลงชงไม่แม้แต่จะเหลียวตาไปมองหยานชื่อฮัวที่อยู่บนพื้น เขา กล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าโง่,เจ้าต้องใช้ออกมาให้ได้เสียก่อนถึงจะนับ เป็นกระบวณท่าสังหาร เจ้าไม่แม้แต่จะงัดมันออกมาใช้ได้ เจ้ายังไม่ อับอายที่ตะโกนร้องแหกปากออกมาเช่นนี้”
เซี่ยวเฉินครุ่นคิดลึกขณะที่เขามองดูมู่หลงชง ช่างเป็นสับวายุใส่ที่น่าหวาดกลัว! เดิมที,ข้าคิดว่าสับวายุใสระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยมของข้าจะเพียงพอที่จะเป็นกระบวณท่าสังหาร ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่เพียงพอ