Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 217 ผู้อาวุโสลึกลับ
ตอนที่ 217 ผู้อาวุโสลึกลับ
หลิวฉิงส่ายหัวและยิ้มขึ้น “หากนี่เป็นสิ่งที่เจ้าคิด เจ้าก็อาจจะต้องผิดหวัง แม้ว่าตําราเล่มนี้จะชื่อค่ายกลเก้ากระบี่ล้างสวรรค์(ฉบับดั้งเดิม), มันก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับค่ายกลเก้ากระบี่ล้างสวรรค์อันนั้น”
“ตําราเล่มนี้เป็นอีกค่ายกลหนึ่ง ซึ่งมันได้รูปแบบมาจากค่ายกลเก้ากระบี่ล้างสวรรค์ แม้ว่าอนุภาพของมันจะยิ่งใหญ่ แต่มันต้องใช้ผู้บ่มเพาะพลังเก้าคนที่มีระดับพลังเดียวกันเพื่อที่จะดําเนินการได้อย่างสมบูรณ์ มันมีข้อกําหนดที่สูงมากจึงเป็นได้เพียงทฤษฎีเท่านั้น”
“นอกจากเจ้าค่ายกล,ที่เหลืออีกแปดคนจะต้องเป็นเหมือนแขนขาให้กับเขาเลื่นไหลและเป็นธรรมชาติ, ปราศจากความลังเลและความผิดพลาด ไม่มีซึ่งข้อผิดพลาดใดๆ มิฉะนั้น ค่ายกลก็จะล้มเหลวและก่อให้เกิดผลสะท้อนกลับ”
เซี่ยวเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย,ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เขากล่าวขึ้น “ผู้อาวุโส,ทําไมท่านถึงได้ดูคุ้นเคยกับมันนัก?”
หลิวฉิงยิ้มบางเบาและกล่าว “ไม่เพียงแค่คุ้นเคย, ข้าเป็นผู้เขียนตําราเล่มนี้”
เป็นเช่นนั้น ไม่สงสัยว่าทําไมเขาถึงคุ้นเคยกับมันราวกับเป็นสมบัติประจําตระกูล เซี่ยวเฉินกล่าว “เมื่อเป็นเช่นนั้น,ข้าก็จะฟังคําแนะนําของผู้อาวุโสและไม่เอาตําราเล่มนี้”
“รอก่อน” หลิวฉิงกล่าวกับเซี่ยวเฉินพร้อมกับยื่นตําราค่ายกล เก้ากระบี่ล้างสวรรค์(ฉบับดั้งเดิม)เล่มสมบูรณ์ให้กับเขา “ไม่มีปัญหาที่เจ้าจะลองดูหากเจ้ามีเวลา ใครจะรู้ เจ้าอาจจะสามารถคิดหาทางแก้ข้อบกพร่องของมันออกก็ได้”
เซี่ยวเฉินประหลาดใจเล็กน้อย เขารับมันมาก่อนที่จะขอบคุณ และออกจากห้องสมุดในทันที
หลิวสุยเฟิงนั่งอย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่บันไดหินด้านนอกของห้องสมุด เขามีความเศร้าสลดบนใบหน้า เป็นไปได้ว่าเขายังคงคิดเกี่ยวกับการกลับมาของหวังหลง
เซี่ยวเฉินเดินไปที่ด้านข้างของหลิวสุยเฟิง เขาไม่รู้ถึงเรื่องบาดหมางระหว่างหลิวสุยเฟิงและหวังหลง เขาจึงไม่รู้ว่าจะปลอบใจเช่นไร มันเป็นเรื่องดีที่จะประสบความพ่ายแพ้และความยากลําบาก ตราบใดที่รู้ถึงความผิดพลาดของตัวเองและเข้าจัดการกับมันอย่างกล้าหาญ
อย่างไรก็ตาม เซี่ยวเฉินไม่รู้ว่าหลิวสุยเฟิงจะคิดได้เช่นนี้หรือไม่ หากเขาถูกทําลายจากความพ่ายแพ้และก่อเกิดเป็นความมืดในใจ,นั้นมันอาจจะหมายถึงจุดสิ้นสุดเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังของเขา
เมื่อหลิวสุยเฟิงได้ยินเสียงฝีเท้าของเซี่ยวเฉิน,เขาลุกขึ้นและวางมาดกล้าหาญ “ พี่น้องเย่เข้ารับตํารามาเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่? ลงจากยอดเขากันเถอะ ขอบใจสําหรับที่ออกหน้าแทนข้าเมื่อครู่”
เซี่ยวเฉินตบลงบนไหล่ของเขาและกล่าวขึ้น “ในฐานะสหายของเจ้า นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทํา”
หลิวสุยเฟิงเงียบไปตลอดทาง,ตรงกันข้ามกับขาขึ้นอย่างสมบูรณ์ พวกเขาทั้งสองมุ่งหน้าไปที่กลางยอดเขาอย่างเงียบสงบ
“ช้าก่อน!”
หลังจากเดินมาได้ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาในหัวของพวกเขา พวกเขาหยุดฝีเท้าลงและมองหน้าแลกสายตากัน;มีความงุนงงในดวงตาของพวกเขา
ทันใดนั้น,หลิวสุยเฟิงหลับตาลง,ราวกับว่ากําลังสื่อสารกับอะไรสักอย่างในจิตใจของเขา ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาลืมตาขึ้นพร้อมกล่าวกับเซี่ยวเฉิน “พ่อของข้าอยากให้เจ้าขึ้นไปที่บนสุดของยอดเขา เขาอยากจะพบเจ้า”
บิดาของหลิวสุยเฟิง,ท่าเจ้ายอดเขาคนก่อนผู้ที่ถือครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เขามักจะอยู่ที่สุดบนสุดของยอดเขาและปกปิดตัวตนอย่างลึกลับ พอคิดว่าเขาอยากจะพบเซี่ยวเฉิน!
เซี่ยวเฉินรู้สึกสงสัยและถามขึ้น “ท่านได้พูดหรือไม่ว่ามีเรื่องอะไร?”
หลิวสุยเฟิงไม่รู้เขาจึงได้แต่ส่ายหัว “เขาไม่ได้พูดอะไร ข้าไม่ได้พบเขาตัวต่อตัวมาเป็นเวลานานแล้ว บอกให้ข้ารู้ว่าเขาทําอะไรตอนที่เจ้ากลับมาลง”
เซี่ยวเฉินพยักหน้าและใช้ออกมังกรฟ้าเมฆาทะยาน เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปบนเส้นทางคับแคบบนยอดเขา ในพริบตา เขาก็เคลื่อนไปหลายร้อยเมตร
หลิวสุยเฟิงมองดูร่างของเซี่ยวเฉินที่กําลังหายลับไปและพิมพ์ “เป็นไปได้อย่างไร เขาแข็งแกร่งพอกันกับข้าเมื่อสองสามเดือนก่อน ตอนนี้ข้าไม่อาจหยั่งถึงความแข็งแกร่งของเขาอีกต่อไปแล้ว ข้าอาจจะสามารถประมือกับหวังหลงได้”
เมื่อหลิวสุยเฟิงคิดถึงเรื่องหวังหลง,เขาเผยสีหน้ารังเกียจ
จุดยอดสุดของยอดเขาฉิงหยุนอยู่ระหว่าง 4,000 ถึง 5,000 ขึ้นไป ยิ่งปืนขึ้นไปสูงขึ้นเท่าไหร.มันก็ยิ่งชันขึ้นเท่านั้น ในที่สุด,มันก็มาถึงจุดที่ไม่มีถนนอีกต่อไป หลังจากนั้น,มันก็แทบจะเป็นทางแนวดิ่ง ที่ยอดเขาปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆ มีสายลมรุนแรงพัดผ่าน,ทําให้เสื้อผ้าปลิวไหล
เซี่ยวเฉินมองไปรอบๆ ยังอีกกว่าพันเมตรจะไปถึงยอด,แต่ทางชันเป็นกําแพง,และไม่มีที่ให้ยึดจับ มังกรฟ้าเมฆาทะยานระดับสมบูรณ์ขั้นตอนของเขาไม่มีทางที่จะบินขึ้นไปได้
เซี่ยวเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้คาถาแรงโน้มถ่วงลอยขึ้นไป การบินสูงบนเป็นพันเมตรสิ้นเปลืองพลังปราณอย่างมาก นอกจากนั้น,สายลมยังรุนแรง ที่จุดสุดท้ายนี้เสียเวลาไปนานกว่าจะสําเร็จ
เซี่ยวเฉินรู้สึกราวกับกําลังบินขึ้นสู่สวรรค์ เขาไม่รู้ว่าหลิวสุยเฟิงเคยขึ้นมาได้เช่นไร ท้ายที่สุด เซี่ยวเฉินก็ผ่านขึ้นมาได้โดยไร้ซึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝัน,และลงจอดอย่างมั่นคง
มีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่ที่ยอด ไม่ซึ่งสีหน้าบนใบหน้าของเขา,ราวกับว่าผสานตัวเองเข้ากับก้อนหิน
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ทําลายล้างถูกเก็บไว้อย่างสงบในกล่องไม้และวางไว้ที่มุมของยอดเขามันช่างดูธรรมดาสามัญ
เซี่ยวเฉินมักสงสัยเกี่ยวกับสถานะของชายชราผู้นี้เขาคาดเดาอย่างไม่แน่ใจนัก เมื่อเขาได้พบกับคนผู้นี้,เขาได้ตรวจดูอย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม เขาก็พบว่าเป็นคนละคนกับที่อยู่ในความทรงจําของเขา
เขาไม่รู้ว่าทําไม,แต่เขารู้สึกโล่งอกเมื่อเขาพบถึงข้อสรุปนี้
ชายชราค่อยๆลืมตาขึ้นและจ้องมองมาที่เซี่ยวเฉิน เขายิ้ม “ข้าไม่คาดคิดว่าจะพบกับเจ้าอีกครั้งรวดเร็วเช่นนี้… ผู้สืบทอดจักรพรรดิอัสนี ฝักกระบี่ที่ข้ามอบให้เจ้าเป็นเช่นไร?”
เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยินดังนั้น,เขาตกตะลึง แสงแห่งความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาพร้อมกับจ้องมองไปที่ชายชรา “เช่นนั้น ก็เป็นท่านจริงๆ”
ผู้สืบทอดของจักรพรรดิอัสนี นี่เป็นสถานะที่เซี่ยวเฉินกังวลเป็นที่สุด เมื่อเขาได้ยินคนผู้นี้กล่าวถึงขึ้นมาอีกครั้ง,มือขวาของเขาก็ลงไปแตะด้ามกระบี่อย่างรวดเร็ว เขาเร่งกระแสพลังของเขาและพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ
ชายชรายิ้มอย่างเฉยเมย “ไม่จําเป็นต้องเป็นกังวล หากข้าอยากจะทําร้ายเจ้า,ข้าก็คงไม่มอบฝักกระบี่ให้เจ้า มิฉะนั้น,คนในสภาสูงควรจะสัมผัสได้ถึงกระแสพลังของดาบไม้อัสนีและสังหารเจ้าในทันที่ที่พบ”
แม้ว่าชายชราจะพูดเช่นนั้น ความกังวลในใจของเซี่ยวเฉินก็ไม่ได้ลดต่ําลง ความรู้สึกที่มีชีวิตอยู่ในกํามือของผู้อื่นมันไม่สบายนัก
หากมองจากอีกมุมหนึ่ง,หากชายชราผู้นี้อยากจะทําร้ายเขาทั้งหมดที่ต้องทําก็คือเผยสถานะของเขาออกมา เซี่ยวเฉินคงจะถูกไล่ล่าในทันที
เซี่ยวเฉินกล่าวอย่างมิดมัว “ทําไมท่านถึงได้เรียกข้ามาที่นี่? ข้าเดาว่าคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่อยากจะพบข้า?”
ชายชราไม่ได้ตอบคําถามของเซี่ยวเฉิน กลับกัน เขากล่าวขึ้น “แม้ว่าข้าจะไม่สามารถออกไปจากยอดเขาหินใต้เท้าข้า,ข้าก็รู้เรื่องเล็กน้อยทุกอย่างที่เกิดขึ้นในศาลากระบี่สวรรค์ ไม่มีอะไรหลบพ้นสายตาของข้าไปได้”
เขาไม่สามารถออกจากก้อนหินด้านใต้เขา? เซี่ยวเฉินขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไปและตรวจสอบก้อนหินด้านใต้ของชายชราอย่างละเอียด เมื่อเขาสํารวจมันด้วยสัมผัสวิญญาณของเขา เขาเห็นบางสิ่งที่เขาไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า
มันมีหนวดสีดํามีดชายชราไว้แน่นกับก้อนหิน หนวดสีดําปลดปล่อยพลังฉีปีศาจสีดําออกมา,มันน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เซี่ยวเฉินถอนสัมผัสวิญญาณของเขากลับมาและมองดูอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าที่อยู่มันดูปกติ:เขามองไม่เห็นอะไร เช่นนั้นเป็นเหตุว่าทําไมเมื่อท่าเจ้ายอดเขาซื้อขึ้น ซ่งเฉว-บุกเข้ามา ชายชราผู้นี้ถึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
มันเป็นเพราะหนวดสีดําพวกนั้น สัมผัสที่หนวดสีดําพวกนั้นส่งมาให้เขามันคล้ายคลึงกับตราประทับราชันซากศพที่เคยถูกประทับลงบนร่างของเขา
เมื่อชายชราสัมผัสได้ถึงสัมผัสวิญญาณของเซี่ยวเฉิน,เขาเผยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย เป็นพลังที่แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้! พลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเทียบเท่ากับของข้า นอกจากนั้น,ดูเหมือนว่าเขาจะนํามันไปปรับใช้ได้ยิ่งกว่า
เซี่ยวเฉินถอนสายตากลับมาและกลายขึ้นอย่างเฉยเมย “ท่านจะได้เห็นอะไรไม่ใช่ปัญหาของข้า ข้ามาที่ศาลากระบี่สวรรค์ด้วยเหตุผลส่วนตัว”
“ข้าเพียงต้องการที่จะร่ําเรียนฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน ข้าจะไม่สร้างปัญหาอะไรในศาลากระบี่สวรรค์ ข้าร้องขอให้ผู้อาวุโส อย่างได้ยกฐานะข้าเป็นผู้สืบทอดจักรพรรดิอัสนี”
ชายชราสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขายิ้มอ่อนนุ่ม “สหายตัวน้อย ฟังให้ดี ข้ากล่าวว่าไม่มีอะไรในศาลากระบี่สวรรค์ที่หลบสายตาของข้าไปได้
หลังจากพูดจบ,เขาก็หยุดลงครู่หนึ่งและมองไปที่เซี่ยวเฉินอย่างมีความหมาย จากนั้นเขาก็พูดต่อ “รวมถึงที่เจ้าหลบหนีออกมา จากเขตแดนเหมืองวิญญาณ…และทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทุ่งสมุนไพร”
ถึงจุดนี้,เซี่ยวเฉินตกใจขั้นสมบูรณ์ เขาไม่คาดคิดว่าความลับของพิภพใต้ดินจะถูกพบโดยคนผู้นี้ นั้นหมายความว่าคนผู้นี้รู้ทุกสิ่งอย่างที่เขาทําภายในศาลากระบี่สวรรค์
ชายชราพูดต่อ “อย่าไปคิดมาก แม้ว่าข้าจะเห็นทุกสิ่งอย่างภายในศาลากระบี่สวรรค์,ข้าก็ไม่จดจ่อไปที่บุคคลหนึ่งโดยไม่มีเหตุผล มันจะสิ้นเปลืองแรงเป็นอย่างมาก ความสนใจของข้าส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับรอยแยกภายในศาลากระบี่สวรรค์ ข้าไม่ได้มีเวลามากพอที่จะไปสนใจเจ้า”
“ข้าสังเกตเห็นเจ้าเพราะศึกราชันมารอสูรหมาปาสวรรค์ ข้าได้เบนพลังวิญญาณของข้าไปเล็กน้อย”
เซี่ยวเฉินเบาใจลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม,เขาก็ยังไม่เข้าใจถึงบางอย่าง “หลังจากพูดคุยกันมาเป็นเวลานาน,ท่านยังไม่บอกข้าว่าทําไมถึงได้เรียกข้ามาที่นี่”
“ พ่อหนุ่ม,ไม่ต้องเป็นกังวล มันมีบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคําพูด” ชายชรามีสีหน้านิ่งสงบพร้อมกับกล่าวต่ออย่างเฉยเมย “เจ้าได้รับผลประโยชน์จากคนรุ่นก่อนของศาลากระบี่สวรรค์ของข้าและกําลังร่ําเรียนฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันจากลูกสาวของข้า ข้าอยากจะขอความช่วยเหลือของเจ้า”
ช่วยเหลือ? เซี่ยวเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากได้ความกรุณามาจากใครสักคน เป็นเรื่องถูกต้องที่จะตอบแทนเนี้ไม่ใช่ปัญหา เขาคํานับมือขึ้นและโค้งตัว “ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่ข้าทําได้,ข้ายินดีช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม,ศาลากระบี่สวรรค์เต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ ความช่วยเหลือใดที่ตัวกระจ้อยร่อยเช่นข้าจะให้ได้? เซี่ยวเฉินเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อไตร่ตรองดู
เซี่ยวเฉินไม่ได้หยิ่งทนงถึงระดับนั้น ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา มีผู้คนมากมายที่แข็งแกร่งกว่าเขาภายในศาลากระบี่สวรรค์ เขาคิดไม่ตกว่าความช่วยเหลือใดที่ชายชราผู้นี้จะขอจากเขา
ดังนั้น เขาจึงระมัดระวัง ตราบใดที่เป็นสิ่งที่เขาทําได้เขาก็จะทํามัน แต่หากว่ามันเกินกว่าสิ่งที่เขาทําได้เช่นนั้น เขาก็ทําได้เพียงเห็นอกเห็นใจผู้อาวุโสผู้นี้
“แน่นอน มันเป็นสิ่งที่เจ้าทําได้ นอกจากนั้น มันเป็นสิ่งที่มีเพียงเจ้าที่ทําได้ จําคําสัญญาของเจ้าเอาไว้”
ท้ายที่สุด เมื่อเซี่ยวเฉินลงยอดจุดยอดเขา, ชายชราผู้นี้ก็ยังไม่บอกว่าจะให้เขาช่วยเหลืออะไร ชายชราเพียงกล่าวต่อว่าให้เซี่ยวเฉิน “จําคําสัญญานี้เอาไว้”
เซี่ยวเฉินทุกข์ใจเล็กน้อยที่ไปสัญญาโดยไม่รู้เหตุผล อย่างไรก็ตาม,ธุระของเขารัดตัว เขารีบตรงไปที่พื้นที่ประลองและเริ่มจดจ่อ ตั้งใจไปกับการทําความเข้าใจฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันด้วยความช่วยเหลือของหลิวหรูเยว่
เขาไม่มีเวลาให้ทุกข์ใจ เมื่อเขากลับไปที่ลานบ้านของเขาในตอนกลางคืน,เขาเริ่มฝึกฝนทักษะกระบี่หลิงหยุน
ตารางเวลาแน่นทุกวัน ไม่มีเวลาให้นั่งว่างแม้แต่น้อย เซี่ยวเฉินไม่บ่มเพาะพลังก็กําลังฝึกฝน
ในขณะเดียวกัน,การทดสอบศิษย์แก่นกลางประจําปีก็ใกล้เข้ามา,ทั่วทั้งศาลากระบี่สวรรค์เข้าสู่ฤดูแห่งการฝึกฝน
แม้แต่ศิษย์แก่นกลางบางคนก็ไม่กล้าหย่อนยาน ว่ากันตามกฎ.ศิษย์แก่นกลางส่วนหนึ่งที่อยู่อันดับรั้งท้ายจะต้องประลองกับศิษย์ชั้นในทั่วไปในการทดสอบ หากพวกเขาพ่ายแพ้ สถานะศิษย์แก่นกลางของพวกเขาก็จะถูกเพิกถอน
กฏเช่นนี้เป็นตัวกระตุ้นของพวกเขาเป็นตัวดันให้พวกเขาไม่กล้าละเลยการฝึกฝน