Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 218 ยอดเขาเทียนเยว, จางเลี่ย
ตอนที่ 218 ยอดเขาเทียนเยว, จางเลี่ย
ภายในปาบนเทือกเขาหลิงหยุน,ยอดเขาเทียนเยว่ะ
มีผู้บ่มเพาะพลังหนุ่มแต่งกายในชุดเครื่องแบบของยอดเขา เทียนเยว่กําลังฝึกฝนกระบี่ของเขา คมกระบี่หวีดร้องและเรืองแสงออกมาพร้อมกับที่มันสร้างเสียงสายลมรุนแรงออกมา
คนผู้นี้เริ่มร่ายรําไปรอบๆราวกับผีเสื้อโบยบิน,งามสง่าและปราดเปรียว จากนั้นเขาก็ราวกับเป็นเหยี่ยวที่กําลังทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ทุกสิ่งอย่างที่แสงกระบี่สัมผัสถูกทํา ลาย, พืชพันธุ์ส่ายไปส่ายมา, ต้นไม้ถอนรากและใบไม้บนพื้นพร้อมกับลําต้นลอยไปทั่วทุกที่
“ปลุกเมฆานิรันดร์!”
ทันใดนั้น,ชายหนุ่มตะโกนออกมาและสับออกไปด้วยกระบี่ของเขา กระบี่แสงควบแน่นขึ้นมาเป็นเส้นบางและยิงออกไปพร้อมกับเสียง “เสี้ยว” กระบี่แสงเส้นตรงค่อยๆรีดบาง,และในที่สุด,มันก็บางเสียจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น,ราวกับว่ามันสลายหายไป
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มพึงพอใจ เขาเก็บกระบี่กลับเข้าฝึกพร้อมกับ เสียง “แว่ง” ในทันทีที่กระบี่กลับเข้าฝัก…
“บูม!”
ต้นไม้ทุกต้นในระยะ 500 เมตรตรงหน้าของเขาถูกฟันขาดกลางที่ลําต้น ต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าล้มครืน
อย่างไรก็ตาม,มันยังลงจบลงแค่นี้ มีกระบี่ฉีเรียวบางทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเขา กระบี่แสงนั้นที่ดูเหมือนจะหายลับไป เมื่อครู่ระเบิดออกในจังหวะที่ต้นไม้ล้มลง
มันราวกับน้ําตกที่ระเบิดออก มีละลอกคลื่นในอากาศ และทุกที่ มันมันวาดผ่านไป,ต้นไม้สลายกลายเป็นฝุ่นผง ฝุ่นผงที่เติมเต็มไปในอากาศ,ลอยปลิวไปทั่วทุกที่
“ทักษะกระบี่ยอดเยี่ยม!” ชายชราในชุดคลุ้มสีเทา ค่อยๆเดินออกมาจากต้นไม้ นั้นคือผู้อาวุโสสามแห่งยอดเขาเทียนเยว่ผู้รับหน้าที่ชี้นํา
เมื่อชายหนุ่มมองเห็นชายชรา,เขาทําความเคารพอย่างสุภาพ “ผู้อาวุโสสาม, ท่านสุภาพเกินไปแล้ว”
ผู้อาวุโสสามเผยรอยยิ้มเบาบางพร้อมกับพูดขึ้น “จางเลี่ย,ข้าไม่ได้สุภาพอะไรเจ้าเป็นคนแรกที่สามารถฝึกฝนมันจนถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยมและบรรลุกระบวณท่าที่สิบหกได้ด้วยตัวเอง”
“แม้ว่าเจ้าจะถูกรับเข้ามาสู่ยอดเขาเทียนเยว่ของข้าในกลางปี,ในความคิดเห็นของข้า,ความสามารถในการเข้าใจและพรสวรรค์ของเจ้าสามารถจัดได้อยู่ในสิบอันดับแรกของศาลากระบี่สวรรค์ นอกจากนั้นเจ้าไม่ได้หย่อนยานในการบ่มเพาะพลังแม้แต่น้อย,ไม่ใช้พรสวรรค์ของเจ้าไปอย่างเปล่าประโยชน์
คนผู้นี้คือผู้ที่แย่งเก้าอี้ของเซี่ยวเฉินในตอนนั้น,บุตรชายของตระกูลจางจากมณฑลหยุนหยาง,จางเลี่ย เมื่อเขาได้ยินคําเยินยอของชายชรา,จางเลี่ยเผยรอยยิ้มออกมา อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงรักษาน้ําเสียงต่ําต้อยเอาไว้ “ผู้อาวุโสสามก็กล่าวไป…มันยังมีอีกหลายอย่างที่ข้าต้องพัฒนาตัวเอง”
TLคนที่แย่งเก้าอี้ของเซี่ยวเฉินเข้าศาลากระบี่สวรรค์มาก็มีคนเดียวจึงคิดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกันในตอนที่ 140 แต่ในตอนที่ 140 มันชื่อจางเย่ คนละชื่อกับในตอนนี้ จางเลี่ย 5% ถ้ารู้อะไรเพิ่มเดียวบอกครับ
ผู้อาวุโสสามพยักหน้าของเขาอย่างพึงพอใจและกล่าวขึ้น “การถ่อมตนเป็นเรื่องดี อย่างไรก็ตาม ผู้บ่มเพาะพลังอาจไร้ซึ่งความหยิ่งยโส,แต่จะต้องไม่ขาดความภาคภูมิใจ ข้าอยากจะให้เจ้าได้ที่หนึ่งในการทดสอบศิษย์แก่นกลางเพื่อยอดเขาเทียนเยว่ เจ้าทําได้หรือ ไม่?”
จางเลี่ยกล่าวด้วยน้ําเสียงห้าวหาญ “ศิษย์ผู้นี้จะต้องทําให้สำเร็จอย่างแน่นอนและนําความรุ่งเรืองมาสู่ยอดเขาเทียนเยว”
“ดีมาก,ปลุกเมฆานิรันดร์นี้ยังมีพื้นที่ให้เติบโต อีกเจ็ดวันก่อนที่จะถึงการทดสอบศิษย์แก่นกลาง ไม่จําเป็นที่เจ้าจะต้องเข้าร่วมการฝึกพิเศษของยอดเขาเทียนเยว่ จดจ่อไปที่การบรรลุปลุกเมฆานิรันดร์ไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม จากนั้นจะไม่มีใครในระดับขอบเขตเดียวกันมาเทียบเคียงกับเจ้าได้” ผู้อาวุโสสามกล่าวพร้อมกับเขามองไปที่จางเลี่ย
เมื่อจางเลี่ยได้ยินเช่นนั้น,เขาเผยสีหน้าเป็นสุข เขาเพียงบรรลุปลุกเมฆานิรันดร์มาได้ไม่นาน หากเขาต้องการที่จะฝึกฝนมันจนถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม,เขายังต้องใช้เวลา สิ่งที่ผู้อาวุโสสามกล่าวเป็นตัวช่วยเขาอย่างมาก”
“ขอบคุณท่าผู้อาวุโสสาม ข้าจะไม่ทําให้ท่านผิดหวังเมื่อเวลานั้นมาถึง
ภายในปา,ที่ภูเขาด้านหลังของยอดเขาฉิงหยุน,เซี่ยวเฉินเก็บกระบี่ลงฝัก ต้นไม้ทุกต้นในรัศมี 1000 เมตรด้านหน้าของเขาหักครึ่งที่ลําต้นอย่างเป็นระเบียบพร้อมกับเสียง “เฟียว”
แสงกระจายออกไปราวกับกระแสน้ําพลุ่งพล่าน,ทําให้ต้นไม้โดยรอบเปลี่ยนกลายเป็นฝุ่นผง,เติมเต็มและร่องลอยไปในอากาศ
“ที่กษะหระบี่หลิงหยุน…มันเป็นความจริงที่ว่ามันเคยเป็นทักษะระดับปฐพีขั้นสูง พลังอํานาจของมันไม่ได้ไกลจากทักษะต่อสู่ระดับสวรรค์ หากข้าได้บรรลุถึงสองกระบวณท่าสุดท้าย,ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะกลายเป็นแข็งแกร่งถึงเพียงใด” เซี่ยวเฉินกล่าวพร้อมกับจ้องมองไปที่ฉากเบื้องหน้าในปาเขาอยู่ในอารมณ์วูบไหว หลังจากที่กินดอกดาวเรืองแสงไหลเข้าไปเพิ่มความสามารถในการเข้าใจของเข้าไปเหนือจินตนาการ
เซี่ยวเฉินบรรลุทั้งหมดสิบห้ากระบวณท่าของทักษะกระบี่หลิงหยุนที่ต้องการความเข้าใจระดับสูงได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ เขาแม้กระทั่งเข้าใจถึงกระบวณท่าที่สิบหกของทักษะกระบี่หลิงหยุนโดยไม่ได้ตั้งใจ – ปลุกเมฆานิรันดร์
ที่เรียกว่า “ปลุกเมฆานิรันดร์” คือสําเร็จโดยการเปลี่ยนกระแสพลังของผู้บ่มเพาะพลังให้เป็นเส้นสาย, ขยายออกไปในขีดจํากัด จนกระทั่งดูราวกับจางหายไปจากนั้นก็ทําให้มันระเบิดออกมาอย่างรุนแรง
เมื่อเป็นเช่นนั้น,ชื่อของกระบวณท่าต่อไป-เบี่ยงวิถีรอบยอดเขา หมายความเช่นไร? เซี่ยวเฉินเอนตัวพิงต้นไม้และครุ่นคิด
ศาลากระบี่สวรรค์,เทือกเขาหลิงหยุน,ยอดเขาเปยเฉิน,ภายในป่าศิลา
มีชายหนุ่มไม่สวมเสื้อ,ร่างกายแข็งแกร่งกล้ามเนื้อกํายํา เขากําลังฝึกฝนแปดกระบวณท่ากระบี่พื้นฐานด้วยมือที่วางเปล่ายของเขา
มีชายชรายืนอยู่ที่ด้านข้างของเขา,กําลังมองดูอย่างไร้สีหน้า
ไม่มีกระบี่ในมือของเขา แต่เขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างประณีตใช้ออกแปดกระบวณท่ากระบี่พื้นฐานได้อย่างลื่นไหล มันราวกับว่าตัวเขานั้นเป็นกระบี่สมบัติที่ไม่ได้อยู่ในฝักมือของเขาส่องแสงเฉียบคม,เผยเจตนาฆ่าฟันออกมา
“เสี้ยว!”
เขาก้าวขึ้นหน้าและใช้ฝ่ามือของเขาแทนกระบี่สับลงไปที่ก้อนหินสูงสองเมตรด้านหน้าของเขา ไร้ซึ่งเสียงดังระเบิดแต่มุมของก้อนหินถูกตัดออกราวกับเต้าหู้
“เสี้ยว! เสี้ยว!”
เขาเคลื่อนไหวฝามือของเขาอีกสองสามครั้ง,รวดเร็วจนไม่อาจมองทัน หลังจากนั้น,เขาถอนมือของเขากลับมาและส่งสายลมออกไปเล็กน้อยด้วยการซัดฝามือของเขา ก้อนหินสูงสองเมตร ทันใดนั้นก็กลายเป็นชิ้นเปลี่ยนไปเป็นก้อนหินเล็กนับไม่ถ้วนทลายลงมากับพื้น
เมื่อชายชราด้านข้างของเขาเห็นดังนั้น,รอยยิ้มเผยออกมาจากใบหน้าไร้สีของเขาเมื่อครู่และเขากล่าวขึ้น “ร่างกายเหมือนกระบี่ เจ้าฝึกฝนมันมาเป็นสิบปีราวกับวันเดียว ตอนนี้ในที่สุดเจ้าก็ทําให้มันคงจนถึงระดับสมบูรณ์ขั้นต้น ไม่เลวๆ”
ความรู้สึกบนใบหน้าทรงสี่เหลี่ยมของเขาไม่เปลี่ยนแปลง,ไร้ซึ่งสุขหรือโศก,เขานิ่งเป็นท่อนไม้ “น่าเสียดาย,การบ่มเพาะพลังของข้าค่อนข้างล่าช้า ข้าอายุได้สิบเก้าปีเรียบร้อยแล้ว แต่ข้าก็ยังคงอยู่ที่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ขั้นต้น”
ที่โลกเบื้องล่างเทือกเขา ผู้ที่สามารถขึ้นมาถึงระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นต้นได้ก่อนที่จะอายุสิบเก้านับได้ว่าเป็นอัจฉริยะ ไม่ว่าเจ้าจะก้าวเดินไปทางใด
อย่างไรก็ตาม ในศาลากระบี่สวรรค์ที่เต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ ความสามารถเช่นนี้จัดได้ว่าย่ําแย่ นอกจากนั้น ยังอาจจะอันตรายถึงขั้นถูกไล่ออกจากเทือกเขา
ตามกฏของศาลากระบี่สวรรค์หากผู้ใดที่ไม่สามารถขึ้นไปถึงระดับขอบเขตนักบุญได้ก่อนที่จะอายุยี่สิบห้า,พวกเขาจะถูกถอนออก จาการเป็นศิษย์ชั้นใน หากพวกเขาต้องการที่จะอยู่บนเทือกเขาห ลิงฟยุนต่อไปเพื่อบ่มเพาะพลัง,พวกเขาจําเป็นที่จะต้องจ่ายหินวิญ ญาณจํานวนหนึ่งเป็นประจําทุกเดือน
ชายชรากล่าว “มู่เหิง ตั้งแต่วันแรกที่เจ้าเลือกเส้นทางนี้ เจ้าคว รจะรู้ว่าเส้นทางที่เจ้าเลือกเดินเป็นเช่นไร เจ้าจะต้องอดทนต่อ ความเปล่าเปลี่ยวของการเป็นรอง หากเจ้าสามารถประสบความสํา เร็จก่อนที่จะอายุสามสิบ,มันก็เป็นสิ่งที่ต้องขอบคุณพระเจ้าแล้ว มัน ลิขิตไว้ให้เจ้าไร้ตัวตนในช่วงแรกของชีวิต”
ผู้ที่ถูกเรียกว่า “มู่เหิง” ได้เลือกเส้นทางที่แตกต่างไปจากนักบ่ม เพาะพลังส่วนใหญ่เปลี่ยนร่างกายของเขาให้เป็นกระบี่ใช้ร่างกาย เพื่อพิสูจน์เตของเขา
มู่เหิงเกือบจะยอมแพ้เรื่องการบ่มเพาะพลังปราณไปแล้ว กลับกัน,เขาจดจ่อไปกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งร่างกายของเขาไม่หยุดหย่อน ลับคมร่างของเขาให้เป็นกระบี่พิเศษล้ําค่าและเฉียบคม
มันมีหลากหลายเส้นทางที่จะไปสู่ยอดแห่งการบ่มเพาะพลังยุทธ ผู้บ่มเพาะพลังส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้อาวุธ,หรือไม่ก็ก็พึ่งพาหมัดหรือขาของพวกเขา
พวกเขาบ่มเพาะทักษะกระบี่ทุกประเภท,ทักษะหมัด,ทักษะขา,และทักษะต่อสู้อื่นๆที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขา พวกเขาจะพึ่งพาความสามารถในการเข้าใจถึงอาวุธ,หมัด,และขาเพื่อที่จะปีนป่ายขึ้นไปสู่ยอดสุดของเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังยุทธ
ยังมีคนอีกจํานวนหนึ่งที่ไม่อาจหลอมรวมจิตวิญญาณยุทธของพวกเขาขึ้นมาได้ พวกเขายอมแพ้ที่จะบ่มเพาะพลังปราณและทุ่มเทไปกับการเสริมสร้างร่างกายของพวกเขาใช้ร่างกายของพวกเขา พิสูจน์เต๋าของพวกเขา
อย่างไรก็ตามเส้นทางที่มู่เหิงเลือกเดินคือการผสมผสาน ดังนั้น,เส้นทางนี้จึงยากลําบากที่จะก้าวเดิน อย่างไรก็ตาม หากได้ประสบความสําเร็จ,มันอาจจะสามารถสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกา
มีคําพูดที่ว่า: “คําพูดไม่มีน้ําหนักนอกจากเจ้าจะทําให้โลกตะลึง,บินสูงเท่าใดก็ไร้ความหมายหากเจ้าไปไม่ถึงสวรรค์” มันมีข่าวลือ มาว่าแม้จักรพรรดิกระบี่เองก็ได้เดินเส้นทางสายนี้เช่นกันในอดีต
มู่เหิงหยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่บนก้อนหิน จากนั้นเขาก็กล่าวกับชายชราอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อ,ข้าจะเข้าร่วมการทดสอบศิษย์แก่นก ลางในครั้งนี้”
ชายชราเผยสีหน้าสับสน “เจ้าอยากจะเข้าร่วมการทดสอบศิษย์แก่นกลางของปีนี้? ด้วยสถานะของข้าท่านเข้ายอดเขา เปยเฉิน,ไม่มีความจําเป็นที่เข้าจะต้องเข้าร่วมการทดสอบ สถานะศิษย์แก่นกลางไม่มีความจําเป็นสําหรับเจ้า”
มู่เหิงกล่ายอย่างเฉยเมย “ข้าอยากจะพิสูจน์ตัวเองกับคนอื่น ทุกปีที่ผ่านมา,ข้าได้ยินข่าวลือมาหนาหู,ทุกคนล้วนกล่าวว่าท่านนั้น ได้มีบุตรชายเป็นขยะ ข้าจะคว้าที่หนึ่งในการทดสอบศิษย์แก่นกลางในครั้งนี้ พิสูจน์ว่าพวกมันคิดผิด”
ชายชรายิ้มบางเบาและที่เล่นที่จริงกับสถานะการณ์นี้ “ก็แค่เรื่องซุบซิบของพวกขี้นินทาเจ้าไม่มีความจําเป็นต้องเก็บไปใส่ใจ เจ้าเพียงต้องจดจ่อไปกับการบ่มเพาะของเจ้า ทั่วทั้งอาณาจักรต้าฉินอันยิ่งใหญ่จะไม่เพียงพอที่จะแบกรับความสําเร็จของเจ้า”
หลังจากที่ท่านเจ้ายอดเขาเปยเฉินกล่าวจบ,เขาก็หันกลับเพื่อที่จะจากไป มู่เหิงรู้สึกไม่พึงพอใจเล็กน้อยพร้อมกับเรียกออกไป “ท่านพ่อ,ข้าก็ยังคงต้องพิสูจน์คุ้นต่าของตัวข้า ข้าอยากที่จะเข้าร่วมศึกใหญ่เพื่อที่จะวัดความแข็งแกร่งของตัวเอง”
ชายชราหยุดฝีเท้าและครุ่นคิดลึก ผ่านไปครู่หนึ่ง,เขาก็กล่าวขึ้น “ข้าจะเก็บไปคิด!”
ขณะที่การทดสอบศิษย์แก่นกลางใกล้เข้ามาทุกที, บรรยากาศทั่วทั้งเทือกเขาหลิงหยุนก็กลายเป็นหนักขึ้น
วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปและในไม่ช้าก็เหลือเพียงสามวันที่การทดสอบศิษย์แก่นกลางจะมาถึง
ยอดเขาฉิงหยุน, พื้นที่ประลอง
หลิวหรูเยวคิ้วขมวดเล็กน้อยและถามขึ้น “ล้มเหลวอีกแล้ว?”
เซี่ยวเฉินค่อยๆเดินออกมาจากค่ายกลกระบี่สัมบูรณ์โบราณและยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าได้ไปแตะขอบของมันแล้ว แต่ข้ายังคงไม่สามารถข้ามผ่านเข้าไปได้”
ในครึ่งเดือนที่ผ่านมา,หลิวหรูเยว่ได้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะผลักดันความเข้าใจในการฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันของเซี่ยวเฉิน อย่างไรก็ตาม,พวกเขาก็ล้มเหลวในท้ายที่สุด
มันแทบจะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สิ่งเดียวมี่เซี่ยวเฉินสําเร็จก็คือค่ายกลกระบี่สัมบูรณ์โบราณ เซี่ยวเฉินได้บรรลุบางอย่างของเจตนารมณ์อัสนีและได้พัฒนามันขึ้นอย่างมาก
ขณะที่เซี่ยวเฉินเข้าใจในเจตนารมณ์อัสนีมากขึ้น เขาสามารถรู้สึกได้ว่าเขานั้นกําลังเข้าใกล้ขอบของฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจมั่นใจได้ ดังนั้นเขาต้องละทิ้งมันเอาไว้ก่อน
เมื่อหลิวหรูเยว่ได้ยินเช่นนั้น นางกล่าวอย่างหดหูใจ “ตั้งแต่โบราณกาล,ไม่มีใครเคยได้ยินเกี่ยวกับการใช้วิธีภายนอกเพื่อเข้าใจฟังสภาวะฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันได้มาก่อน บางทีข้าอาจ จะมองโลกในแง่ดีเกินไปตั้งแต่ต้น,บางทีข้าคงจะไร้ความสามารถ
เมื่อเซี่ยวเฉินเห็นถึงสถานการณ์,เขารีบปลอบหลิวหรูเยว่ “ พี่สาวหรูเยว่ เจ้าทํามามากพอแล้ว อย่างกล่าวเช่นนั้น มิฉะนั้น,ข้าจะรู้สึกไม่ดี”
เมื่อหลิวหรูเยว่ได้ยินเช่นนั้น,นางเผยรอยยิ้มขมๆและกล่าวขึ้น “อีกสามวันจะถึงการทดสอบศิษย์แก่นกลางไปเตรียมตัว ไม่ต้องมาทดลองทําความเข้าใจฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันสักสองสามวัน ข้าจะใช่เวลานี้ไปเพื่อลองคิดหาวิธีอื่น”
เซี่ยวเฉินหยัหน้าเมื่อได้ยินดังนั้นกําหนดการการทดสอบศิษย์ แก่นกลางได้ใกล้เข้ามา มันถึงเวลาที่จะปักหลักและตระเตรียมทุกอย่างที่เขาได้ร่ําเรียนมา
“เย่เฉิน,เจ้าล้มเหลวอีกแล้วหรือ?” หลิวสุยเฟิงค่อยๆเดินเข้ามา พร้อมกับถือกระบุไว้ในมือ