Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 234 ไฟแค้นเดือดระอุ
Immortal and Martial Dual Cultivation
ตอนที่ 234 ไฟแค้นเดือดระอุ
หวังฉินเอี้ยนผู้สืบทอดที่แท้จริงแห่งยอดเขาว่านเหริน,จ้องมองการประลองของหลินเฟิงจากศาลาที่นั่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าว “หลินเฟิงกําลังทําอะไร? เขาพ่ายแพ้ไปเก้าจากสิบห้ารอบแล้วหรือเขาจะมีเจตนาอะไรบ้างอย่าง?”
หลัวเคออี้รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเมื่อได้ยินเช่นนั้น “คู่ต่อสู้ของเขาส่วนใหญ่อยู่อันดับเกือบร้อย ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาควรจะชนะไปโดยง่ายดาย”
หวังฉินเอี้ยนกล่าว “เมื่อถึงตาเจ้าลงไป ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นบางเขาให้ทําดีที่สุดเพื่อให้ได้ที่นั่งในเก้าสิบคนให้ใด เขามีความรู้สึกว่าภารกิจนี้จะเป็นประโยชน์กับพวกเราอย่างมาก ด้วยความแข็งแกร่งของเขา,หากว่าพวกเราทําสําเร็จ,มันจะยกระดับความแข็งแกร่งของพวกเราขึ้นไปอีกระดับ”
ขณะที่ดวงอาทิตย์กําลังจะตกดิน,การประลองบนสนามก็มาถึงรอบสุดท้าย สิบอันดับต้นก็ยังคงไม่พบกันเอง มันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามีสภาสูงค่อยจัดการอยู่
อย่างไรก็ตามเนื่องจากทั้งสิบคนมีคะแนนเท่ากันเช่นนั้นจะจัดอันดับกันเช่นไร?
“สิบอันดับต้นยอดเยี่ยมจริง พวกเขาแข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้” จางเลี่ยถอนหายในพึมพํากับตัวเอง
มู่เหิงไม่ได้กล่าวอะไรเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าจางเสี่ยยังติดอยู่กับปัญหาเมื่อก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งของสิบอันดับต้นแน่นอนความเกินความคาดหมายของเขา อย่างไรก็ตาม เขายังเชื่อว่าเซี่ยวเฉินมีความแข็งแกร่งทัดเทียมในหมู่พวกเขา
ไม่มีอะไรมาเป็นที่ยืนยัน,มันเป็นสัญชาตญาณล้วนๆ
ทันใดนั้น,หลิวสุยเฟิงก็เข้ามากระซิบ “เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่? กระบี่เร็วหลินเฟิงแห่งยอดเขาว่านเหรินแพสิบตาล้วนติดต่อกันเกิดอะไรขึ้น?”
เกิดอะไรเช่นนี้ขึ้น? เซี่ยวเฉินไม่ได้ทันสังเกตแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม,ไม่ว่าหลินเฟิงกําลังคิดอะไรอยู่เขาคงไม่สร้างปัญหาอะไรนมาหากเป็นตัวเขาในอดีต,เซี่ยวเฉินจะต้องใช้ลูกเล่นเพื่อที่จะล้มเขาลงให้ได้
อย่างไรก็ตาม,หลังจากที่เขากินดอกดาวเรืองแสงไหลเข้าไปและเพิ่มความสามารถในการเข้าใจของเขามันได้เพิ่มความแข็งแกร่งของเขาอย่างก้าวกระโดดนับจากตอนที่เหมืองวิญญาณ
เซี่ยวเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องไปสนใจ หากมันอยากที่จะท้าทายข้า,ข้าจะทําให้มันประหลาดใจ”
เมื่อแสงสุดท้ายของตัวอาทิตย์จมลงขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเป็นสีแดงฉาด การประลองบนลานฝึกฝนทั้งหมดก็จบลงสานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับต้นชนะรวดทั้งสิบห้าครั้ง
ท้ายที่สุด,ทุกคนก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ ถึงอย่างไร,ที่พวกเขาอยากจะชมก็คือการต่อสู้ระดับสูง
หัวหน้าผู้คุมสอบให้สัญญาณและเซี่ยวเฉินกับสานุศิษย์แก่นกลางหน้าใหม่ทั้งหมดก็ค่อยๆเดินขึ้นมาตรงกลางของลานฝึกฝน ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้ท้าทายสานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับสุดท้าย
แม้ว่าการประลองในครั้งนี้จะไม่ใช่ระดับสูง,มันก็คุ้มค่าที่จะอยู่รับชมสานุศิษย์แก่นกลางที่ต้องต่อสู้เพื่อปกป้องตําแหน่งของตัวเองจะทุ่มสุดตัวด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา
แม้ว่าเซี่ยวเฉินและคนที่เหลือจะไม่เสียตําแหน่งศิษย์แก่นกลางของพวกเขาหากพวกเขาพ่ายแพ้ แต่พวกเขาจะเสียสิทธิ์ในรางวัลทั้งหมดที่พวกเขาได้รับมาก่อนหน้านี้หากว่าไปตามกฎ จุดประสงค์กเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขายอมแพ้แบบจงใจ
ด้วยกฎเช่นนี้เป็นข้อรับประกันว่าทั้งสองฝ่ายจะทุ่มสุดฝีมือมิฉะนั้น พวกเขาจะเสียหายร้ายแรง
“น่าแปลก,ทําไมหลินเฟิงแห่งยอดเขาว่านเหรินถึงขึ้นไปอยู่ตรงนั้น? เขาแข็งแกร่งเป็นอันดับสองในยอดเขาว่านเหริน ถึงแม้เขาจะไม่ติดเก้าสิบอะนดับแรก,เขาก็ไม่ควรไปติดสิบอันดับสุดท้าย”
“เจ้าคิดไม่ออกถึงแม้มันจะเห็นกัยอยู่ตําตา? ไอ้โง่! สานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับสุดท้ายได้สิทธิ์เลือกคู่ต่อสู้ เขาจะต้องไม่พอใจ หลังจากที่พ่ายแพ้เชี่ยวเฉินมาเขาจะต้องมาเพีแก้แค้น”
“น่าสนใจ,หลินเฟิงอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นเรียบร้อยแล้วความรวดเร็วของเขาค่อนข้างมีชื่อภายในศาลากระบี่สวรรค์ความแข็งแกร่งของเขาน่าจะที่กเทียมได้กับเย่เฉิน”
“เอิม,อาจจะเป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินมาว่าจากการประมือกันครั้งก่อน,เย่เฉินชนะได้โดยการใช้ลูกไม้ตุกติกและหลินเฟิงก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าเขาพ่ายแพ้ มิฉะนั้น,เขาคงไม่ยอมแพ้และลดอันดับของเขามากว่าสามร้อยอันดับ”
ฝูงชนประหลาดใจที่เห็นหลินเฟิงปรากฏตัวขึ้นมา อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาครุ่นคิดถึงเฟตุผลที่อยู่เบื้องหลัง,มันก็ไม่น่าประหลาดใจนักถึงอย่างไร.ผู้บ่มเพาะพลังแต่ละคนก็มีความภาคภูมิใจของตัวเอง
สานุศิษย์แก่นกลางหน้าใหม่ยืนเรียงแถวห่างจากสานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับท้ายไปหลายเมตร
หลินเฟิงวางมือลงบนด้ามกระบี่ ดวงตาสีดําของเขาเผยเจตนาฆ่าฟันรุนแรงพร้อมกับจ้องมองไปที่เซียวเฉิน เขาสงวนกระแสพลังของเขาเอาไว้,สะสมเพิ่มความแข็งแกร่ง
หากสายตาสามารถฆ่าคนได้,เซี่ยวเฉินคงจะตายไปร้อยรอบได้แล้ว
หัวหน้าผู้คุมเหลียวมองทั้งสองฝั่ง จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังผู้คนที่อยู่ด้านขวามือของเขาและกล่าว “หากเจ้าพ่ายแพ้ในครั้งนี้เจ้าจะเสียสถานะศิษย์แก่นกลางข้าหวังว่าเจ้าจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้และทุ่มให้สุดตัว”
“เอาล่ะ, จากคนซ้ายไปทางขวา,ออกมาเลือกคู่ต่อสู้ของพวกเจ้าที่ละคน”
คนที่หนึ่งจากทางซ้าย,จางเยว่เผยสีหน้าเป็นสุขออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ได้เลือกคู่ต่อสู้ก่อนทําให้เขาได้เปรียบโดยไม่ต้องอธิบายอะไร
ตรงกับข้าม,สีหน้าของสามคนที่อยู่ขวาสุดกลายเป็นน่าเกลียดสามารถบอกได้เลยว่าเขาจะต้องพบกับคู่ต่อสู้เช่นไรที่เหลืออยู่มันจะต้องเป็นสามคนที่ไม่อยากจะมีใครประมือด้วย มู่เหิง, จาง เลี่ย,และเซียวเฉิน
จางเยว่เดินขึ้นหน้าและชี้ไปทางหลิวสุยเฟิงทันที “ข้าเลือกเขาเป็นคู่ต่อสู้”
สายตาของคนผู้นี้หลักแหลม,หลิวสุยเฟิงอ่อนที่สุดในหมู่พวกเขาจริงๆ อย่างไรก็ตาม,เซี่ยวเฉินก็คิดว่าหลิวสุยเฟิงจะไม่แพ้แน่นอนโอกาสชนะของเขาอีกที่ครึ่งต่อครึ่ง
“อย่าได้อ่อมมือ คู่ต่อสู้จะทุ่มเข้ามาสุดแรงตั้งแต่ต้น” เมื่อเซี่ยวเฉินเดินผ่านหลิวสุยเฟิงเขากระซิบบอก
หลิวสุยเฟิงหยักหน้าเบาๆ เขาเป็นคนแรกที่ถูกเลือก นี่ทําให้เขาดูแย่ทุกคนล้วนมีความภาคภูมิใจในตัวเองไม่มีมครที่อยากถูกดูแคลนต่อหน้าทุกคน
จางเยวแยู่เพียงระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงเขาไม่ได้มีความได้เปรียบอะไรในด้านระดับบ่มเพาะพลังแต่เขามีประสบการณ์การต่อสู้สูง
มันเป็นไปตามที่เซียวเฉินคาดการณ์เอาไว้ จางเยวใช้ออกความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาทันทีที่ก้าวขึ้นมา,หมายจะใช้โอกาสในตอนที่หลิวสุยเฟิงไม่ทันตั้งตัว อย่างไรก็ตาม,หลิวสุยเฟิงได้เตรียมตั้งรับไว้แล้วด้วยกระบวณท่าที่ไม่ได้ด้อยไปกว่า
ระดับการบ่มเพาะพลังของพวกเขาเทียบเท่ากัน,ไม่มีใครได้เปรียบใครชัดเจน ท้ายที่สุด,มันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีสภาวะจิตใจที่แข็งแกร่งกว่ากัน
ผู้ใดที่สามารถรักษารวามเยือกเย็นเอาไว้ได้นานกว่าโดยไม่เผยช่องว่างออกมาจะเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะไปในท้ายที่สุด
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวณท่ากันมากกว่าสองร้อยกระบวณท่าเที่ยังไม่มีผู้ชนะ จางเยว่เริ่มเป็นกังวลขึ้นอย่างช้าๆ,แรงกดดันบนบ่าของเขามากกว่าของหลิวสุยเฟิง
การเคลื่อนไหวของจางเยว่ยิ่งผ่านไปนานยิ่งดุดัน หลิวสุยเฟิงดวงตาสงบพร้อมจิตใจที่นั่งดุจน้ํา หลิวสุยเฟิงปัดป้องการโจมตี ของจางเยวที่โถมเข้ามาต่อไปและพบเข้ากับช่องว่าง
หลิวสุยเพิ่งใช้ออกทักษะลุบของยอดเขานิ่งหยุนออกมาทันทีสับวายุลึกล้ํา เขาซัดจางเยว่ลอยออกจากสนามและคว้าเอาชัยชนะ
หัวหน้าผู้คุมสอบเดินตรงเข้ามาหาจางเยวและปลดเอาเหรียญแสดงตนสีทองที่แขวนอยู่ตรงเอวของเขาออก เหรียญนั้นหมายถึงสถานะศิษย์แก่นกลางของเขาแต่มันถูกปลดออกถึงแม้สีหน้าของจางเยวจะเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ต่อไป!”
การประลองดําเนินต่อไป สานุศิษย์แก่นกลางที่เหลือเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของจางเยว่และพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นระมัดระวังมากขึ้นการประลองช่างสูสี,ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสแพ้ชนะเท่ากัน
“ข้าเลือกเขา!” เมื่อถึงตาของหลินเฟิงเลือกคู่ต่อสู้เขาชี้ตรงไปที่เซี่ยวเฉินหลังจากเดินขึ้นมาบนสนามประลอง
เซี่ยวเฉินหาได้แปลกใจไม่ เขากระโดดอย่างนุ่มนวลลงจอดบนสนามประลองอย่างมั่นคง
เมื่อเซี่ยวเฉินขึ้นมาบนสนามประลอง,ดวงตาของหลินเฟิงที่เผา ไหม้ด้วยความโกรธกลายเป็นสงบลง เขารวบรวมความแข็งแกร่งและเร่งกระแสพลังของเขา เขาสะสมพลังของเขาโดยไม่ปล่อยให้รั่วไหลออกมา
“หากข้าล้มเจ้าไม่ได้ภายในห้ากระบวณท่า,ข้ายอมรับความพ่ายแพ้” หลินเฟิงประกาศออกมาพร้อมกับมองไปยังเซียวเฉินอย่างเฉยเมย
เซี่ยวเฉินพบว่ามัน่าขบขัน เขากล่าวอย่างสงบ “การล้มข้าลงได้มันจะทําให้เจ้าพอใจได้? ที่เจ้าตระเตรียมการมากมายและยอมทิ้งตัวเองลงมาสิบอันดับสุดท้ายเพื่อที่จะได้เจอกับข้า,ข้าจะให้โอก าสเจ้าได้ลอง”
“เริ่ม!”
สิ้นเสียงของผู้ตัดสิน,กระแสพลังที่หลินเฟิงกดเอาไงก็ระเบิดออกมากระแสพลังของระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นพุ่งทะยานใส่เชี่ยวเฉิน
“วายุโกลาหล!”
จากบาเรียนเมื่อคราวก่อน,หลิวเฟิงไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้ได้ลงมือก่อนหลังจากที่เขาปลดปล่อยกระแสพลังออกมา เขาใช้ออกทักษะต่อสู้ที่เขาภาคภูมิใจในทันที
เขาซัดกระบี่ออกและกระบี่ฉียาว 6.6 เมตรก็ลอยออกไปอย่างต่อเนื่องมันถาโถมเข้าใส่เซียวเฉิน,ราวกับพายุโกลาหล สายลมรุนแรงพัดผ่านสนามประลองสามารถได้ยินถึงเสียงสายฝนที่แผ่วเบา
เซี่ยวเฉินประมาทบุคคลตรงหน้าไปเล็กน้อย สภาวะแห่งวายุและสายพิรุณในกระบี่นี้หลินเฟิงได้บรรลุไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นต้น
กระบี่ฉีอันน่าหวาดกลัวมีความรวดเร็วดุจสายลมและสาดลงมาหนาแน่นดั่งห่าฝน,สายลมและสายฝนร่วมผสานกัน ขณะที่สายฝนสาดลง,มันยืมพลังของสายลมมาเพิ่มความรวดเร็วยิ่งขึ้น
กระบี่ฉีบ้าคลั่งไม่เหลือเวลาให้เซี่ยวเฉินครุ่นคิด, พวกมันลอยมาถึงตรงหน้าของเขาในทันที
ก่อนที่กระบี่ฉีจะเข้ามาใกล้,สายลมจากกระบี่ทําให้เสื้อผ้าและอาภรของเซี่ยวเฉินปลิวไหว
“แคร้ง!”
เซี่ยวเฉินไม่กล้าที่จะประมาท เขาชักกระบี่เงาจันทร์สีขาวหิมะออกมาและปลดปล่อยกระบี่ฉีพลุ่งพล่าน,สลายกระบี่ฉีที่ถาโถมเข้ามา
กระบี่นี่คือความแตกต่างอย่างที่สุดระหว่างระดับขอบเขตนักบุญและระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธ ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธสามารถทําได้เพียงควบรวมกระบี่แสง อย่างไรก็ตาม,ระดับขอบเขตุนักบุญนั้นสามารถยิงออกระยะไกลได้หลังจากที่ควบรวมกระแส
งขึ้นมา
ในด้านคุณภาพและปริมาณของปราณ,เซี่ยวเฉินและหลินเฟิงไม่ได้ห่างกันนักความจริง,ด้านคุณภาพของพลังปราณเซี่ยวเฉินแข็ง แกร่งกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ํา
อย่างไรก็ตาม,กระบี่แสงและกระบี่ฉีระดับนั้นต่างกัน เพื่อที่จะรับมือกับกระบี่ฉีที่ควบรวมด้วยคงามแข็งแกร่งห้าในสิบส่วนของคู่ต่อสู้เชี่ยวเฉินจะต้องใช้ความแข็งแกร่งถึงหกในสิบของเขา
ถึงกระนั้น,อัตราการฟื้นพลังปราณของเซี่ยวเฉินนั้นสูงกว่าคู่ต่อสู้ เป็นอย่างมากดังนั้น เขาไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับความเร็วสิ้นเปลือง พลังปราณของเขาเขายิ้มบางๆและใช้ออกมังกรฟ้าเมฆาทะยาน
ร่างของเขากระพริบไปรอบๆสนามประลองและทิ้งเอาไว้เพียงภาพติดตามันเป็นการยากที่จะแยกแยะระหว่างร่างจริงและร่างปลอมกระบี่ฉีเล่มแล้วเล่มเล่าถูกเซียวเฉินทุบเย็นเสี่ยงๆและสลายไป ทั่วทิศทาง
แม้ว่าหลินเฟิงจะรู้ว่ากระบวณท่านี้ไม่อาจสรางความเสียหายให้กับเซียวเฉิน,เขาไม่คาดคิดว่าเซี่ยวเฉินจะทําลายมันทิ้งได้อย่างง่ายดาย
“กลืนพิรุณดูดเมฆา!” หลินเฟิงตะโกนและสายลมกับสายฝนทันใดนั้นก็หยุดลง กระบี่ฉีที่เหลือลอยกลับไปที่ร่างของหลินเฟิงพร้อมกับเสียง “โซว”
เซี่ยวเฉินปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและมองดูหลินเฟิงกระโดดข้ามาเขากล่าวเสียงนุ่ม “อีกสี่กระบวณท่า…”
“หุบปาก! กระบวณท่านี้จะต้องถึงใจเจ้าแน่!” หลินเฟิงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผาดของเขา
หลังจากสิ้นเสียงของเขา,กระบี่ของหลินเฟิงก็มาอยู่เหนือหัวของเซียวเฉินเรียบร้อยแล้ว เซียวเฉินไม่กล้าประมาท วงวันน้ําในจุดตันเที่ยนของเขากวนเร็วขึ้น
หกหยดปราณบริสุทธิ์หยดลงมาและเปลี่ยนไปเป็นพลังปราณที่พลุ่งพลานที่ไหลไปตามเส้นปราณบนแขนของเขาตรงไปที่คมกระบี่