Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 219 การทดสอบศิษย์แก่นกลาง
ตอนที่ 219 การทดสอบศิษย์แก่นกลาง
นับตั้งแต่ที่หลิวสุยเฟิงกลับลงมาจากจุดยอดเขา เขาก็ได้ฝึกหนักยิ่งกว่าปกติ:เขาไม่ได้ออกจากยอดเขาฉิงหยุนมาตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา
หลิวหรูเยว่รู้สึกแปลกที่จู่ๆก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ นางได้ถามเซี่ยวเฉินว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เซี่ยวเฉินเชื่อว่าหลิวสุยเฟิงนั้นคงไม่อยากให้พี่สาวของเขารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงทําได้เพียงบอกนางว่าเขาก็ไม่รู้อะไร
เซี่ยวเฉินพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาหยิบเอากลีบดอกดาวเรืองแสงไหลออกมาจากแหวนห้วงจักรวาลและยื่นให้กับหลิวสุยเฟิง “นี่สําหรับเจ้า มันน่าจะช่วยเจ้าได้ก่อนที่จะถึงการทดสอบศิษย์แก่นกลาง
หลิวสุยเฟิงมองไปที่กลีบดอกดาวเรืองแสงไหล เขาเต็มไปด้วยความงุนงงพร้อมกับถามขึ้น “นี่คือดอกอะไร? กลิ่นของมันเข้มข้นมาก”
เมื่อกลิ่นของดาวเรืองแสงไหลพุ่งออกไป,มันดึงดูดความสนใจของหลิวหรูเยว่ในทันที เมื่อนางเห็นดอกดาวเรืองแสงไหลในมือของหลิวสุยเฟิงนางก็เผยสีหน้าประหลาดใจ นางรีบเดินตรงเข้ามาและ ถามขึ้นด้วยน้ําเสียงตกตะลึง “ดอกดาวเรืองแสงไหล? เย่เฉิน,เจ้าไป ได้มันมาจากไหน? อ้าเนี่มันไม่ใช่ดอกดาวเรืองแสงไหลทั่วไป,มันเกือบจะไปถึงสมบัติระดับอมตะ”
หลิวหนูเยว่หยุดลงหลังจากกล่าวไป.สีหน้าของนางเปลี่ยนจากตกตะลึงเป็นตกใจ นางรีบคว้าดอกดาวเรืองแสงไหลจากมือของหลิวสุยเฟิงและยื่นมันกลับไปให้เซี่ยวเฉิน “เยาเฉิน,ดอกดาวเรืองแสงไหลนี้มันล้ําค่ามากเกินไป สุยเฟิงรับมันเอาไว้ไม่ได้”
“ดอกดาวเรืองแสงไหล?” หลิวสุยเฟิงสีหน้าเปลี่ยน “ดอกดาวเรืองแสงไหลในตํานานที่สามารถยกระดับความสามารถในการเข้าใจ และช่วยชุบร่างกายให้เกิดใหม่?!”
เซี่ยวเฉินโบกมือและหยิบเอาออกมาอีกกลีบ “มันเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่ข้าพบในเหมืองวิญญาณ ข้าได้ใช้มันไปแล้วหนึ่งกลีบ,ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้ไปมากกว่านี้ ข้าก็ได้เตรียมอีกหนึ่งกลีบไว้ให้พี่สาวหรูเยว่ สําหรับตอนที่กําลังจะทะลวงขึ้นระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ แต่ข้าจะให้มันไปเสียเลยในตอนนี้”
หลิวหรูเยว่เป็นคนซื่อตรงตลอด เมื่อนางได้ยินถึงเรื่องราวทั้งหมด,นางก็รับมันเอาไว้และกล่าวอย่างขอบคุณกับเซี่ยวเฉิน “ พวกเราทั้งสองติดหนี้เจ้าก้อนใหญ่”
สีหน้าของหลิวสุยเฟิงเปลี่ยนเป็นจริงจังเช่นกัน เขาตบลงที่หลังของเซี่ยวเฉินซ้ําๆและกล่าวขึ้น “พี่น้อง,ข้าจะจดจําเรื่องนี้เอาไว้ ด้วยดอกดาวเรืองแสงไหลกลีบนี้ไม่มีปัญหาที่ข้าจะทะลวงขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญในสิ้นปีนี้”
“ใครจะรู้,พวกในสามวันนี้,ข้าอาจจะบรรลุถึงที่กษะกระบี่ผ่าภูผาและฝึกฝนขึ้นไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม ข้าจะผ่านการทดสอบและกลายเป็นศิษย์แก่นกลาง”
สามวันต่อมา,ที่ด้านหลังของยอดเขาฉิงหยุน:
บยอดเขา!”
เซี่ยวเฉินยืนอยู่ในป่าและหันกลับ เขายิงออกอย่างรวดเร็วไปด้านหน้าของเขาและกระบี่ในมือของเขาเคลื่อนไหวเป็นประกาย ลมหมุนรุนแรงก่อตัวขึ้นโดยรอบ,มุ่งหน้ามายังคมกระบี่สีขาวหิมะของกระบี่เงาจันทร์
กระแสพลังของเขารวมตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปครู่หนึ่ง,ยอดเขาเล็กควบรวมขึ้นที่ด้านหลังของเซี่ยวเฉิน กระแสพลังของเขาทันใดนั้นเร่งขึ้นถึงขีดสุด,ราวกับว่าเขากําลังยืนอยู่บนจุดยอดภูเขา
ไม่! ยังไม่ใช่ เจตนารมณ์ของเบี่ยงวิถีรอบขุนยอดเขาจะต้องไม่ใช่แบบนี้ เซี่ยวเฉินทันใดนั้นก็ส่ายหัวและครุ่นคิดกับตัวเอง ความหมายของเบี่ยงวิถีรอบยอดเขาเป็นผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงที่ค้นพบเมื่อไปถึงจุดสิ้นสุด
อย่างไรก็ตามเจตนารมณ์ที่ข้าได้แสดงออกมาตอนนี้เข้าถึงความไม่เกรงกลัวและคับแค้น,แต่กระแสพลังดุร้ายรุนแรงและกระหายชัยชนะ มันไม่มีการเบี่ยงบิดแม้แต่น้อย
ความงุนงงปรากฏขึ้นในใจของเซี่ยวเฉิน กระแสพลังที่เขาควบรวมขึ้นมาก็รั่วไหล ยอดเขาเล็กด้านหลังของเขาทันใดนั้นก็หายลับไปสู่ความว่างเปล่า
เขาถอนกระบี่ของเขากลับมาใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย นี่เป็นผลย้อนกลับจากกระบวนท่าที่ล้มเหลว
“ไม่เป็นไร,ดูเหมือนเวลานั้นยังมาไม่ถึง มันเป็นเพียงการทดสอบศิษย์แก่นกลาง ด้วยความแข็งแกร่งของข้า แม้ว่าจะปราศจากการบรรลุถึงสิ่งนี้, กระบวณท่าที่สิบหกของที่กษะกระบี่หลิงหยุนก็เพียงพอที่จะผ่านไปได้” เซี่ยวเฉินกล่าวขึ้นหลังจากที่เขาควบคุม พลังปราณที่ปั่นป่วนในร่างของเขา
เช้าวันต่อมา ท้องฟ้าเพิ่งจะแจ้ง หลิวหรูเยว่และหลิวสุยเฟิงก็ได้ มาถึงที่ลานบ้านของเขาแล้ว มีนกสีเขียวยืนนิ่งเงียบอยู่ที่ด้านข้างของพวกเขา
“ได้เวลาไปแล้ว ข้าจะไม่ได้ไปส่งพวกเจ้าทั้งสองที่การทดสอบศิษย์แก่นกลาง สุยเฟิงรู้สถานที่ ข้าขอให้พวกเจ้าโชคดี” หลิวหรูเยว่ยิ้มบางไปที่เซี่ยวเฉิน ผู้ที่เพิ่งเดินออกมา
เซี่ยวเฉินพยักหน้าและกระโดดขึ้นไปบนนกสีเขียวที่ นกสีเขียวกระพือปีกของมันอย่างแรง,เกิดเป็นสายลมรุนแรงพร้อมกับทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า มันโผไปในแสงอาทิตย์ที่สาดส่องและบินไปทางทิศตะวันออก
สายลมไหลผ่านหูของพวกเขา เซี่ยวเฉินยืนอยู่ด้านหลังของหลิวสุยเฟิง เขาสามารถรู้สึกได้ว่ากระแสพลังของหลิวสุยเฟิงแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าจากสามวันก่อน เขาพูดขึ้น “ยินดีด้วย ความแข็งแกร่งของเจ้าเพิ่มขึ้นอย่างมากภายในสามวันที่ผ่านมา”
หลิวสุยเฟิงเผยรอยยิ้มพึงพอใจ “อืม! มันต้องขอบคุณดอกดาวเรืองแสงไหลที่เจ้ามอบให้ข้า ข้าฝึกฝนทักษะกระบี่ผ่าภูผาจนถึงระดับสมบูรณ์ขั้นต้นได้ภายในสามวัน ด้วยการใช้ทักษะระดับปฐพีนี้ ข้าเชื่อว่าข้าจะกลายเป็นศิษย์แก่นกลางได้ภายในปีนี้”
“การทดสอบศิษย์แก่นกลางมันยากนัก? ทําไมข้ารู้สึกว่าเหล่าศิษย์แก่นกลางพวกนั้นไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมาย?” เซี่ยวเฉินถามขึ้นขณะที่เขายืนอยู่ด้านหลังของหลิวสุยเฟิง
สีหน้าของหลิวสุยเฟิงจมลึก เขาพยักหน้าและพูดขึ้น “ยากสาหัส จาก 5,000 ศิษย์ชั้นทั่วทั้งศาลากระบี่สวรรค์, มีเพียง 500 ที่นั่ง สําหรับศิษย์แก่นกลาง”
“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า,การทดสอบศิษย์แก่นกลางน่าจะไม่ใช่ปัญหา เหตุที่ว่าทําไมเจ้าถึงไม่ได้พบเจอกับศิษย์แก่นกลางที่แข็งแกร่ง มันเป็นเพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนฝึกฝนตัวเองอยู่ภายนอก พวกเขาจะไม่กลับมาที่ศาลากระบี่สวรรค์จนกว่าจะถึงสิ้นปี”
ศาลากระบี่สวรค์,ฐานส่องสวรรค์, พื้นที่ฝึก
พื้นที่ผู้ชมหนาแน่นไปด้วยศิษย์ชั้นใน พวกเขามาที่นี่เพื่อชมการทดสอบศิษย์แก่นกลางที่จัดขึ้นปีละครั้ง และมีส่วนร่วมในความตื่นเต้น
งานนี้เป็นรองเพียงสงครามจัดอันดับในตอนสิ้นปี หลายคนเลือกที่จะวางสิ่งที่กําลังทําและเข้ามาชมความตื่นเต้นที่นี่ แม้พวกเขาจะไม่ได้เข้าร่วมก็ตาม
มีผู้อาวุโสหลายคนนั่งอยู่บนฐานสูง พวกเขาเป็นคนจากสภาสูง:พวกเขาเป็นผู้คุมกฏที่แท้จริงของศาลากระบี่สวรรค์
เจ็ดท่านเจ้ายอดเขานั่งอยู่ที่ด้านข้างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง อย่างไรก็ตาม,ไม่มีใครรู้สึกถึงอารมณ์ของพวกเขาในตอนนี้
ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่จํากัดของศาลากระบี่สวรรค์, แม้แต่ท่านเจ้ายอดเขาก็ไม่มีอํานาจที่จะแต่งตั้งศิษย์แก่นกลางขึ้นมา เพื่อที่จะกลายเป็นศิษย์แก่นกลางผู้นั้นจะต้องผ่านการทดสอบที่จัดขึ้นมาโดยโถงหลักเท่านั้น
เป็นเป็นวิธีวัดระดับที่ดียิ่งว่ายอดเขาใดที่แข็งแกร่งที่สุดะยิ่งมีศิษย์แก่นกลางเยอะ,ยอดเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่ง
ในตอนนี้ ยอดเขาที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือยอดเขาเทียนเยว่ พวกเขาจับจองที่นั่งศิษย์แก่นกลางไปเกือบครึ่ง,ซึ่งมากกว่า 200 คน
นอกจากยอดเขาฉิงหยุนที่อ่อนแอที่สุดและยอดเขาสตรีหยกที่ล้วนมีแต่สตรี,ยอดเขาอื่นมีความแข็งแกร่งที่ทัดเทียมกันมาก ไม่มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างพวกเขา
ซึ่งเฉวผู้ที่เป็นไอ้ด้วนแขนเดียวไม่ได้มีเปลวแสงในดวงตามากนัก เขาได้เสียแขนไปหนึ่งข้าง เป็นผลให้เขาสูญเสียการแข่งขันในการขึ้นบนท้านเจ้าศาลา
ทันใดนั้น,ซ่งเฉียวมองออกไปไกลและจ้องมองไปที่ท่านเจ้ายอดเขาเทียนเยว่ผู้นิ่งสงบ เหลิ่งเทียนเฉิง เขายิ้มและกล่าวขึ้น “ดูเหมือนพี่เหลิ่งจะกล่าวตําแหน่งศิษย์แก่นกลางถล่มทลายอีกแล้วในครานี้ ข้าสงสัยว่ายอดเขาเทียนเยว่จะส่งสานุศิษย์เข้ามาเท่าไหรในครั้งนี้”
เหลิ่งเทียนเจิ้งจ้องมองไปยังซ่งเฉว่และหัวเราะเย็นชาในใจของเขา เขารอยยิ้มอ่อนพร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย “ประมาณหนึ่งร้อยได้,ข้าก็ไม่แน่ใจนัก”
เมื่อท่านเจายอดเขาอื่นได้ยินดังนั้น,พวกเขาสีหน้าเปลี่ยน มันมีเพียง 50 ตําแหน่งศิษย์แก่นกลางในการทดสอบแต่ละปี แม้ว่าจะมีผู้มากพรสวรรค์มากมายเพียงใด,จํานวนที่นั่งก็ไม่มีเพิ่มขึ้น
ศิษย์ชั้นในผู้ที่ต้องการจะเข้าร่วมการทดสอบศิษย์แก่นกลางจะต้องยกระดับพลังให้ถึงขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูงก่อนที่จะอายุสิบเก้าปี ยอดเขาอื่นอย่างดีที่สุดก็มีศิษย์เพียงยี่สิบกว่าคนที่สามารถผ่านข้อกําหนดนี้
เมื่อเทียบกับยอดเขาเทียนเยา,พวกเขาไม่มีค่าให้กล่าวถึง หากพวกเขาอยากจะแข่งขัน, พวกเขาไม่มีทางที่จะชนะได้ ดูเหมือนยอดเขาเทียนเยว่จะกวาดที่นั่งไปอย่างน้อยก็ครึ่งนึงในการทดสอบศิษย์แก่นกลางครั้งนี้
ค่าตอบแทนและเบี้ยเลี้ยงศิษย์แก่นกลางมันมากกว่าศิษย์ชั้นในทั่วไปอย่างน้อยก็สามเท่า การบ่มเพาะพลังของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
หากทุกที่นั่งถูกยอดเขาเทียนเยว่กวาดเอาไปเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องลืมเกี่ยวกับการขึ้นแซงยอดเขาเทียนเยว่ไปอีกยาวนาน;พวกเขามีเพียงถูกกดข่มเอาไว้
เมื่อพวกเขาคิดถึงตรงนี้,ท่าเจ้ายอดเขาอื่นๆต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน มีความช่วยไม่ได้เจืออยู่ในสายตาของพวกเขา
ความมืดมัวเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นในสายตาของซ่งเฉว เขาเหล่มองไปที่หลิวหรูเยว่และกล่าวขึ้น “ถึงอย่างไร, ข้าเกรงว่าคงไม่มีใครจากยอดเขาของพี่เหสิ่งที่จะขึ้นเป็นที่หนึ่ง”
ท่านเจ้ายอดเขาว่านเหริน ว่านเฟิง ผู้ที่นั่งด้านข้างของเขาเกิดไม่เข้าใจ จึงถามขึ้น “ทําไม? อันดับหนึ่งตกเป็นของยอดเขาเทียนเยว่ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา”
ซึ่งเฉวจ้องมองไปที่หลิวหรูเยว่อย่างเย็นชาพร้อมกับกล่าวขึ้น “ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่น้องว่านยังไม่ทราบ ศิษย์แก่นกลางของเจ้า
-หยางฉี ถูกโค่นลงโดยศิษย์ใหม่ของท่านเจ้ายอดเขาหลิวที่โถงคุณความชอบ นอกจากนั้น เขายังไม่ต้องใช้ถึงหนึ่งร้อยกระบวณท่า”
“นอกจากนั้นยังมีกระบี่เร็วหลินเฟิง เขาเป็นที่ขบขันเสียยิ่งกว่าเขาล้มลงด้วยกําปั้นเดียว”
ว่านเพิ่งเผยสีหน้างุนงง เขามักจะเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษ หากไม่ใช่เพราะการทดสอบศิษย์แก่นกลางมันสําคัญยิ่ง เขาก็คงไม่ออกมา ดังนั้น เขาไม่รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเทือกเขานัก
ว่านเฟิงหน้าตึงเล็กน้อย,มองหน้าผู้อาวุโสยอดเขาว่านเหรินที่อยู่ด้านหลังของเขา และถามขึ้น “ผู้อาวุโสซู, มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น?”
ผู้อาวุโสซูมีสีหน้าไม่น่าดู แต่เขาก็ยังคงบอกรายละเอียดทุกอย่างที่เขารู้กับว่านเฟิง
หลังจากที่ว่านเพิ่งฟังคําอธิบายจากผู้อาวุโสซูเขามีสีหน้ามืดมัว เขามองไปที่หลิวหรูเยว่และถามขึ้น หลังจากที่ไม่ได้ออกมาเสียระยะหนึ่ง,ยอดเขาฉิงหยุนในตอนนี้ก็ได้มีผู้สืบทอดที่คาดไม่ถึง
หลิวหรูเยว่ไร้สีหน้านางรู้ว่าซ่งเฉวพยายามจะสร้างความขัดแย้ง นางจ้องมองซ่งเฉวอย่างเย็นชาและกล่าวอย่างไม่แยแส “เจ้าเหลือเพียงแขนเดียวแต่ความคิดยังชั่วร้ายเหมือนเดิม ระวังเอาไว้ เดี๋ยวเจ้าจะกัดลิ้นตัวเองขาดไปอีก”
ขณะที่ซ่งเฉิวกําลังจะกล่าวตอบโต้,เหลิ่งเทียนเจิ้งมองไปที่เขาอย่างรังเกียจ “น้องซ่ง เจ้ายุ่งเพียงเรื่องของตัวเองเถอะ เป็นการดีที่สุดที่จะพูดน้อยเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น”
ท่าเจ้ายอดเขาสตรีหยก,ผู้ที่นิ่งเงียบมาตลอด,กล่าวขึ้น “น้องซ่ง,ตามจริงไม่จําเป็นต้องไปตัดสินเรื่องนี้รวดเร็วนัก ความแข็งแกร่งของหยางฉีในหมู่ศิษย์แก่นกลางก็นับได้ว่าไม่โดดเด่นนัก มันก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่จะมีศิษย์ชั้นในล้มเขาลงได้ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นทุกปีภายในศาลากระบี่สวรรค์”
“นอกจากนั้น,หมัดที่ล้มหลินเฟิงลงได้ยังมีค่าให้พูดถึงเสียมากกว่าไม่มีเรื่องอะไรให้แปลกใจเกินไปนัก ที่สําคัญยิ่งกว่านั้น,ข้าได้ยินมาว่ายอดเขาเทียนเยว่เมื่อเร็วๆนี้ได้รับศิษย์เข้ามาใหม่ เขาได้ฝึกฝนทักษะกระบี่หลิงหยุนจนถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม ไม่มีใครที่ฝึกฝนทักษะกระบี่หลิงหยุนจนไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยมมานานนับร้อยปีแล้ว”
เขาฝึกฝนทักษะกระบี่หลิงหยุนจนไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม! เมื่อคนที่เหลือได้ยินเช่นนี้,พวกเขาต่างเผยสีหน้าตะลึง นั่นมันเทียบเท่าได้กับทักษะกระบี่ระดับปฐพีขั้นสูง หากเขาสามารถฝึกฝนมันจนไปถึงขั้นยอดเยี่ยม,จะไม่มีนักบ่มเพาะพลังที่อยู่ระดับขอบเขตเดียวกันคนใดจะมาเทียบชั้นกับเขาได้