Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 252 เพียงแค่ตัวหมาก
Immortal and Martial Dual Cultivation
ตอนที่ 252 เพียงแค่ตัวหมาก
“ศาลากระบี่สวรรค์ไม่เหลือใครอื่นแล้วหรือไร? หรือพวกมันส่งพวกเจ้ามาเพื่อตาย?”
สีหน้าของลูเฉินนิ่งสงบพร้อมกับกล่าว “เจ้าเป็นเพียงภาพเสมือน แค่พวกเราก็เพียงพอที่จะสังหารเจ้า”
แสงเย็นยะเยือกปรากฏขี้เนในดวงตาของแม่ทัพปีศาจโลหิต เขากล่าวอย่างเฉยเมย “เดิมที่ข้าก็กังวลอยู่ว่าศาลากระบี่สวรรค์จะส่งใครมา ดูเหมือนข้าจะเป็นกังวลมากเกินไป ช่างบังเอิญ.ข้ายังคงขาดวัตถุดิบสําหรับพิธีกรรม ในเมื่อพวกเจ้าส่งตัวเองมาหาข้าเองเช่นนั้นข้าก็จะไม่มากพิธีฯ
“บูม!”
สิ้นเสียงของเขา,แสงสีแดงจากจักรพรรดิปีศาจโลหิตพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉีฆ่าฟันอันน่าหวาดกลัว ระเบิดไปที่กลุ่มคน
มีหลายสิ่งกําลังเกิดขึ้นในดวงตาของเขา,ราวกับพวกเขาอยู่ในนรกที่เต็มไปด้วยวิญญาณบาปกําลังร้องโหยหวน ภาพลวงตาอันน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา มันยากที่จะแยกระหว่างความจริงและความลวงในมิติแห่งนี้
“เคว้ง!” ทุกคนชักกระบี่ออกมาพร้อมกัน ส่งเสียงสะท้อนออกมาอย่างพร้อมเพรียง พร้อมกับเสียง “ฉั๊วะ” ,ภาพลวงตาในอากาศสลายหายไปในทันที
ภายในปา,หลังจากที่หยุนเข่อซินสังหารราชาหมาป่าลง, หมาป่าปีศาจที่เหลือก็กลายเป็นไร้หัว พวกมันแตกหนีไปเมื่อถูกโจมตี
จางเลี่ยและมู่เพิ่งเริ่มเก็บกวาด,ดึงเอาแก่นกลางปีศาจของหมาป่าปีศาจออกมา เซียวเฉินค่อยเฝ้าระวังต่อไป, สอดส่องการลอบโจมตีของพวกปีศาจ
“ปูม!”
ในจังหวะนั้นเอง เรืองแสงสว่างสีแดงพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าตรงเส้นขอบฟ้าที่ห่างออกไป
กระแสพลังอันนาาหวดากลัวขยายออกมาจากระยะไกล จางเลี่ยและมู่เพิ่ง,ผู้ที่กําลังเก็บกวาดสนามรบ.รู้สึกหนาวสั่น
มู่เพิ่งหยุดมือและมองไปที่แสงสีแดง เขาพึมพํา “มันคืออะไร? ช่างเป็นกระแสพลังที่น่ากลัว! มันออกมาจากผู้ใด?”
ความจริง,ทุกคนต่างพอจะมีความคิดอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม,พวกเขายังไม่กล้ามั่นใจเกี่ยวกับมัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาไปที่หยุนเข่อซิน
เมื่อหยุนเข่อซินเห็นแสงสีแดงนั้น,ความเคร่งเครียดเผยออกมาจากใบหน้าอันนิ่งสงบของนาง
เมื่อนางรู้สึกถึงสายตาของทุกคน,นางหันกลับมาและค่อยๆกล่าวขึ้น “ภารกิจของพวกเจ้าสําเร็จแล้ว หากพวกเจ้ามีเครื่องรางเพลิงสวรรค์เจ้ากลับออกไปได้ หากพวกเจ้าไม่มี,ข้าจะให้คนละหนึ่งอัน”
จางเลี่ยและมู่เหิงนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความงุนงงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา,พร้อมกับพวกเขาไม่เข้าใจว่ากําลังเกิดอะไรขึ้น “ศิษย์พี่หยุน,ไม่ใช่ว่าเจ้าว่าพวกเราต้องผ่านปาไปพบกับกลุ่มอื่นๆ?”
“ใช่แล้ว พวกเขาก็จะถึงจุดหมายอยู่ข้างหน้า, ทําไมพวกเราไม่ไปที่นั้น?”
ประโยคที่ไม่คาดคิดจากหยุนเข่อชิ้นทําให้พวกเขาทั้งสองคนไม่รู้จะทําเช่นไร พวกเขาไม่เข้าใจสักน้อยว่ากําลังเกิดอะไรขึ้น แผนคือต้องออกไปจากปาแห่งนี้ ภารกิจจบลงได้อย่างไรเมื่อพวกเรายังไปไม่ถึง?”
เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยินหยุนเข่อชินกล่าวว่าภารกิจได้จบลงแล้วเขาตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่แสงสีแดงที่กําลังทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าจากยอดเขาสูง,และรู้สึกได้ว่ากระแสพลังนั้นกําลังเติมเต็มไปทั่วมิติแห่งนี้
ผ่านไปครู่หนึ่งเชี่ยวเฉินก็เข้าใจถึงสถานการณ์ รอยยิ้มขมๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาพร้อมกับมองตรงไปบนท้องฟ้า
เซี่ยวเฉินค่อยๆลุกขึ้นและกล่าวกับจางเลี้ยและมู่เหิง “ไปเถอะ ถึงอย่างไร,พวกเจ้าก็เก็บเกี่ยวแก่นกลางปีศาจได้เยอะแล้ว เจ้าได้ทําภารกิจสําเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว หินวิญญาณระดับกลางหนึ่งร้อยก้อนไม่มีทางหนีไปไหน ยังมีแก่นกลางปีศาจอีกจํานวนมาก พวกเจ้าเก็บเกี่ยวไปได้เยอะแล้ว”
หลังจากหยุดพัก,เตี๋ยวเฉินก็กล่าวต่อ “ ที่สําคัญยิ่งกว่าผลการเก็บเกี่ยวก็คือประสบการณ์การต่อสู้อย่างยากลําบากที่เจ้าได้รับ จางเลี่ย หลังจากบ่มเพาะพลังอีกเล็กน้อย,เจ้าสามารถขึ้นไปถึงจุดยอดระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นได้ไม่ยาก”
จากนั้นเซียวเฉินก็หันไปทางมู่เหิง “มู่เหิง แม้ว่าระดับการบ่มเพะาพลังของเจ้าจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมามากมายนัก,ข้าเชื่อว่าความแข็งแกร่งของเจ้าที่เพิ่มขึ้นมานั้นมากกว่าจางเลี่ยเสียอีก”
จางเลี่ยครุ่นคิดอยู่นาน ณ จุดนี้เวลานี้ เขาก็ได้เข้าใจถึงสถานการณ์ไม่มากไม่น้อย เขาเผยสีหน้าซับซ้อนและกล่าวขึ้น “เย่เฉิน,ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น,เกาเชียงและคนอื่นๆ
ทันใดนั้น,แสงเฉียบคมปรากฏขึ้นในสายตานิ่งสงบของเซี่ยวเฉิน เขากล่าว “การฝึกฝนสนามจริงมักเต็มไปด้วยอันตรายตลอดเวลา หยุดคิดได้แล้ว ไปซะ!”
มู่เพิ่งจ้องมองลึกลงไปที่หยุนเข่อซินที่นิ่งสงบ เขาไม่ได้กล่าวอะไรพร้อมกับหยิบเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง,เขาค่อยๆถูกห่อหุ้มในบอลเพลิง,ลบหายไปจากมิติแห่งนี้
จางเลี่ยถูกสะกิดจากสายตาของเซียวเฉิน เขาหยุดกล่าวอะไรและหยิบเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาเช่นกัน จากนั้นเขาก็กลายเป็นลูกบอลแสงและค่อยๆลบหายไปจากมิติแห่งนี้
หลังจากพวกเขาทั้งสองจากไป, บรรยากาศระหว่างหยุนเข่อซินและเชี่ยวเฉินกลายเป็นแปลกๆ ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาและปากลายเป็นเงียบสงัด
“ยิ้ม”
ทันใดนั้น,พื้นดินสั่นสะเทือน กระนั้น มันไม่ใชพื้นดินที่สั่นสะเทือน แต่เป็นทั่วทั้งมิติย่อยนี้ที่กําลังสั่นสะเทือน
ต้นไม้ถอนรากล้มทีละต้น,สัตว์อสูรปีศาจวิ่งแตกตื่นออกมาจากปาอย่างหวาดกลัว ทั่วทั้งผืนป่ากลายเป็นวุ่นวาย
อย่างไรก็ตาม, บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็ยังคงนิ่งดงียบอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับอยู่คนละโลกกับรอบข้างที่กําลังวุ่นวาย
หลังจากผ่านไปนาน,หยุนเข่อซินถอนหายใจเบาๆ “ทําไมเจ้ายังไม่ไป? หากเจ้าไม่มีเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์,ข้ามีให้เจ้าหนึ่งอัน”
เซียวเฉินสาายหัวและกล่าว “ไม่จําเป็น ข้าขอถามอะไรเจ้าสักสองสามอย่าง?”
ใบหน้าอันสงบนิ่งของหยุ่นเข่อซินไม่มีความไหวหวั่น นางพยักหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องกล่าวโทษข้า ข้ายังรู้ว่าเจ้ากําลังจะถามอะไรข้า ข้าบอกเจ้าได้”
“ใช่แล้ว ตั้งแต่เริ่มแรก,สภาสูงไม่ได้มีความตั้งใจจะให้พวกเจ้าทั้งหมดทําภารกิจสําเรจ ทีมที่จะ ทําให้ภารกิจสําเร็จก็คือทีมของลู่เฉิน”
“ภารกิจของพวกเราก็คือดึงความสนใจของแม่ทัพปีศาจโลหิต,เพื่อที่จะทําให้เขาส่งปีศาจโลหิตทั้งหมดออกมาจากราชวัง ขณะที่พวกเขาค่อยกําจัดสิ่งกรีดขวากหนาม,ทีมของลู่เฉินจะสามารถใช้เครื่องรางปกปิดกระแสพลังแทรกซึมเข้าไปในราชวังและมุ่งไปที่การต่อสู้กับแม่ทัพปีศาจโลหิต”
เซียวเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าก็พอจะเดาได้ด้วยตัวเองแล้ว เจ้าเข้าใจความตั้งใจของข้าผิด ข้าไม่ได้จะโทษเจ้า มีโอกาสเท่าไหรที่ทีมของลู่เฉินจะสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตลงได้”
ขณะที่หยุ่นเข่อซินกําลังอกเล่า เซียวเฉินก็พอจะเดาได้อยู่แล้วจากจากเบาะแสที่เขาพบและสิ่งที่เขาสังเกตเห็น กล่าวง่ายๆก็คือสภาสูงได้ใช้พวกเขาเป็นเหยื่อดึงความสนใจและเปิดโอกาสให้กับทีมของลู่เฉิน
สิ่งที่จางเลี่ยไม่เข้าใจก็คือทําไมสภาสูงไม่ชี้แจงให้กับพวกเขาและส่งพวกเขาไปตายทั้งอย่างนั้น ดังนั้นในตอนที่เขาคาดเดาได้,เขารู้สึกไม่พอใจ
อย่างไรก็ตาม,เชี่ยวเฉินไม่ได้สงสัยในคําถามนี้ เหตุผลก็เพียงเรื่องง่ายๆ:หากสภาสูงบอกพวกเขาล่วงหน้า, จากคนร้อยคน จะเหลือกี่คนที่จะเข้าร่วมภารกิจนี้ ไม่มีใครโง่พอที่จะอาสายอมไปเป็นเป้าล่อปืนใหญ่
จากเหตุผลเดียวกัน, เซียวเฉินไม่อาจไปโทษหยุ่นเข่อซินได้ อย่างน้อยที่สุดนางก็ไม่ได้เป็นคนที่จ่ายภารกิจนี้ ในฐานะที่นางเป็นหัวหน้าทีม,นางได้ทําหน้าที่ของนางแล้ว
ทุกครั้งที่มีการต่อสู้เกิดขึ้น,หยุ่นเข่อซินมักจะอยู่เป็นแนวหน้า หากมีใครบาดเจ็บ,นางไม่ลังเลที่จะมอบเม็ดยาหรือหินวิญญาณให้ นางทําอย่างดีที่สุดแล้วเพื่อความปลอดภัยของทุกคน
อารมณ์ของจางเลี่ยที่กําลังจะหลุด, ดังนั้นเซียวเฉินจึงใช้ความแข็งแกร่งทางจิตของทําให้เขาสงบสติลง
ผู้แข็งแกร่งกินผู้อ่อนแอหากไม่มีกําลังที่เพียงพอ,ในสายตาของผู้ควบคุมแผน,เจ้าก็เป็นเพียงตัวหมากไว้ใช้สอย หากเจ้าแข็งแกร่งพอ,เจ้าจะได้รับเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์มาเพื่อรับรองความปลอดภัย
เซียวเฉินไม่คิดจะโทษใครหรือนึกเสียใจ เรื่องนี้เพียงทําให้เขามองเห็นโลกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
หากไม่แข็งแกร่งเพียงพอ,ทุกอย่างก้าวเต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น, จากนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นไปอีก มีเพียงหนทางนี้ที่จะทําให้เขาคุมชะตาของตัวเองได้
ตอนนี้ เซียวเฉินเพียงสงสัยเกี่ยวกับสู่เฉินและคนอื่นๆจะสามารถสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตลงได้ หากพวกเขาสามารถสังหารมันลงได้อย่างง่ายดาย,เช่นนั้นก็ไม่เป็นปัญหา เขาสามารถเป็นภารกิจที่หลิวเทียนยู่มอบให้เขาและออกไปจากที่นี่
หากโอกาสมันลิบหรี่เช่นนั้นเขาก็ต้องไปตรวจสอบดู อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องใช้กระบี่กล้าผ่าสวรรค์ที่หลิวเทียนยู่ซ่อนเอาไว้ในกระบี่เงาจันทร์ก่อนที่เขาจะจากมา
หยุ่นเข่อซินประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเซี่ยวเฉินยังคงสงบใจเย็น นางครุ่นคิดกับตัวเอง,ก่อนจะพูดขึ้น “พวกเขามีโอกาสประมาณหกในสิบส่วนที่จะชนะ ในกลุ่มของสู่เฉิน,มีเจ็ดคนที่มีทักษะปีศาจเลือดกลืนกาย พวกเขาสามารถเผาผลาญพลังชีวิตเพิ่งความแข็งแกร่งชั่วขณะ
“เจ็ดคนนี้ไม่ได้มีความตั้งใจจะกลับออกมาเป็นๆอยู่แล้ว พวกเขาเป็นหน่วยรบกล้าตายของค่ายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ในสถานการณ์ที่ไม่อาจหันหลังกลับได้,พวกเขาสามารถเร่งพลังต่อสู้ขึ้นมาได้ถึงสิบเท่า”
เมื่อเซี่ยวเฉินฟังถึงตรงนี้ เขานิ่งอึ้ง หลิวหรูเยว่ก็อยู่ในสิบคนนั้น หากเจ็ดคนนั้นรวมนางเข้าไปด้วย เขาไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้
“ข้าต้องขอตัวก่อน” เรือสงครามสีเงินลอยออกมาจากตาขวาของเซียวเฉินและเขาเร่งรีบกระโดดขึ้นไป ก่อนที่เขาจะจากไป.นางเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ เขากล่าวขึ้น “ตามจริง เจ้าไม่จําเป็นต้องโทษตัวเอง เจ้าทําได้ดีที่สุดแลเว”
หลังจากที่เขาพูดจบ,เขี้ยวเฉินก็ขับเรือสงครามสีเงินออกไปและมุ่งหน้าไปยังราชวังที่ตั้งอยู่บนผายื่น เขารวดเณวราวกับสายฟ้า,จางหายไปในพริบตา
หยุนเข่อซินมองดูเซียวเฉินจากไป นางเผยรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าอันบอบบางของนาง จากนั้นก็กวัดแกว่งกระบี่มังกรคํารนไปมาพร้อมกับกล่าวกับตัวเอง “น่าสนใจ… มีเรื่องเร่งรีบอะไรถึงกับได้ลืมอาวุธระดับสวรรค์?”
ภายในปา,มู่หลงชงมองเห็นแสงสีแดงพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า เขาค่อยๆหยุดลงและครุ่นคิดอยู่นาน
“ศิษย์พี่มู่หลง,ทําไมท่านจึงหยุดเท้า?” หนึ่งในสมาชิกทีมถามขึ้นอย่างงุนงง มู่หลงชงไม่ได้ตอบกลับ เขาหันกลับมาและเดินไปหากลุ่ม เขาเดินไปตรงหน้าของสานุศิษย์ที่บาดเจ็บหนักและค่อยๆวางเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลงบนหน้าอกของเขา
หลังจากนั้น,ต่อหน้าสายตาที่ตะลึงของทุกคน,คนคนนั้นถูกห่อหุ้มด้วยบอลเพลิงและจางหายไปจากมิติแห่งนี้
หลังจากนั้นมู่หลงชงเขาหยิบเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกและกล่าวขึ้น “อยู่ที่นี่ไม่จําเป็นต้องเดินทางต่อแล้ว นี่เป็นเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์อะนสุดท้ายที่ข้ามี,ข้าจะให้เจ้าและเจ้าตัดสินใจเอาเอง”
หลังจากที่มู่หลงชงกล่าวจบ,เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่ร่างของเขาปะทะเข้ากับอาการ, เกิดเป็นคลื่นโซนิคบูมพร้อมกับลอยขึ้นหน้าไปหาราชวังอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่มู่หลง! อย่าไป!” ทั้งกลุ่มร้องออกมาหลังจากที่มู่หลงชงทิ้งเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แล้วบินออกไป พวกเขาไม่รู้จะทําเช่นไร
พวกเขามาไกลถึงตรงนี้และมีคนตายไปเพียงสามคนก็เพราะความแข็งแกร่งของมู่หลงชง ตอนนี้เขาจากไปแล้ว,พวกเขาตื่นตกใจในทันที
เหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นกับกลุ่มอื่นๆ ผู้นํากลุ่มหยุดเท้าลงเมื่อพวกเขามองเห็นแสงสีแดงพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
อย่างไรก็ตาม,พวกเขาทําต่างไปจากมู่หลงชงและหยุ่นเข่อซิน พวกเขาเพียงใช้เครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาและกลับออกไปจากมิติแห่งนี้ ทิ้งกลุ่มสานุศิษย์ที่กําลังงุนงงเอาไว้
เสียงลมนึ่งในหูของเซี่ยวเฉินขณะที่เขายืนอยู่บนหัวเรือ เสื้อผ้าหน้าผมของเขาปลิวไหวไปกับสายลม