Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 237 ต้นกําเนิดปัญญายุทธอีกชิ้นหนึ่ง?
- Home
- Immortal and Martial Dual Cultivation
- บทที่ 237 ต้นกําเนิดปัญญายุทธอีกชิ้นหนึ่ง?
ตอนที่ 237 ต้นกําเนิดปัญญายุทธอีกชิ้นหนึ่ง?
ดาบหักเล่มนี้ดูคล้ายกับดาบไม้อัสนีของจักรพรรดิอัสนี้เป็นอย่างมากในตอนที่เขาพบมัน นอกจากจะคมอย่างเหลือเชื่อ,มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษอีก อย่างไรก็ตาม,ในตอนที่เขาวางมันลงคู่กับกระบี่เงาจันทร์มันส่งปฏิกิริยารุนแรงออกมาเพวกมันทั้งสองเล่มดึงดูดซึ่งกันและกัน
เซี่ยวเฉินอยากจะหลอมมันมานานแล้ว น่าเสียดาย,เพลิงแท้อัสนีม่วง, ที่สามารถหลอมละลายดาบไม้อัสนี้ได้ไม่สามารถหลอมดาบเล่มนี้ได้
ตอนนี้เพลิงแท้อัสนีม่วงได้ขึ้นมาถึงระดับต่อไป เซี่ยวเฉินเตรียมพร้อมที่จะลองดูอีกครั้ง เพื่อดูว่ามันจะมีปฏิกิริยาเช่นไรเมื่อเขาลองหลอมมันอีกครั้ง
เชี่ยวเฉินเรียกเพลิงแท้อัสนีม่วงออกมา จากนั้นเขาก็เดินไปตรงจุดกึ่งกลางของเปลวเพลิงพร้อมกับดาบหักในมือสัมผัสวิญญาณของเขาห่อหุ้มรอบๆดาบหักพร้อมกับลอยเข้าไปในจุดกึ่งกลางของเปลวเพลิง
“ฟู่!”
ในจังหวะที่เปลวเพลิงสัมผัสเข้ากับดาบหัก,มันยิงเส้นประกายสายฟ้ารุ่งโรจน์ออกมาทันที,แตกตัวอย่างต่อเนื่อง
ควันสีดําผุดออกมาจากผิวของดาบหัก รูปร่างของดาบดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในทันที ฝุ่นผงบนตัวดาบถูกล้างออก, และมันก็ได้เปล่งประกายออกมาอีกครั้ง
“เว่ง! เว่ง!” กระบี่เงาจันทร์ในมือซ้ายของเซี่ยวเฉินสั่นไหวมันสั่นไหวแรงขึ้นและแรงขึ้นท้ายที่สุด,เซี่ยวเฉินเกือบจะจับมันเอาไว้ไม่อยู่
“เป็นไปได้ว่าดาบหักเล่มนี้ก็บรรจุชิ้นส่วนต้นกําเนิดปัญญายุทธเอาไว้ด้วยเช่นกัน?” เซี่ยวเฉินกล่าวกับตัวเอง
ต้นกําเนิดปัญญายุทธคือหลังฉีจู่โจมที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นเพราะมันทรงพลังมากเกินไป,มันจึงถูกแบ่งออกเป็นหกส่วน,แต่ละส่วนถูกบรรจุลงในอาวุธกิ่งศักดิ์สิทธิ์
ในอดีต จักรพรรดิอัสนี้ได้ทุ่มเทเวลากว่าครึ่งชีวิตในการตามหาต้นกําเนิดปัญญายุทธอีกห้าส่วนที่เหลือ ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าเขารวบรวมมันมาได้กี่ชิ้นและเขาได้รับอะไรมาบ้าง
เป็นใครกันที่สามารถทําร้ายจักรพรรดิและทําลายดาบไม้อัสนีของเขา ทําให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผนึกดาบหักเล่มนั้นเอาไว้ในเสาศิลาแสงจันทร์นับพันปี
ไม่มีใครในยุคนี้ที่รู้ถึงคําตอบ ในตอนนั้น ด้วยดาบไม้อัสนีที่อยู่ในมือของเขาเขาไร้เทียมทานภายใต้สวรรค์ ด้วยอายุยังน้อย,เขาได้ต่อสู้ประมือทั่วทั้งอาณาจักรต้าฉินไม่มีใครที่อาจกดเขาลงได้
ภายในทวีปเทียนหวู่เขาก็นับได้ว่าคือผู้เชี่ยวชาญ จํานวนผู้ที่สามารถต่อกรกับความแข็งแกร่งเต็มกําลังของเขานับได้ด้วยมือเดียว เช่นนั้นเป็นใครกันที่ไล่ต้อนเขาไปถึงจุดจบได้?
นอกจากอ่าวเจียวไม่มีใครรู้ถึงคําตอบ อย่างไรก็ตาม อ่าวเจียวก็เลี่ยงที่จะตอบคําถามนั้น,ไม่ให้เซี่ยวเฉินรู้ มันชัดเจนว่านางกลัวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน
เซี่ยวเฉินได้คาดเดาด้วยตัวเอง จักรพรรดิอัสนีจะต้องพบอาวุธกิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกห้าชิ้นที่เหลือที่บรรจุต้นดลกําเนิดปัญญายุทธเอาไว้
อย่างไรก็ตามในตอนที่เขาต้องการจะผสานพวกมันเพื่อก่อกําเนิดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ มีบางคนทําร้ายเขา อาวุธกิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นกระจายหายไปอีกครั้ง และดาบไม้อัสนีก็หักเป็นสองท่อน
เป็นใครที่จะกลัวถึงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่กําลังจะก่อกําเนิด? คําตอบมันชัดเจน:มันก็คือหนึ่งในผู้ที่ครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์เอาไว้อย่างแน่นอน
เนื่องจากวันที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างขึ้นมา มันมีเพียงสิบชิ้นที่จะคงอยู่ มันดูเหมือนว่าแม้แต่สวรรค์ก็เกรงกลัวอาวุธศักดิ์สิทธิ์
ตราบใดที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นใหม่ก่อกําเนิดขึ้นมา, จะต้องมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ร่วงหล่น จํานวนของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจจะมากกว่าสิบชิ้น
ผู้ครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์เกรงกลัวว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะร่วงหล่น ดังนั้นเขาเลือกที่จะตัดไฟแต่ต้นลม,พึ่งพาอํานาจของอาวุธศักดิ์สิทธิ์เพื่อล้มจักรพรรดิอัสนี
การคาดเดานี้มีน้ําหนักอย่างมาก แต่ไม่มีหลักฐานใดมารองรับ ดังนั้นเซี่ยวเฉินไม่กล้าที่จะมั่นใจนัก,ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขา
อุณหภูมิที่ต้นกําเนิดเพลิงแท้อัสนีม่วงสูงกว่าเมื่อก่อนไปหลายเท่ามันร้อนไปถึงระดับที่น่ากลัว,อุณหภูมิห้าพันองศา,เป็นอย่างน้อย
เซียวเฉินสํารวจดาบหักอย่างละเอียดและค่อยๆเริ่มที่จะหลอม มันเปลี่ยนไปเป็นของเหลวและหยดลงมาด้านล่าง
“ฟี่! ฟี่!”
ในทันทีที่โลหะเหลวหยดลงมา,มันลอยไปยังฝักกระบี่ที่บรรจุกระบี่เงาจันทร์เอาไว้ในมือซ้ายของเซียวเฉิน มันราวกับมีชีวิต มันมุ่งหน้าไปยังปากฝักกระบี่,พยายามจะเข้าไปในฝักและผสานเข้ากับกระบี่เงาจันทร์
พร้อมเสียง “ปุ” ฝักกระบี่ที่ดูธรรมดาก็ปลดปล่อยพลังงานอัน น่ากลัวออกมา,ดีดโลหะเหลวที่ลอยเข้ามา
เซี่ยวเฉินส่งสัมผัสวิญญาณของเขาและรวบรวมเอาโลหะเหลวทั้งหมดที่อยู่ในอากาศ เขาคิ้วขมวดแน่นเขาไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ “เกิดอะไรขึ้น?”
ในตอนที่ดาบหักได้ละลายจนหมด,และโลหะเหลวทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกัน,มันยุบยวบไปมาเหมือนกับเยลลี่บนโลก มันช่างดูแปลกประหลาดนัก
“ฟู่!”
ทันใดนั้นมีร่างสีดําลอยออกมาจากโลหะเหลวที่รวมตัวกัน,มุ่งหน้าไปที่ใบหน้าของเซี่ยวเฉินอย่างรวดเร็ว
เซี่ยวเฉินเตรียมตัวไว้นานแล้ว เขาใช้สัมผัสวิญญาณสร้างม่านพลังขึ้นมาตรงหน้าของเขาในทันที ร่างสีดําชนเข้ากับกําแพงและกระด้อนกลับ
“โอ๊ย! โอ๊ย!” ร่างสีดําร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เซี่ยวเฉินในที่สุดก็สามารถมองเห็นร่างนั้นได้อย่างชัดเจน เขาดูเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ:ไม่มีความแตกต่าง
อย่างไรก็ตาม มันดูอ่อนแรงเป็นอย่างมาก ร่างของมันส่งกระแสพลังปีศาจออกมา ทําให้ทําให้รู้สึกไม่อยากเข้าใกล้
“เช่นนั้น,มันก็คือจิตวิญญาณของอาวุธกิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพราะดาบหักเล่มนั้นไม่ได้ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างเหมาะสม,มันจึงกลายเป็นจิตวิญญาณชั่วร้าย”
ตอนนี้เซี่ยวเฉินรู้แล้วว่ามันคืออะไร,เขาจึงไม่ลังเล ไม่น่าแปลกใจว่าทําไมผักกระบี่ถึงได้ต่อต้านสิ่งนี้,ต้านมันไม่ให้ผสานเข้ากับกระบี่เงาจันทร์ เป็นเช่นนี้นี่เอง
หลังจากที่จิตวิญญาณอาวุธกลายไปเป็นจิตวิญญาณชั่วร้าย,มันจะสูญเสียจิตสํานึกไปทั้งหมด มันได้เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดที่รู้เพียงการฆ่า หากมันผสานเข้ากับอาวุธวิญญาณ,มันจะเปลี่ยนอาวุธวิญญาณให้กลายเป็นอาวุธปีศาจ,เป็นภัยต่อโลกใบนี้
ภายในทวีปเทียนหวี่เมีผู้บ่มเพาะพลังปีศาจมากมายที่เก็บรวบรวมจิตวิญญาณชั่วร้าย,บ่มเพาะให้พวกมันกลายเป็นอาวุธปีศาจเพื่อ เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง
หากจิตวิญญาณชั่วร้ายตนนี้,ที่เคยเป็นจิตวิญญาณอาวุธของอาวุธกิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ครอบงํากระบี่เงาจันทร์,กระบี่เงาจันทร์จะกลายไปเป็นอาวุธปีศาจแบบพิเศษในทันที
อย่างไรก็ตาม หลังจากจิตวิญญาณชั่วร้ายตนนี้อยู่ภายใต้การเผาผลาญของเพลิงแท้อัสนีม่วง,ความแข็งแกร่งของมันลดลงอย่างเห็นได้ชัด มันไม่แม้แต่จะเจาะทะลวงกําแพงที่เซี่ยวเฉินกางเอาไว้ กลับกัน,มันถึงกับบาดเจ็บเสียเอง
จิตวิญญาณชั่วร้ายนี้ดูเหมือนจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเซี่ยวเฉิน มันร้องออกมาและพยายามจะบินหนีออกไป
“หนี? เจ้าคิดว่าจะรอด? เพลิงแท้อัสนีม่วง,ยิง!”
ขณะที่เซียวเฉินเห็นจิตวิญญาณชั่วร้ายพยายามจะหนีเขายิ้มขึ้นและเปลี่ยนเพลิงแท้อัสนีม่วงให้กลายเป็นลูกศรแหลม ขณะที่ยิงออกไป,มันทิ้งหางดาวตกยาวไว้ด้านหลัง
มันราวกับเส้นประกายสายฟ้ารุ่งโรจน์พุ่งผ่านไปด้วยความเร็วเหนือเสียงและไล่ทันหลังก่อนที่จะแทงทุละจิตวิญญาณชั่วร้ายในทันที
“บูม!”
เปลวเพลิงสีม่วงระเบิด:พลังของต้นกําเนิดเปลวเพลิงถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ประกายสายฟ้าสว่างวาบไปทั่วผืนป่าราวกับเที่ยงวัน จิตวิญญาณชั่วร้ายสีดําร้องออกมาอย่างน่าเวทนาและหายไปสู่ความว่างเปล่า,ถูกลบหายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์
เซี่ยวเฉินรู้สึกถึงพลังปราณที่เสียไปและก็ถอนหายใจ “ข้าใช้ออกไปเพียงสองครั้ง และข้าก็ผลาญพลังปราณไปจํานวนมหาศาล ดูเหมือนว่าข้าจะใช้กระบวณท่านี้ไว้เป็นไพ่ตายเท่านั้น”
หลังจากที่จิตวิญญาณชั่วร้ายตกตายลง,โลหะที่หลอมเหลวมาจากกระบี่หักเล่มนนั้นก็ลอยมายังกระบี่เงาจันทร์อีกครั้ง ครั้งนี้ ฝักกระบี่อันแปลกประหลาดนี่ก็ไม่ได้ต่อต้าน มันปลดปล่อยกระบี่เงาจันทร์ที่พยายามจะออกมา
คมกระบี่สีขาวของกระบี่เงาจันทร์สั่นสะเทือนในอากาศอย่างต่อเนื่อง โลหะเหลวดูเหมือนจะซึมเข้าไปข้างในมัน:มันไม่ได้ก่อให้เกิดละลอกคลื่นพร้อมกับผสานเข้ากับกระบี่เงาจันทร์อย่างสมบูรณ์
เมื่อหยดสุดท้ายของโลหะเหลวผสานเข้ากับกระบี่เงาจันทร์,มันกลายเป็นสว่างเจิดจ้ายิ่งขึ้น
เซี่ยวเฉินยื่นมือของเขาออกไปและจับกระบี่เงาจันทร์เอาไว้ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของกระบี่ที่เพิ่มขึ้นมาได้ในทันที กระบี่เงาจันทร์ได้เลื่อนจากเดิมที่ระดับปฐพีขั้นต่ำไปเป็นระดับปฐพีขั้นกลาง
น่าเสียดาย,เซี่ยวเฉินไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่า “ต้นกําเนิดปัญญายุทธเซียวเฉินค่อนข้างผิดหวัง ในเมื่อมันไม่มีต้นกําเนิดปัญญายุทธ,ทําไมอ่าวเจียวถึงได้บอกให้ข้าหลอมดาบเล่มนี้โดยเร็วที่สุด?
ในเมื่อเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ เขาก็พับมันเก็บไว้ก่อน นี่เป็นสิ่งที่เชี่ยวเฉินทําอยู่ตลอด เขาไม่มัวเสียเวลาไปกับปัญหาที่ไม่อาจคลี่คลายได้ ทุกสิ่งอย่างจะปรากฏเองเมื่อถึงเวลาของมัน
นี่มันดึกมากแล้ว หลังจากที่เลื่อนขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญ.มันมีด้านอื่นๆที่พัฒนาขึ้นมาเช่นกัน แต่มันไม่สะดวกที่เชี่ยวเฉินจะไปไล่ตรวจดูทุกอย่าง มีเวลาอีกสามวันมันจะเพียงพอหรือไม่ที่จะให้เขาปรับความเสถียรของการบ่มเพาะพลัง
สามวันผ่านไปในพริบตา เซี่ยวเฉินปรับปรุงเสถียรภาพการบ่มเพาะพลังของเขาในตลอดสามวันที่ผ่านมา ในตอนที่มีบางสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ เขาจะไปขอคําชี้แนะจากหลิวหรูเยว่โดยตรง
หลิวหรูเยว่ขึ้นระดับขอบเขตนักบุญมานานกว่าเซี่ยวเฉินอย่างมาก ดังนั้น,นางจึงมีประสบการณ์มากกว่า นางถ่ายทอดทุกอย่างที่นางรู้โดยไม่มีกักเก็บเอาไว้
ยกตัวอย่าง,นางสอนเขาถึงความรวดเร็วในการควบรวมกระบี่ฉี,ทําอย่างไรถึงจะเร็วขึ้น และทําอย่างไรให้ใช้พลังปราณน้อยที่สุดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด
ความสามารถในการเข้าใจของเซี่ยวเฉินแต่เดิมก็สูงอยู่แล้ว หลังจากที่เขากินดอกดาวเรืองแสงไหล,ความสามารถในการเข้าใจของเขายกเพิ่มสูงขึ้นไปอีก เขาสามารถเข้าใจถึงสิ่งที่หลิวหรูเยว่อธิบายภายในหนึ่งรอบ เขายังสามารถครุ่นคิดหลายสิ่งได้พร้อมกัน
ทั้งหมดเป็นประโยชน์กับเซี่ยวเฉินในทุกทางความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนท้องฟ้ายามค่ำคืนปราศจากหมู่เมฆ สามารถมองเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนทอแสงระยิบระยับบนฟ้ามืด,ช่างเป็นฉากที่สวยงาม
พรุ่งนี้, พวกเขาจะจ่ายภารกิจ เซี่ยวเฉินว่าจะไม่บ่มเพาะพลัง ในคืนนี้เขาตั้งใจจะนอนให้เต็มอิ่มเพื่อฟื้นจิตวิญญาณของเขา
สําหรับนักบ่มเพาะพลัง, ผลจากการนั่งทําสมาธิดีกว่าการนอนหลับพักผ่อน ดังนั้น ผู้บ่มเพาะพลังหลายคนจึงเลือกที่จะบ่มเพาะพลังมากกว่าหลับนอน
ทําเช่นนั้นไม่ได้ส่งผลอะไรต่อจิตวิญญาณ,แต่มันไม่สามารถขึ้นไปถึงระดับที่จิตวิญญาณได้ผ่อนคลายโดยสมบูรณ์ ถึงอย่างไร เมื่อบ่มเพาะพลัง,จิตใจของพวกเขาก็ยังคงตื่นตัว จะรู้สึกถึงถึงการเคลื่อนไหวของสายลมและใบหญ้าในทันที
ดังนั้น การนอนหลับถึงจะเรียกได้ว่าทั่งทั้งร่างกายได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง มันทําให้จิตวิญญาณ,ฉี,และจิตใจของผู้บ่มเพาะพลังฟื้นคืนถึงระดับสูงสุด
ขณะที่เซียวเฉินเอนหลังลงบนเตียง,เขาหลับตาลง,ทําจิตใจให้โปร่ง หลังจากสิบนาที, ลมหายใจของเขานิ่งสงบ,หน้าอกของเขาขึ้นลงไปตามการหายใจ ไม่ช้า เขาก็ค่อยๆเข้าสู่ความฝัน
เซี่ยวเฉินมึนงงอยู่ระยะเวลาหนึ่ง จากนั้น,ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น ฉากเบื้องหน้าของเขาไม่ใช่ห้องของเขาอีกต่อไป
มีหมู่เมฆล้อมรอบในพื้นที่:ดวงอาทิตย์ส่องแสงบนท้องฟ้า เมื่อเขามองไกลออกไป สิ่งปลูกสร้างมากมายที่ดูเล็กราวกับเม็ดปรากฏขึ้นในสายตาของเขา นี่เป็นหนึ่งในภูเขาของเทือกเขาหลิงหยุน
นี่ข้าฝัน? เซี่ยวเฉินครุ่นคิดสับสน นี่เป็นเพราะช่วงเวลาในพื้นที่แห่งนี้ไม่ตรงกับที่ควรจะเป็น ที่สําคัญที่สุดก็คือเขาไม่อาจสลัดความรู้สึกมึนงงออกไปได้
เมื่อเขาหันไปรอบๆ เขามองเห็นท่าเจ้ายอดเขาฉิงหยุนคนก่อน,บิดาของหลิวหรูเยว่,หลิวเทียนยู่,กําลังอยู่บนก้อนหิน
ใบหน้าสูบผอมของหลิวเทียนยู่เต็มไปด้วยความลุ่มลึกไม่ได้ที่นตกใจเขาเพียงมองเซี่ยวเฉินอย่างนิ่งเงียบ “เจ้าดูเหมือนไม่ได้ประหลาดใจ”
เซี่ยวเฉินคาดเดาไว้แล้วว่าคนผู้นี้คือคนที่เข้ามาในความฝันของเขา,ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ประหลาดใจ ถึงอย่างไร,ภายในศาลากระบี่สวรรค์,เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่เซียวเฉินสามารถนึกออกผู้ที่มีจิตวิญญาณแข็งแกร่งเช่นนี้และสามารถทะลวงการป้องกันของเขาได้
เซี่ยวเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่มีอะไรต้องแปลกใจ:ข้าเพียงไม่เคยเจอคนที่เข้ามาแทรกแซงความฝันของข้ามาก่อน ต้องขออภัย!”
หลังจากที่เซียวเฉินพูดจบ,ฉากโดยรอบทันมดนั้นก็แปรเปลี่ยน หมู่เมฆและสายลมกลายเป็นภาพลวง;เมฆม้วนกลับ,และมิติทันใดนั้นก็แตกสลายราวกับแก้ว