Infinite Competitive Dungeon Society - ตอนที่ 270
บทที่ 270 – คาฮาร์ (4)
ดูเหมือนว่าเจ้าชายแห่งจักวรรดิ์คราวิสจะไม่สามารถออกเดินทางไปค้นหากับเขาได้
“ฉันก็อยากไปนะ ฮีโร่คือความหวังของพวกเรา… แต่ว่าฉันออกไปไม่ได้ พ่อของฉันเพิ่งจะล้มป่วยเมื่อไม่นานมานี้ดังนั้นฉันจึงต้องอยู่ที่นี่”
“ฉันจินตนาการนายดูแลที่นี่ไม่ออกเลย”
“คุคุ ฉันรู้น่า พูดตามตรงฉันก็อยากจะไปดันเจี้ยนและไปคลั่งให้สะใจ”
คลั่งให้สะใจ? ฉันนึกออกแค่แต่มอนสเตอร์พุ่งเข้าใส่พอลอย่างบ้าคลั่งซะมากกว่า… แน่นอนฉันก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ยังไงที่นี่มันคือถิ่นของพอลเชียวนะ
พอลที่ฉันรู้จักในดันเจี้ยนต่างไปจากพอลที่ฉันเจอภายในห้องประชุมนี้เล็กหน้อย บางทีอาจจะเพราะว่าฉันคุ้นเคยกับตัวตนของเขาในดันเจี้ยนมากเกินไปจึงรู้สึกเหมือนว่าเหมือนกับว่าเขาเป็นเด็กที่ไม่กังวัลอะไรถูกบังคับให้ใส่ชุดที่มีฐานะว่าเจ้าชาย เขาดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้แต่บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเขาทำตัวแบบนั้นแค่ในดันเจี้ยนเท่านั้น เขาสามารถจะใช้ดันเจี้ยนเป็นตัวคลายเครียดก็ได้
แน่นอนว่านี้ก็แค่ความคิดเห็นของฉันเท่านั้นเอง มันอาจจะเป็นไปได้ว่าเขาไม่มีเซนต์ด้านการต่อสู้ก็ได้
ฉันได้เริ่มจ้องลงไปที่เทือกเขาเพรูต้าบนแผนที่
“เพรูต้า หือ”
“อ่าใช่แล้ว นายบอกว่านายอัญเชิญเพรูต้าได้ใช่ปะ? ฉันจำได้ว่านายเคยบอกเรียกนี้กับฉันเมื่อนานมาแล้ว”
“ใช่แล้ว ฉันเพิ่งจะเจอเขามาไม่นานนี้เองด้วย ฉันจะเรียนรู้วิชาหอกจากเขาเดือนละครั้ง”
พอลและเอลลอสได้แสดงท่าทางที่ตกใจออกมากับคำพูดของฉัน
“จริงหรอ? นายได้เรียนรู้วิชาหอกจากเพรูต้าหรอ? นี้มันน่าทึ่งมาก”
“ไม่สิ นั่นอาจจะไม่ใช่เพรูต้าคนเดียวกันกับตำนวนของทวีปเราก็ได้ เพรูต้าเป็นเทพระดับสูงจากตำนานการสร้างจักรวรรดิ ในฐานะที่เป็นเทพระดับสูงแล้วเขาอยู่ในระดับที่แตกต่างไปจากเทพองค์อื่นๆโดยสิ้นเชิง”
‘ถ้าพวกเขารู้ว่าฉันมีชื่อของเทพเจ้าระดับสูงองค์อื่นๆละก็พวกเขาอาจจะช็อคก็ได้ เอาเถอะ การประจักษ์แห่งไดฟิคแตกต่างไปจากชื่อที่แท้จริงของเทพ’
ในความเป็นจริงแล้วการใช้การประจักษ์แห่งไดฟิคไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับฉันในการต่อสู้อีกแล้ว แม้ว่าวิชาหอกของเพรูต้าและวงจรเพรูต้าที่เขาใช้จะแข็งแกร่งกว่าตัวฉัน แต่ฉันก็ยังมีเทคนิคที่เขาใช้ไม่ได้อยู่ อย่างเช่น โอเวอร์ลอร์ด
เพรูต้าไม่สามารถจะนำพลังของเขามาปรับใช้กับร่างกายของฉันได้อย่างเต็มที่ในขณะที่ฉันสามารถจะดึงพลังของตัวเองออกมาได้ด้วยโอเวอร์ลอร์ด แต่ยังไงก็ตามเพรูต้าก็ยังเป็นอาจารย์และที่ปรึกษาที่ดี
ในขณะนั้นฉันก็รู้สึกเสียใจที่ไม่เคยถามเพรูต้าเกี่ยวกับทวีปอีเดียสเลย ในท้ายที่สุดแล้วเอลลอสก็ได้พบข้อสรุปของเขา
“นั่นไม่น่าจะเป็นเพรูต้าก็ได้ ฮีโร่ที่ใช้หอกจากทวีปของเราส่วนใหย่ก็เรียกตัวเองว่าเพรูต้าอยู่แล้วดังนั้นคนที่คังชินอัญเชิญขึ้นมาอาจจะเป็นหนึ่งในนพวกนั้นก็ได้
“อืมม คงงั้นแหละ”
ฉันไม่ได้แย้งเอลลอสออกไปแต่ยังไงก็ตามฉันก็รู้ว่าเพรูต้าที่ฉันรู้จักก็คือคนที่มาจากตำนาน ดูเหมือนว่าตำนานนี้จะเป็นสิ่งที่มีค่ามากในทวีปของพวกเขา ตัวตนในตำนานที่พวกเขาบูชาอย่างมากกำลังสอนฉันอยู่ สอนคนที่ไม่ได้แม้แต่จะเป็นคนในทวีปเลยนะ ฉันสามารถจะเข้าใจในสิ่งที่พวกเขารู้สึกได้เลยนั่นจึงเป็นเหตุผลทำให้ฉันเงียบ
“ยังไงก็ตามทำไมสถานที่แห่งนั้นถึงถูกเรียกว่าเทือกเขาเพรูต้าล่ะ”
“มันก็ง่ายมาก ในตำนานนั่นเป็นที่ๆเพรูต้าได้หายไป”
นี้เป็นเรื่องที่ง่ายมากๆอย่างที่เอลลอสได้พูดออกมา ฉันได้รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเลย มีบางอย่างอยู่ที่นั่น สิ่งที่จะทำให้ฉันก้าวหน้าไปต่อได้ ฉันมั่นใจได้เลยว่าที่ทวีปอีเดียวนี้จะต้องมีร่องรอยที่เหลือไว้จากเพรูต้าอยู่ ฉันน่าจะมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว!
ไม่สิ มันก็ยังไม่ได้สายเกินไป เอลลอสได้บอกว่าที่นั่นเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในทวีป ถ้าฉันมาในก่อนหน้านี้ฉันอาจจะต้องกลับไปโดยไม่ได้อะไรเลยด้วยว้ำ ในตอนนี้มันเป็นเวลาที่ดีที่สุดแล้ว
“ชิน งั้นเขามาคุยกันเรื่องใครจะไปกับเราดีกว่า”
“โอ้ จริงสิ ฉันคิดอยู่แล้วว่าคงจะไม่ได้มีแค่ฉันกับนาย ในเมื่อพอลไม่ได้ไป นอกเหนือจากฉันกับนายแล้ว ฉันคิดว่าคู่มั่นของนา….”
ฉันได้มองไปนิ้วมือข้างซ้ายของเขา เอลลอสได้รีบเอามือไปซ่อนอย่างรวดเร็วแต่ฉันก็เห็นมันแล้ว
“….”
เขามีแหวนสีเงินสองวงอยู่บนนิ้วนางของเขา แหวนอันแรกใหญ่และหนา ส่วนอีกอันนั้นเล็ก เล็กจนมันให้ความรู้สึกว่ามันรัดนิ้วของเขา
ฉันได้หยุดหายใจไปและไม่สามารถจะพูดสิ่งที่พูดค้างไว้ต่อไป แต่ฉันก็ยังรู้ด้วยว่าฉันจะเงียบต่อไปแบบนี้ไม่ได้แต่ฉันก็คิดคำที่จะพูดออกไปไม่ได้ ในท้ายที่สุดแล้วฉันก็พูดได้แต่คำว่า
“ขอโทษ”
“ไม่ ไม่เป็นไร”
เอลลอสได้พูดขึ้นมาราวกับว่าเขารู้แล้วว่าฉันจะพูดอะไร ฉันไม่มีความมั่นใจที่จะมองหน้าของเขาแล้ว ฉันจำได้เสมอว่าเขามักจะพูดว่าเขาได้เตรียมพร้อมจะยอมรับกับความตายของเพื่อนมาเสมอแต่ว่ากับคู่มั่นของเขาล่ะ?
นี้มันเป็นไปไม่ได้
“ชิน ฉันไม่เป็นไร เพื่อเธอแล้วช่วยฉันหาฮีโร่ที”
“ได้เลย ฉันสัญญา ฉันจะช่วยฮีโร่ให้ได้”
“อื้อ… ขอบคุณนะ”
เขาได้ยิ้มขึ้นมาอย่าขมขื่น ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมในครั้งนั้นที่ฉันคุยกับเขาเขาดูจะเศร้าๆ
ในท้ายที่สุดคนในปาตี้ก็ได้แคบลงมาเหลือเพียงแค่ฉันกับเอลลอส การต่อสู้เพื่อปกป้องประชาชนของจักรวรรดิเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งของอัศวินมากกว่าการค้นหาฮีโร่อยู่แล้ว คนที่สามารถจะมามีส่วนร่วมกับภารกิจคนหานี้มีทหารรับจ้างต่างมิติเป็นส่วนใหญ่ซะมากกว่า
“นายอาจจะไม่สบายใจแต่ว่าไว้ใจฉันได้เลย ตอนนี้ฉันเลเวล 60 แล้ง ฉันไม่ถ่วงนายแน่”
“ฉันเชื่อใจนายอยู่แล้ว”
เอลลอสมักจะใช้เวลาอยู่ในสนามรบมากกว่าดันเจี้ยนอยู่แล้ว เมื่อคิดจากสิ่งนี้การพัฒนาของเขาก็จะต้องโดดเด่น แม้ว่าจะมีการฝึกเป็นส่วนตัวกับฮีโร่แต่มันก็จะเป็นไปไม่ได้เลยหากเขาไร้ฝีมือ ฉันรู้สึกประหลาดใจจริงๆ
แน่นอนมันเป็นเรื่องผิดมากที่คิดว่าฉันเป็นคนเดียวที่มีพรสวรรค์ ฉันยินดีกับศักยภาพนี้ของเขา เหตุผลที่ฮีโร่เลือกเขาเป็นลูกศิษย์ก็จะต้องมาจากเขาเห็นศักยภาพของเอลลอสเช่นกัน
“กลับมาอย่างปลอดภัยนะ อัศวินคนอื่นๆจะเตรียมพร้อมไว้เผื่อนายต้องการเสมอ”
พอลได้อวยพรให้เราโชคดี ฉันก็ยังอดไม่ได้ที่จะชินกับความเป็นเจ้าชายของเขา มันมีบางอย่างที่ทำให้ฉันรำคาญใจแต่ว่าฉันก็ฝืนยิ้มขึ้นและออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับเอลลอส ในห้องโถงนี้ลมเย็นสดชื่นได้พัดผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่เข้ามา
“โชคดีนะที่นี่เป็นฤดูใบไม้ร่วง ชิน ในช่วงฤดูร้อนภูติธาตุไฟชอบที่จะออกมาเล่นกันมากเกินไปและไฟจะลุกขึ้นบนอากาศมั่วไปหมด”
“ฉันน่าจะมาในช่วงฤดูร้อนเพื่อกำราบพวกนั้นนะ”
มันไม่สำคัญอยู่แล้วว่าสภาพอากาศมันจะเป็นยังไงเพราะว่าร่างกายของฉันไม่ได้รับผลจากเรื่องแบบนี้อีกต่อไปแล้ว
“แน่นอนว่ามอนสเตอร์ก็ยังคงบุกมาไม่ว่าจะอยู่ในฤดูไหน ก่อนที่เราจะได้เข้าไปในเขตของเทือกเขา พวกเราก็ยังจะต้องเจอกับพวกผู้บุกรุกมากกว่าที่นายคิดอีกนะชิน”
เรากำลังจะเข้าไปในดิ้นแดนของศัตรูและพวกมันก็ยังทำการค้นหาฮีโร่อย่างบ้าคลั่งอยู่แล้ว หากพูดกันตามตรงแล้วภารกิจนี้มันอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเรารู้ปลายทางอยู่แล้วแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไปถึงปลายทางนั่นได้อย่างสวัสดิภาพอยู่แล้ว
ในระหว่างนั้นเราก็ได้ออกมาจากเดินออกมาผ่านทางออกชั้นที่หนึ่ง เหล่าทหารและแม่ผ่านกำลังวิ่งวุ่นไปมา การที่ภายในพระราชวังมีการวิ่งวุ่นกันไปมาแบบนี้ก็เพื่อเตรียมการต่อสู้รบเด็ดขาดขึ้น การตัดสินใจและความตรึงเครียดได้แสดงออกมาให้เห็นภายทางสถานการณ์นี้
และมันก็เป็นแบบนั้นจนกระทั่งพวกเขาเห็นฉัน
“…มีหญิงสาวแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรอ?”
“ผู้หญิงพวกนี้เป็นผู้หญิงของใครกันนะ?”
“ให้ตายสิ ความเปล่งประกายของพวกเธอทำให้ฉันตาบอด”
“ถ้าหากเธอหันมาแลฉันสักนิด ฉันก็จะไม่เสียใจเลยหากตายไปในระหว่างสู้รบ”
“…..”
“ชินรอเดี๋ยวนะ เฮ้ นายน่ะมานี่สิ”
เอลลอสได้เรียกพวกเขามาที่นี่และออกคำสั่งที่ฉันไม่ได้ยิน เมื่อเห็นว่าอัศวินผู้ชายและทหารวิ่งกันออกไปอย่างลนลาน ฉันสามารถจะบอกได้เลยว่าเอลลอสได้ขู่พวกนั้นว่าจะลงโทษถ้าหากว่ายังคงนินทาเรื่องของล็อทเต้และลิโคไรท์อยู่อีก ในฐานะของผู้ชายแล้วฉันก็พอจะเข้าใจพวกเขา แม้ว่าโลกจะกำลังตกอยู่ในอันตรายแต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองสาวสวยที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อพวกเขาวิ่งหายไปจากสายตาแล้ว เอลลอสก็ได้เปิดแผนที่ที่เขาเอามาด้วย จากนั้นเขาก็อธิบายเส้นทางที่เราจะไปอย่างละเอียด
“มันอันตรายอยู่แล้วไม่ว่าเราจะไปทาางไหน แต่ว่าทางนี้น่าจะเป็นทางที่ปลอดภัยที่สุดแต่พวกเราจะต้องอ้อมนิดหน่อย”
“ไม่ใช่ว่าพวกเราอยู่ในดินแดนของพวกนั้นหรอ?”
“ด้วยเส้นทางนี้เราจะหลีกเลี่ยงปราสาทของพวกนั้นได้สองแห่ง นายพอจะรู้ในสิ่งที่ฉันอยากจะบอกใช่ไหม?”
ฉันเข้าใจ ผู้บุกรุกส่วนใหญ่จะใช้ชิวิตกันอยู่ในปราสาทเว้นเสียแต่ว่าผู้บุกรุกจะเป็นมอนสเตอร์ที่ชอบอยู่ในป่าเท่านั้น เส้นทางพวกนี้ที่เอลลอสได้วางแผนเอาไว้ก็แค่ทำให้ลดการต่อสู้ให้น้อยที่สุดเท่านั้น ฉันได้รู้ขึ้นอีกครั้งว่าภารกิจนี้มันเหลวไหลขนาดไหน
ฉันได้มองทางเลือกของฉันอีกครั้ง เส้นทางที่สั้นที่สุดคือเส้นทางตรงแต่ว่าจะมีปราสาทอยู่สองแห่งในระหว่างทาง ส่วนเส้นทางที่เอลลอสเลือกนั้นไกลแต่ทำให้เขาหลบเลี่ยงปราสาทพวกนั้นได้ เนื่องจากว่าเราไม่รู้ว่าเราจะสูญเสียอะไรบ้างหากเราไปสู้กับปราสาททั้งสองแห่งดังนั้นเส้นทางที่เอลลอสเลือกมาก็ไม่ได้แย่เลยสักนิด
“เอลลอส”
แต่ฉันก็ยังไม่เห็นด้วย
“ทำไมหรอ?”
เอลลอสได้แต่สงสัย ฉันได้มองกับไปที่ล็อทเต้ เธอได้แต่สายหัวของเธอทั้งน้ำตา
“ไม่ ข้าไม่อยากทำแบบนั้น ขอร้องล่ะ ฮีโร่เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาติ ทำไมฮีโร่ไม่เข้าใจเลยว่าข้ารู้สึกยังไง”
“ขะ ขอโทษ”
เธอจะต้องมีความเครียดเกิดขึ้นมามากแน่โดยที่ตัวฉันไม่รู้… จู่ฉันก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที ไม่ นี่มันไม่ใช่แค่ความรู้สึก ฉันทำผิดจริงๆ หรือว่าการที่เธอมีขนาดที่เล็กลงในตอนที่กลายมาเป็นราชินีเพลิงก็เพียงแค่เพื่อป้องกันไม่ใช่คนอื่นมาขี่เธองั้นหรอ? ไม่ว่ายังไงนี้ก็เป็นเรื่องยากสำหรับฉันแล้วที่จะขอเธอ ถ้าหากว่าฉันไม่มีทางเลือกอื่นอีกฉันจะต้องขอเธออีกครั้ง แต่ว่าสำหรับในตอนนี้…
ฉันได้หันหน้าไปหาเอลลอสที่ดูจะสงสัยอยู่
“พอจะมีไวเวิร์นอยู่แถวนี้ไหม? ไม่ใช่แค่ไวเวิร์นนะ ฉันอยากจะหามอนสเตอร์ที่เราขี่บินได้เร็วๆนะ”
“ถ้าหากว่านายไม่คิดอะไรก็เอาเป็นไวเวิร์นป่าก็น่าจะได้ มันอยู่ในหุบเขาอะไรซักอย่างถ้าหากนั่งมาไปก็น่าจะใช้เวลาประมาณหกชั่วโมง แต่ว่านะชินนายคิดจะฝึกไวเวิร์นมาใช้เพื่อบินงั้นหรอ? อย่างแรกเลยนะการฝึกไวเวิร์นมันเป็นไปไม่ได้ อย่างที่สองคือพวกเราจะเด่นเกินไปหาบินอยู่บนท้องฟ้าเปิด นอกจากนี้พวกเราก็ไม่ได้มีเวลาว่างไปเสียให้กับการฝึกไวเวิร์นแล้วด้วย หุบเขานั่นอยู่ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับที่ที่เราจะไปกัน”
“เอลลอส ฉันคิดอย่างนี้นะ…”
ฉันได้พูดต่อไปอย่างมั่นใจ
“เราจะต่อสู้น้อยลงถ้าหากเราจะต้องจัดการแค่ศัตรูที่สามารถจะตามความเร็วเราได้บนท้องฟ้าเท่านั้น”
“นั่นมันบ้าบิ่นไปแล้ว พวกเราจะถูกสอยร่วงเอานะ”
“นี่มันก็แค่ความเสียงเล็กๆเองเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับ ไม่ใช่ว่านายบอกว่าเทือกเขาเพรูต้ามันอันตรายหรอ พวกเราจะต้องไปสู้กับมอนสเตอร์ที่นั่นดังนั้นเราจะมามัวเสียเวลาเดินไปทำไมในเมื่อพวกเราบินได้”
“บินไปมันเร็วขึ้นก็จริง แต่ว่าความเสี่ยงก็คือ… ชิน นายเลเวลเท่าไหร่”
“เลเวลมันไม่ได้สำคัญสำหรับฉันอีกต่อไปแล้วเพื่อน”
ฉันได้ยิ้มขึ้นมา กำไลข้อมือของเกราะฉันกับกำไลที่หลินทำมาให้ต่างก็ส่องแสงออกมา ในเมื่อกำไลของหลินมันยังไม่มีชื่อฉันจึงได้ตัดสินใจที่จะเรียกมันว่า ‘เรเดี่ยน’ นับจากนี้
เอลลอสได้มองมาที่ฉันอย่างตกตะลึงและยอมแพ้
“เอาเถอะ ฉันยอมแพ้”
“เยี่ยม ถ้างั้นก็ตัดสินใจแล้วนะ แล้วหุบเขาอยู่ไหนล่ะ?”
“ตะวันตกเฉียงเหนือมัน….”
เมื่อเอลลอสได้ชี้นิ้วของเขาไปทางนั้น ล็อทเต้ก็ได้เปลื่ยนร่างของเธอและกระพือปีกทันที เอลลอสได้กระโดดถอยหลังไปอย่างตกใจ
“เธอคือไวเวิร์นจริงๆ”
“เธอต่างไปจากไวเวิร์นปกตินะ”
[ข้าจะไปคนเดียวเอง การบังคับให้ไวเวิร์นสยบมันไม่ได้ลำบากอะไรสำหรับราชินีเพลิงอย่างข้าอยู่แล้ว]
“ใช้เวลานานแค่ไน?”
หากขี่ม้าไปคือหกชั่วโมง แต่สำหรับล็อทเต้เธอได้ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ
[ยี่สิบนาทีก็พอแล้ว]
จากนั้นล็อทเต้ก็พุ่งหายไปในทันทีด้วยความเร็วแสงของเธอ เอลลอสได้แต่มองไปยังร่องรอยแสงที่ทิ้งเอาไว้ของล็อทเต้โดยที่ไร้คำพูด
“ไวเวิร์นนั่น….?”
“ฉันบอกแล้วไงว่าเธอไม่ใช่ไวเวิร์นปกติ เอาล่ะงั้นในขณะที่เรารอ…”
“อ่า?”
ฉันได้หยิบเอาแผนที่มาจากเอลลอสและมองเขา มันถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องร้องขอในสิทธิของฉันแล้ว
“เอาอาหารมาหน่อยสิเจ้านี่ มันอาจจะเป็นเรื่องปกตินะที่โลกของนายส่งคนออกไปโดยที่ไม่ให้อาหารกับแขก แต่ว่านั่นต้องไม่ใช่กับฉัน”
นายจะส่งฉันออกไปในที่ๆฉันเปิดไม่ได้แม้แต่ช่องเก็บของและนายก็ยังไม่แม้แต่จะเตรียมอาหารให้ฉัน! พอล ไอสารเลว ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้แน่