Immortal and Martial Dual Cultivation - บทที่ 240 เอาอะไรมาวัด? กระบี่ในมือข้าไง!
- Home
- Immortal and Martial Dual Cultivation
- บทที่ 240 เอาอะไรมาวัด? กระบี่ในมือข้าไง!
Immortal and Martial Dual Cultivation ตอนที่ 240 เอาอะไรมาวัด? กระบี่ในมือข้าไง!
ตอนที่ 240 เอาอะไรมาวัด? กระบี่ในมือข้าไง!
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงคําที่แสนธรรมดา แต่มันกลับแบกพลังมหาศาล มันดังกึกก้องไปในหูของทุกคน,ไม่มีใครกล้าที่จะไม่เชื่อฟัง
เขาได้บีบอัดความแข็งแกร่งของจิตเข้าไปในคําพูดของเขา,เซี่ยวเฉินครุ่นคิดกับตัวเองอยู่เงียบๆ เขาตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณของเขาและสามารถรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน เจียงชื่อได้ผสานความแข็งแกร่งทางจิตของเขาลงไปในคําพูด
มิฉะนั้น,มันคงไม่ส่งผลถึงเพียงนี้ออกมา เมื่อเขามีโอกาสเขาควรจะลองดูบ้าง เซี่ยวเฉินมีความเข้าใจถึงคํานี้อยู่บ้าง
เจียงชื่อพึงพอใจกับปฏิกิริยาของฝูงชน หลังจากที่พึมพํากับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง,เขาก็กล่าว “ภารกิจนี้กําลังจะเริ่มขึ้น ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่จะคาดเดาได้ถึงความสําคัญของภารกิจนี้ ภารกิจที่ทําให้ศาลากระบี่สวรรค์เรียกใช้คําสั่งชุมนุมกระบี่จักรพรรดิ
“ภารกิจนี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของศาลากระบี่สวรรค์ ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุ่มเททุกอย่างดีที่สุด หลังจากที่ภารกิจนี้เสร็จสิ้น,ทุกคนจะได้รับหินวิญญาณระดับกลางหนึ่งร้อยก้อน เจ้ายังสามารถเลือกทักษะต่อสู้ระดับปฐพีขั้นสูงสุด,อาวุธวิญญาณ,และชุดเกราะศึก ไปได้”
สิ้นเสียงของเขา, ทุกคนล้วนตกตะลึง พวกเขาไม่คาดคิดว่ารางวัลจากศาลากระบี่สวรรค์จะมากมายเช่นนี้
หินวิญญาณระดับกลางหนึ่งร้อยก้อนแลกเปลี่ยนเป็นหินวิญ ญาณระดับต่ําได้หนึ่งหมื่นก้อน แน่นอนไม่มีใครโง่พอที่จะเอาหินวิญญาณระดับกลางไปแลกเปลี่ยนเป็นหินวิญญาณระดับต่ํา นี่เป็นเพียงแค่การเปรียบเทียบเท่านั้น
สําหรับนักบ่มเพาะพลังที่ขึ้นมาถึงระดับขอบเขตนักบุญ,หินวิญญาณระดับต่ําไม่เพียงพอสําหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาจะสิ้นเปลืองหินวิญญาณระดับต่ําอย่างมากในหนึ่งวัน นอกจากนั้น ผลของมันยังไม่มากเท่าแต่ก่อน
เมื่อก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลาง,ผลของหินวิญญาณระดับต่ําจะยิ่งอ่อนลงไปอีก เมื่อก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูง,หินวิญญาณระดับต่ําจะส่งผลเพียงฟื้นฟูพลังงานจิตวิญญาณเท่านั้น มันจะไม่ช่วยในการบ่มเพาะพลังอีกต่อไป
นี่เป็นเพาะพลังงานจิตวิญญาณภายในหินวิญญาณระดับต่ํามันเบาบางเกินไป ถึงจุดนั้น,พวกเขาสามารถชดเชยได้ เพียงนําไปแลกเปลี่ยนเป็นหินวิญญาณระดับกลางเท่านั้น
หากทั้งหมดหนึ่งร้อยสามารถกลับมาได้พร้อมความสาเร็จ,ศาลากระบี่สวรรค์จะต้องจ่ายหินวิญญาณระดับกลางถึงหนึ่งหมื่นก้อน เซี่ยวเฉินเดาว่ามันต้องเป็นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของที่ศาลากระบี่สวรรค์มีเก็บเอาไว้
ถึงอย่างไรเหมืองวิญญาณภายในอาณาจักรต้าฉันก็ไม่ได้ระดับสูงมากนัก มันเป็นการยากที่ใครสักคนหนึ่งอยากจะได้รับหินวิญญาณระดับกลาง
จางเล่ย.ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง,ถอนหายใจ “มากมายอะไรเช่นนี้ ตระกูลจางของข้าสะสมมานับร้อยปีในเมืองหยุนหยาง,และพวกเรามีเก็บไว้เพียงสิบก้อน พวกเขาจะไปกล้าแตะต้องมันได้อย่างไร”
เซี่ยวเฉินคิ้วขมวดแน่น:เขาคิดไปไกลกว่านั้น รางวัลของภารกิจ ปกติมันจะขึ้นอยู่กับความอันตรายของภารกิจ รางวัลยิ่งสูง,อันตรายยิ่งมาก
เจียงชื่อชี้ไปที่อู่เฉินและหลิวหรูเยว่ ผู้ที่อยู่ด้านหลังของเขา จากนั้นเขาก็กล่าวต่อ “ลู่เฉินและหลิวหรูเยว่จะรับผิดชอบในปฏิบัติการครั้งนี้ หลังจากนี้, พวกเจ้าจะถูกแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม หัวหน้าทีมคือสิบอันดับต้นในรายชื่อเมฆล่องลอย หากพวกเจ้ามีคําถามอะไร,พวกเจ้าสามารถถามกับหัวหน้าทีมได้โดยตรง”
“หัวหน้าทีมมีอํานาจเด็ดขาดในภารกิจครั้งนี้ พวกเจ้าจะต้องทําตามคําสั่งของหัวหน้าทีม พวกเราจะแบ่งที่มและออกเดินทางในสิบนาที”
หลังจากนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ถูกแบ่งออกเป็นสิบทีม การจัดสรรพึ่งดวงเพียงเท่านั้นไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน มู่เหิง, จางเล่ย,และ เซี่ยวเฉินทั้งหมดถูกจัดมาอยู่ทีมเดียวกัน อีกหกคนคือศิษย์แก่นกลางที่พวกเขาไม่รู้จัก
หัวหน้าทีมของพวกเขาคือสานุศิษย์หญิงเพียงผู้เดียวที่อยู่ในสิบอันดับแรก,หยุนเข่อซิน นางแต่งชุดสีขาว และมีความสงบบนใบหน้าที่ละเอียดลออของนาง มีกระบี่เล่มบางแขวนอยู่ที่เอวของนางพร้อมกับนางเดินตรงมาที่พวกเขาอย่างสบายๆ
เมื่อหยุนเข่อซินเห็นพวกเขา,นางกวาดตามองพวกเขาทั้งหมด นางกล่าวขึ้น “บอกชื่อและระดับการบ่มเพาะพลังของพวกเจ้า แจ้งจุดแข็งและธาตุของจิตวิญญาณยุทธของพวกเจ้า เริ่มจากเจ้าก่อน”
หยุนเข่อซินชี้ไปที่เซี่ยวเฉิน เซี่ยวเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว “ยอดเขาฉิงหยุน,เย่เฉิน ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้น จุดแข็งของข้าคือทักษะเคลื่อนไหวและทักษะกระบี่หลิงหยุน จิตวิญญาณยุทธของข้าคือธาตุสายฟ้า”
เมื่อเซี่ยวเฉินกล่าวถึงธาตุจิตวิญญาณยุทธของข้า,แววตาประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาอันนิ่งสงบของหยุนเข่อซิน นางจดจ้องไปที่ใบหน้าของเซี่ยวเฉิน
จากนั้นที่เหลือก็ว่าต่อ “ยอดเขาเปยเฉิน,มู่เหิง ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นต้น ข้ามีความพิเศษในการป้องกัน จิตวิญญาณยุทธของข้าคือธาตุไม้”
“ยอดเขาเทียนเยว่,จางเล่ย ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้น ข้าไม่มีจุดแข็งเป็นพิเศษ จิตวิญญาณยุทธของข้าคือธาตุลม”
“ยอดเขาเขียนตัวน,เกาเชียง ระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลาง ความพิเศษของข้าคือการจู่โจมจิตวิญญาณยุทธของข้าคือธาตุไฟ”
หลังจากทั้งหมดอีกเก้าคนแนะนําตัวเองจบ,พวกเขาก็เข้าใจกันและกันมากขึ้น
หยุนเข่อซินหยักหน้าเล็กน้อยและชี้ไปทางเซี่ยวเฉิน “นับจากนี้ เจ้าคือรองหัวหน้าทีม ไม่นับข้า,เจ้ามีอํานาจมากที่สุด”
ไม่ได้มีแค่เซี่ยวเฉินที่ประหลาดใจ แต่ที่เหลืออีกแปดคนก็ประหลาดใจสุดขีด โดยเฉพาะเกาเชียงจากยอดเขาเชียงต้วน ระดับขอบเขตพลังของเขาสูงที่สุดในหมู่สิบคนตรงนี้สูงกว่าแม้แต่ตัวหยุนเข่อซิน
เกาเชียงไม่พอใจอยู่แล้วที่ได้หยุนเข่อซินมาเป็นหัวหน้าทีม อย่างไรก็ตาม,นางติดหนึ่งในสิบอันดับต้น ความแข็งแกร่งของนางชัดเจน,ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับไป
อย่างไรก็ตาม,ตอนนี้เขาถึงกับให้ผู้ที่เพิ่งจะขึ้นระดับขอบเขตนักบุญมาเป็นรองหัวหน้าทีม เกาเชียงทนไม่ได้
เกาเชียงสูดหายใจเย็นชาและกล่าว “ให้เขาเป็นรองหัวหน้า วัดจากอะไร? เจ้าไม่เข้าใจหรือ,ในระดับขอบเขตนักบุญ,ความแตกต่างของแต่ละขั้นนับได้เป็นร้อยเท่า”
ไม่มีความผันผวนบนสีหน้าของหยุนเข่อซิน นางตอบกลับอย่างสงบ “เหตุผลก็คือเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้า นอกจากนั้น,ธาตุสายฟ้าจะดึงความได้เปรียบมหาศาลในภารกิจครั้งนี้”
เกาเชียงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “เจ้าเล่าเรื่องตลกอยู่? ผู้ที่เพิ่งจะก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญจะแข็งแกร่งไปกว่าข้า,ระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลาง?”
“ซี่!”
สิ้นคําพูดของเกาเชียง,เขาได้ยินเสียงเสียดแทงใกล้กับหูของเขา,ก้องกังวาลซ้ําๆ จิตใจของเขาว่างเปล่าไปชั่วครู่
ในจังหวะที่สติของเขากลับคืนมาและดึงกระบี่ใหญ่บนหลังของเขาออกมาได้ครึ่งเล่ม,ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่ามีกระบี่กว้างสองนิ้วยาว 6.6 เมตรมาอยู่ตรงหน้าอกของเขา เขาไม่รู้ว่ามันปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร
กระบี่ฉีกเสื้อผ้าของเขาเป็นชิ้นและทิ้งบาดแผลเล็กน้อยไว้บนหน้าอกของเขา
“ก้อง! ก้อง!”
หัวใจของเกาเชียงเต้นระรัวไม่อาจควบคุมได้เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นมาที่หน้าผากของเขา
ฉีฆ่าฟันอันน่าหวาดกลัววนเวียนอยู่ที่หน้าอกของเขา ราวกับว่าปลายกระบี่พร้อมจะแทงทะลุหนังของเขาและทุบหัวใจของเขาเป็นเสี่ยงๆ
อย่างไรก็ตาม, หยุนเข่อซินยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง มันราวกับว่า นางทําเป็นเรื่องขี้ปะติ้ว นางกล่าวด้วยเสียงนุ่ม,อ่อนโยน “ระดับข อบเขตนั้นสําคัญ แต่ในบางครั้ง,มันก็ไม่ได้เสมอไป โดยปกติข้ามีสายตาที่นอดเยี่ยม เจ้ามีข้อกังขากับสายตาของข้าหรือไม่?”
“ข้าไม่เข้าเพียงสงสัย” เกาเชียงดึงกระบี่ยักษ์ของเขาออกมาเพียงครึ่ง, น้ําเสียงของเขาสั่นเพิ่ม
“ฟู่ ฟิว!”
กระบี่ในมือของหยุนเข่อซินรุดขึ้นหน้าเล็กน้อย กดลงบนบาดแผลที่ซี่โครง นางถามอย่างไม่แยแส “เจ้ายังสงสัยอีกอีกหรือไม่?”
เกาเชียงไม่เคยรู้สึกความตายที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมขนาดนี้มาก่อน เขากล่าวอย่างตื่นกลัว “ไม่มีแล้ว! ไม่มี!”
“เคร้ง!” หยุนเข่อซินดึงกระบี่กลับเข้าฝัก สีหน้าหนักอึ้งของเกาเชียงผ่อนคลายลงในทันที เขาทรุดลงกับพื้น,สูดอากาศเข้าปอด
เซี่ยวเฉิน,มู่เหิง,และจางเล่ยต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน ความหมายของพวกเขาตรงกัน:หญิงสาวนางนี้ช่างน่ากลัว ประสบการณ์สองสามวินาทีนี้อาจจะกลายเป็นฝันร้ายของเกาเชียงไปตลอดกาล
หยุนเข่อซินเบนสายตาไปที่เซี่ยวเฉินและถามเขา “เจ้าล่ะ มีข้อสงสัยอะไรหรือไม่?”
เซี่ยวเฉินตอบตามตรง “ไม่!”
วิธีการที่หยุนเข่อซินจัดการตรงไปตรงมาและเด็ดขาด กล่าวตามตรง,มันเหมาะกับเซี่ยวเฉินเป็นอย่างยิ่งไม่มีข้อจํากัดหรือข้อบังคับที่ไม่จําเป็น
แม้ว่าเซี่ยวเฉินจะไม่ได้เกรงกลัวหยุนเข่อซิน,แต่ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องไปขัดแย้งอะไรด้วย ไม่มีปัญหาที่เขาจะเป็นรองหัวหน้า ตราบใดที่มันไม่เป็นอันตรายกับความปลอดภัยของเขา
ไม่มีสีหน้าอารมณ์ที่ชัดเจนบนใบหน้าของหยุนเข่อซิน นางพยักหน้า “ถึงเวลาคําถาม เจ้ามีเวลาเพียงห้านาที,ขอคําถามสั้นกระชับ”
เช่นเดียวกับทีมอื่นๆ สานุศิษย์อันดับต้นกําลังอธิบายหัวข้อของภารกิจให้กับคนอื่น
บางทีอาจจะเป็นเพราะการกระทําของหยุนเข่อซินเมื่อครู่ทําให้คนอื่นตกตะลึง,มีเพียงนิ่งเงียบทําหน้าเลิกลัก
เซี่ยวเฉินจัดระเบียบความคิดของเขาและถามขึ้น “รายละเอียด ของภารกิจคืออะไร? เป็นที่ไหนและพวกเราต้องทําอะไรบ้าง?”
หยุ่นเข่อชิ้นคิดไม่นานก่อนที่จะตอบคําถาม “รายละเอียดของภารกิจคือง่ายๆ เข้าไปในห้วงมิติระหว่างหุบเหวโลกปีศาจและทวีปเทียนหวู่และสังหารปีศาจมั้งหมดที่นั้น”
“ที่ตั้งของภารกิจคือมิติย่อย มิติย่อยตั้งอยู่ที่ด้านหลังของเทือกเขาหลิงหยุน, ประมาณห้าร้อยเมตรทางใต้ มีผนึกที่ป้องกันไม่ให้คนเข้าไป:สําหรับรายละเอียดอื่นๆข้าไม่แน่ใจนัก”
“พวกเราต้องการเพียงให้พวกเจ้าพยายามอย่างที่สุดสังหารปีศาจทั้งหมด,ป้องกันความเสียหายของผนึก”
เป็นคําตอบแบบสําเร็จรูปอย่างมาก เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น,พวกเขาต่างเหงื่อตกในใจ พวกเขาต้องสังหารปีศาจทั้งหมดในมิติย่อย:มันจะง่ายดายเช่นนั้น?
เมื่อจางเล่ยเห็นว่าหยุนเข่อซินดูเหมือนจะคุยด้วยง่าย,เขารีบถามขึ้น “พวกเราจําคํานวณรางวัลของภารกิจอย่างไร? พวกเราต้องสังหารมากขนาดไหนภารกิจถึงลุล่วง?”
รางวัลที่เป็นหินวิญญาณระดับกลางดึงดูดความสนใจของทุกคนไม่ใช่เพียงแค่จางเล่ย เมื่อจางเล่ยถามคําถามนี้ออกไป แม้แต่เกาเชียงก็ตั้งใจรอฟัง
ถึงอย่างไร,ทุกคนล้วนรู้ดีว่าศาลากระบี่สวรรค์ไม่ได้โง่เง่า พวกเขาคงไม่แจกจ่ายรางวัลด้วยหินวิญญาณ, ทักษะลับ,หรืออาวุธ เพียงแค่เข้าไปเดินเล่นในมิติย่อย มันจะต้องมีเกณฑ์ที่ชัดเจน
คําตอบของหยุนเข่อซินไม่ทําให้ทุกคนผิดหวัง นางกล่าวต่อ “เงื่อนไขการสําเร็จนับตามตัวบุคคล แต่ละคนจะต้องสังหารปีศาจให้ได้อย่างน้อยยี่สิบตน หลังจากสังหารปีศาจลงได้ มันจะมีแก่นกลางมารอสูร เจ้าเพียงต้องส่งมอบแก่นกลางมารยี่สิบก้อน หากมีเกินกว่านั้น,จะมีรางวัลพิเศษเพิ่มเติม
TL:แก่นกลางมาร ใช้คนละคํากับ แก่นกลางปีศาจจากในตอนการทดสอบปาทมิฬครับ คิดว่าสัตว์อสูรปีศาจต่างจากปีศาจในตอน
สานุศิษย์หญิงจากยอดเขากางอถามขึ้น “ภารกิจจะจบเมื่อไหร่? จะใช้เวลานานเพียงใด? พวกเราจะกลับออกมาในทันทีที่ทําสําเร็จได้หรือไม่?”
หยุนเข่อซินเงยหัวขึ้นมองดูที่พระอาทิตย์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น,นางกับก้มลงมาพร้อมตอบคําถาม “หมดเวลาห้านาที ข้าจะไม่ตอบคําถามอื่นเพิ่มแล้ว”
นางจับเวลาเป็นวินาทีจริงๆ เซี่ยวเฉินได้นับเวลาอยู่ในใจมันครบห้านาทีอย่างแม่นยํา หลังจากนั้น,บรรยากาศกลายเป็นมืดมัว ด้วยหยุนเข่อซินที่ยืนแยู่ตรงนี้ไม่มีใครกล้าถามคําถามเพิ่ม
การจัดการของสภาสูงค่อนข้างดี ทุกสิบคนจะมีหนึ่งหัวหน้าทีม หัวหน้าทีมจะอธิบายภารกิจให้กับอีกสิบคน มันประหยัดเวลาไปได้มาก
มิฉะนั้น,หากผู้อาวุโสหนึ่งต้องอธิบายทีละคําถามเช่นนั้นมันก็จะมีคําถามนับร้อย มันอาจจะกินเวลาไปเป็นครึ่งวัน ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดี