Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 265 แผนที่สมบัติ
ตอนที่ 265 แผนที่สมบัติ
“สมาคมพ่อค้าทั้งหมดที่ต่อต้านล้วนจบไม่สวยเขาเพลิดเพลินไปกับการณูขาดเส้นทางการค้าแห่งนี้ท้ายที่สุด,ความมั่งคั่งที่เขาสะสมมาถึงระดับที่น่าตกตะลึง”
เซี่ยวเฉินขบลิ้นของเขาเขาไม่อยากจะเชื่อ“ระดับขอบเขตปราชญ์ยุทธที่ไม่มุ่งมั่นไปกับการบ่มเพาะพลังแต่กลับกลายมาเป็นโจรปล้นสะดม?เจ้าคิดว่ามันมีทางเป็นไปได้?”
เมื่อมาถึงระดับขอบเขตปราชญ์ยุทธ,มาตราฐานของพวกเขาได้สูงกว่าคนทั่วไปสินค้าทางโลกไร้คุณค่าถึงอย่างไร,พวกเขาก็ไล่ตามจุดสูงสุดในเส้นทางยุทธน้อยนักที่จะมีคนมาให้ความสนใจในสินค้าเงินทอง
เจ้าหมูจินกล่าว“ทําไมมันจะเป็นไปไม่ได้ในตอนที่สามตระกูลใหญ่แห่งแคว้นซีเหอกวาดล้างกองโจรในทุ่งหญ้าแห่งนี้เจ้าคิดว่าพวกเขาเพียงแค่อยากจะโจมตีเหล่ากองโจร?ความจริงมันเป็นเพื่อที่พวกเขาจะได้รับแผ่นที่ที่เหลือแม้แต่ศาลากระบี่สวรรค์ก็ได้ส่งคนมาก่อนหน้านี้สองสามครั้ง”
เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยินคําว่า“แผนที่เขานิ่งอึ้งเขาถามขึ้น“เขาทิ้งแผนที่เอาไว้?เจ้าหมายความเช่นไร?เล่าให้ข้าฟังถึงรายละเอียดได้หรือไม่?”
เจ้าหมูจิตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น“ทุกล้วนล้วนต้องตายไม่มีข้อยกเว้นแม่แต่ระดับขอบเขตจักรพรรดิยุทธระดับขอบเขตปราชญ์ยุทธก็ไม่มีข้อยกเว้นหลังจากที่คนคนนั้นตกตายลงเขาฝังสมบัติทั้งหมดของเขาเอาไว้ที่เกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต”
เขาได้ทองแผนที่ไว้ให้ลูกหลานของเขาแผนที่พวกนั้นระบุที่ตั้งของเกาะแห่งนั้นเอาไว้โดยละเอียดนอกจากนั้นเจ้าสามารถเปิดประตูสมบัติจะต้องมีแผนที่
“น่าเสียดาย,ลูกหลานของเขาเป็นพวกไม่เอาไหนไม่นานนักหลังจากที่เขาตายลง,ลูกหลานของพวกเขาทั้งหมดถูกกวาดล้างโดยศัตรูของเขาดังนั้น,แผนที่จึงได้กระจัดกระจายไปทั่ว”
“มีครั้งหนึ่งมีคนที่ได้มันมาและตามแผนที่ไปเพื่อค้นหาเกาะแห่งนั้นแต่อย่างไรก็ตามมีพายุสมุทรปกคลุมโดยรอบเกาะเอาไว้แม้แต่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธก็ไม่อาจเข้าไปได้ดังนั้นพวกเขาจึงทําได้เพียงมองดู”
“ต่อมามีคนสังเกตเห็นว่าพายุนั้นจะจางหายไปเป็นระยะเวลาหนึ่งในทุกๆร้อยปีดังนั้น,แฯที่จึงกลับมามีประโยชน์อีกครั้ง”
“สมบัติไม่ได้วางกองอยู่จุดเดียวกันทุกครั้งที่มีคนเข้าไป,พวกเขาจะกลับมาพร้อมกับสมบัติจํานวนมหาศาลแน่นอนมีหลายคนที่ต้องไปจบชีวิตลงที่นั้น”
“ตอนนี้ร้อยปีที่รอคอยได้วนกลับมาอีกครั้งดังนั้น,ท่านหมูผู้นี้อยากจะลองเข้าไปเสี่ยงโชคดูข้านับได้ว่าล่าช้ามามากแล้วข้าไม่รู้ว่าสามตระกูลใหญ่นั้นได้แผนที่มาจากการโจมตีครั้งก่อนหรือยัง”
จินต้าเป่าค่อยๆพูดอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยแต่ข้อมูงของเขาจัดเรียงได้ดีมากในตอนที่เซียวเฉินกําลังนั่งฟัง,เขาเข้าใจได้ทันที
ข้าสงสัยว่าแผนที่ที่ข้ามีอยู่จะใช้อันที่เจ้าหมูตามหาอยู่หรือไม่?เซียวเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น“อีกนานแค่ไหนถึงจะครบรอบหนึ่งร้อยปี?”
เจ้าหมูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับ“ประมาณหนึ่งปีท่านหมผู้นี้ตั้งใจจะใช้เวลาในปีนี้อยู่ในทุ่งหญ้ามารอสูรหากข้าไม่อาจหาแผนที่ได้,ข้าก็ยังได้กําไรพิเศษ”
ยังมีเวลาอีกหนึ่งปีเมื่อเป็นเช่นนั้น,ไม่จําเป็นต้องเร่งรีบ,เซี่ยวเฉินครุ่นคิด,ข้าพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนได้
หลังจากที่เดินทางมากว่าครึ่งวันด้วยรถม้าทั้งคู่ก็แยกทางกับจินต้าเป่าจินต้าเป่าดําเนินแผนการเหยื่อล่อดึงความสนใจกองโจรต่อไปและทั้งคู่ก็เดินทางออกจากทุ่งหญ้ามารอสูร
ระหว่างทาง,เซียวเฉินถามขึ้น“สุยเฟิง,เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับตํานานแผนที่ขุมทรัพย์แห่งทุ่งหญ้ามารอสูรมาก่อนหรือไม่?”
หลิวสุยเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อนแต่ไม่ได้ไปสนใจมากนักข้าเกือบจะลืมมันไปแล้วเจ้ากําลังคิดจะออกล่าขุมทรัพย์?”
เซี่ยวเฉินยิ้มและกล่าว“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเป้าหมายหลักของข้าตอนนี้คือสําเร็จฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันในที่สุดก็เริ่มมีความคืบหน้า,ข้าไม่สนใจไปทําอย่างอื่น”
ทั้งสองคนเดินทางต่อมาอีกสามวันเป็นเพราะพวกเขาเกือบจะถึงชายแดนของทุ่งหญ้ามารอสูรแล้ว,จํานวนกองโจรที่พวกเขาพบลดน้อยลงจํานวนพ่อค้าที่เขาพบกลับเพิ่มขึ้น
ในช่วงบ้ายของวัน,ภาพหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาในสายตาหลิวสุยเฟิงกล่าวอย่างตื่นเต้น“ในที่สุดพวกเราก็ออกจากทุ่งหญ้ามารอสูรหลังจากเดินทางไปอีกครึ่งวัน,พวกเราก็จะถึงเมืองซีเหอ”
เซียวเฉินรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยแม้ว่าจะไม่มีปัญหาทางกายกับการตั้งค่ายกลางแจ้งตลอดหลายวันที่ผ่านมาแต่จิตใจของพวกเขาเหนื่อย
หมูบ้านไร้ชื่อที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก่อตเงขึ้นมาเพื่อพ่อค้าและผู้บ่มเพาะพลังที่ผ่านทุ่งหญ้ามารอสูรได้เติมเสบียงมีโรงเตี้ยมเล็กๆและตลาดอยู่รอบๆ
ผู้บ่มเพาะพลังที่ฝึกฝนอยู่ในทุ่งหญ้ามารอสูรเลือกที่จะเร่ขายของอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้แม้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะไม่ใหญ่นักแต่มันคึกคักเป็นอย่างมาก
พวกเขาทั้งสองเดินมาพบกับโรงเตี้ยมหลังจากได้กินอาหารดีๆ,พวกเขาก็ขึ้นห้องพักผ่อน
ภายในห้อง,เซี่ยวเฉินนักขัดสมาธิอยู่บนเตียงวังวนฉีที่จุดต้นเทียนขแงเขาหมุนวนอย่างช้าๆทักษอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆหมุนเวียนไปตามเส้นปราณของเขา
ทันใดนั้น,ประกายไฟฟ้าจํานวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นภายในห้องส่งเสียงแตกเปรี้ยะออกมาไม่หยุดหย่อนพลังจิตวิญญาณธาตุสายฟ้าบริสุทธิ์ไหลเข้าสู่ร่างของเซี่ยวเฉิน
ความหนาแน่นของพลังงานจิตวิญญาณเบื้องล่างเมือกเขาหลิงหยุนนั้นเบาบางเป็นอย่างมากมันเทียบกันไม่ติดแม่แต่น้อยเซี่ยวเฉินพบว่ามันต่างกันถึงครึ่ง
เป็นความต่างที่ใหญ่หลวงไม่น่าแปลกใจที่นิกายใหญ่ถึงได้ดึงดูดนักบ่มเพาะพลังได้มากมายนัก
ผ่านไปสี่ชั่วโมง,เซี่ยวเฉินหยุดหมุนเวียนพลังงานเมื่อเขาลืมตาขึ้นมีกระแสไฟฟ้าภายในห้องที่ยังไม่จางหายไป,กระพริบไหวขึ้นมา
เซี่ยวเฉินคิ้วขมวดเล็กน้อย“สภาวะแห่งสายฟ้ายกระดับเพิ่มขึ้นทุกวันด้วยความเร็วเช่นนี้,ข้าจะไม่อาจใช้ออกเบี่ยงวิถีรอบยอดเขาได้ข้าจําเป็นต์องตามหาทักษะต่อสู้ธาตุสายฟ้า”
“ปัง!ปัง!ปัง!”
เสียงเคาะดังมาจากที่ประตูเสียงของหลิวสุยเฟิงดังขึ้นมา“เย่เฉิน,ข้ากําลังจะเอาแก่นกลางวิญญาณและของอื่นๆไปขายสักเล็กน้อยเจ้าอยากจะมาด้วยกันหรือไม่?”
มีพ่อค้ามากมายที่รับซื้อชิ้นส่วนของสัตว์อสูรวิญญาณเป็นเพราะพวกเขาสวมชุดของผู้บ่มเพาะพลัง,ในตอนที่พวกเขาเดินมาที่โรงเตี้ยม,มีพ่อค้ามากมายมาถามไถ่
เป็นเพราะพวกเราเร่งรีบที่จะมาพักผ่อน,พวหเขาจึงได้บอกปัดไปทั้งหมดตอนนี้พวกเขาได้พักมาเป็นเวลาหนึ่ง,เป็นความคิดที่ไม่เหลวที่จะเอาของออกไปขายสักเล็กน้อย
การประมูลของเมืองซีเหอยะเริ่มขึ้นในอีกสามวันมันจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นหากพวกเขามีหินวิญญาณเพิ่มมากขึ้น
เซียวเฉินไม่มัวคิดมากและตอบตกลงพวกเขาออกจากโรงเตี้ยมและมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ตลาดที่ดูวุ่นวาย
“รับซื้อแก่นกลางวิญญาณธาตุลมให้ราคาสูงต้องการเพียงแก่นกลางวิญญาณธาตุลมเท่านั้น,ระดับไหนก็รับหมดข้าเอาทุกอย่างที่มีเปิดรับเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น,เร่งรีบมาให้ไว!”
“ขายแก่นกลางจิตวิญญาณระดับ5หลากหลายธาตุหนังของสัตว์อสูรวิญญาณระดับสูงก็มีขาย”
“รับซื้อหญ้าเปลี่ยวสิบต้นผู้บ่มเพาะพลังคนไหนมี,โปรดมาให้ไว!”
มีเสียงผู้คนมากมายโหวกเหวกดังเข้ามาในหูของพวกเขามันดูวุ่นวายเป็นอย่างมากมีผู้บ่มเพาะพลังเปิดแผงลอยอยู่เต็มสองข้างของถนนพ่อค้ามากมายเดินไปทั่วไถ่ถามถึงราคา
แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะดูเละเทะแต่ก็มีการจัดการพวกเขาไม่อนุญาตให้ตั้งแผงลอยโดยไม่ได้รับอนุญาตหากพวกเขาฝ่าฝืน,พวกเขาจะถูกผู้จัดการไล่ออกไป
เซียวเฉินและหลิวสุยเฟิงไปที่ศูนย์การจัดการและเข้าคิวรอกว่าหนึ่งชั่วโมงพวกเขาถึงจะได้จุดตั้งแผงลอยผู้จัดการส่งแผงลอย,แผ่นป้าย,และอุปกรณ์ต่างๆให้กับทั้งสองคน;การบริการของพงกเขาค่อนข้างเข้าใจง่าย
อย่างไรก็ตาม,ราคาก็ค่อนข้างน่าตกตะลึงหลิวสุยเฟิงก็รู้สุสึกว่าแพงไป“ตั้งแผงลอยสองชั่วโมงต้องจ่ายสิบหินวิญญาณระดับต่ํา”
เซียวเฉินใช้พู่กันเขียนลงบนแผ่นป้ายขายแก่นกลางวิญญาณและชิ้นส่วนทุกอย่างทั้งหมดจ่ายด้วยหินวิญญาณ
หลังจากที่เชี่ยวเฉินเขียนลงไปเขาก็ยิ้มขึ้น“ช่างมันแค่สิบหินวิญญาณขั้นต่ําไม่มีค่าอะไรกับเจ้าเร่งตั้งแผงลอยกันเถอะแล้วภาวนาให้มีลูกค้าใจใหญ่มาเหมาหมดในที่เดียว”
ในตอนที่พวกเขามาถึงที่แผงลอย,ภายแล้วเปลี่ยนป้ายหน้าร้านผ่านไปครู่หนึ่ง,มีพ่อค้าในชุดสีทองหรูหราเดินตรงเข้ามา
พ่อค้าผู้นี้อายุประมาณห้าสิบปีและมีคนคุ้มกันระดับขอบเขตนักบุญสองคนรอยยิ้มเติมเต็มใบหน้าที่อวบเล็กน้อยของเขา
น้องชายทั้งสอง,เจ้าขายแก่นกลางวิญญาณหรือไม่?“พ่อค้าวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซียวเฉินพยักหน้า”แก่นกลางวิญญาณทั้งหมดเป็นระดับ3ขึ้นไปมีประมาณสามพันชิ้นนอกจากนั้นยังมีหนังของสัตว์อสูรวิญญาณอีกเล็กน้อย,ทั้งหมดเป็นระดับ3ขึ้นไป
แก่นกลางวิญญาณเกือบทั้งหมดได้มาจากกองโจรที่เข้าโจมตีพวกเขามีเพียงเล็กน้อยที่ได้รับมาจากสัตว์อสูรวิญญาณที่พวกเขาล่าเอง
แหวนห้วงมิติมีพื้นที่จํากัดและหลังจากที่พวหเขาใส่ของจนเต็ม,พวกเขาโยนแก่นกลางวิญญาณระดับ2ทั้งหมดทิ้ง,เก็บเอาไว้เพียงแก่นกลางวิญญาณระดับ3ขึ้นไป
ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังรวบรวมได้มากกว่าสามพันชิ้น;มูลค่านับว่ามหาศาล
พ่อค้าวัยกลางคนตกใจเล็กน้อยเขาไม่คาดคิดว่าจะเปิดข้อเสนอใหญ่ในทันทีที่เขาไถ่ถามสีหน้าของเขาเปลี่ยนพร้อมกับถามขึ้น”ข้าขอดูสินค้าได้หรือไม่?
เซียวเฉินพยักหน้าและหลิวสุยเฟิงก็เทแก่นกลางวิญญาณทั้งหมดออกมาจากแหวนห้วงมิติรวมถึงวัสดุอื่นๆที่พวกเขามี
แก่นกลางวิญญาณกองพะเนินเต็มแผงลอยทันใดนั้น,สายตานับไม่ถ้วนมองนรงเข้ามาท่ากลางสายตาละโมบและอิจฉา,เซียวเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน
ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก,ผู้บ่มเพาะพลังที่นี้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยคมมีดพวกเขาทั้งหมดมีเลือดเปรอะมือมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนถูกสังหารเพราะความมั่งคั่งที่นี่
เซี่ยวเฉินยิ้มบางเบาและไม่ได้ไปสนใจเขาถามขึ้น”เจ้าว่าเช่นไร?เสนอราคา!
ชายวันกลางคนรู้สึกเป็นสุขในใจแต่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงเขาไตร่ตรอง”เจ้ารับเป็นทองหรือไม่?ข้าเจ้ารับ,ข้าให้ราคาได้ดีกว่านี้”
ตั้งแต่ที่เซียวเฉินเห็นถึงประโยชน์ของหินวิญญาณ,เขาไม่สนใจทองอีกต่อไปดังนั้น,เขาส่ายหัวอย่างเด็ดขาด
หลิวสุยเฟิงกล่าว”เจ้ารับซื้อไม่ไหว?”
พ่อค้าวัยกลางคนหัวเราะเสียงดัง”ข้าแค่ถามดูข้ารับซื้อแก่นกลางวิญญาณพวกนี้ได้ทั้งหมดนี่คือข้อเสนอของข้า,หนึ่งหมื่นหินวิญญาณขั้นต่ําข้าต้องการทั้งหมดพงกเราสามารถแลกเปลี่ยนกันที่นี่ได้หรือไม่หรือพวกเจ้าอยากจะเลือกที่อื่น”
พ่อค้าวัยกลางคนเข้าใจถึงหลักการที่ว่าห้ามเผยความมั่งคั่งดังนั้นเขาจึงเสนอสองทางเลือกให้พวกเขาเลือก”
เซี่ยวเฉินครุยคิดอยู่ครู่หนึ่ง,พ่อค้าผู้นี้ไม่รู้จักพื้นเพของเขาแม้ว่าทําการแลกเปลี่ยนที่นี่จะเผยความมั่งคั่งออกมาลแต่หากไปทําการแลกเปลี่ยนที่อื่น,พวกเราก็ยังคงต้องระวังพ่อค้ารายนี้
ทั้งสองทางต่างมีความเสี่ยงและไม่อาจเลือกได้ทันทีเซี่ยวเฉินเลือกที่จะแลกเปลี่ยนในทันทีอย่างน้อยพงกเขาก็ได้รับหินวิญญาณในทันที,ทําให้พวกเขารู้สึกมั่นในกว่า
พ่อค้าวัยกลางคนไม่มีลังเลและเรียกคนคุ้มกันด้านหลังของเขาเข้ามาจากนั้น,คนคุ้มกันก็เอาแหวนห้วงมิติของเขามาชนเข้ากับแหวนห้วงจักรวาลของเซี่ยวเฉิน
ในทันทีต่อมาเซียวเฉินรู้สึกได้ถึงหินวิญญาณมากมายปรากฏขึ้นมาในแหวนห้วงจักรวาลของเขาเมื่อเขานับดู,มันเป็นหินวิญญาณระดับต่ําหนึ่งหมื่นก้อนพอดิบพอดี
พ่อค้าวัยกลางคนหยิบเอานามบัตรออกมาและส่งมันให้กับเซียวเฉินและหลิวสุยเฟิงเขายิ้มและลก่าว“แซ่ที่ต่ําต้อยของข้าคือกวนข้าทํางานที่สมาคมการค้าของตระกูลหยุนข้าหวังว่าพวกเราจะได้ซื้อขายกันอีกในอนาคตหากพวกเจ้านํานามบัตรนี้ไปแสดงที่ร้านใดก็ตามของตระกูลหยุน,พวกเจ้าจะได้รับส่วนลดหนึ่งในสิบส่วน”