Infinite Competitive Dungeon Society - ตอนที่ 271
บทที่ 271 – คาฮาร์ (5)
ล็อทเต้ได้พาไวเวิร์นยักษ์มาในเวลา 20 นาทีจริงๆ เอลลอสได้หวาดกลัวขึ้นมาจากจิตใจของเขาเมื่อได้เห็นไวเวิร์นและปฏิเสธมันทันที แต่ว่าในเมื่อเขาประกาศยอมรับในข้อเสนอนี้ของฉันไปแล้วเขาจะมายอมกับแค่นี้ได้ยังไงกัน!?
ไวเวิร์นได้ทำตามคำสั่งของล็อทเต้อย่างเชื่อฟังเนื่องจากความต่างระดับกันของพวกเขา แม้แต่ในตอนที่เอลลอสขึ้นไปนั่งไวเวิร์นก็ยังคงมองไปที่ล็อทเต้ สำหรับล็อทเต้แล้วดูเหมือนว่าเธอจะไม่ว่าอะไรกับการให้ผู้หญิงขึ้นมาขี่เธอทำให้ลิโคไรท์ขึ้นมานั่งกับฉันได้
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ”
“เพื่อน ฉันเริ่มจะรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้ซะแล้วสิ”
“ไม่ต้องห่วงน่า สำหรับครั้งแรกทุกๆคนก็พูดแบบนี้แหละ”
ไวเวิร์นทั้งสองได้บินไปบนท้องฟ้าหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กซึ่งไวเวิร์นทั้งสองนี้ได้ดึงดูดความสนใจจำนวนมากจากคนในปราสาท ฉันไม่ได้สนใจในสายตาของพวกเขาและตะโกนออกไป
“ไปกันเลย!”
[ก๊าซซซซซซซซซซ]
ล็อทเต้ได้กระพือปีกของเธอพร้อมกับคำรามออกมาอย่างร่าเริง เอลลอสก็ดูจะยอมแพ้แล้วทำให้เขาทิ้งร่างหมอบไปกับไวเวิร์น พวกเขาได้ออกมาจากพระราชวังและทะยานขึ้นท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ดูจะไม่มีอะไรมาขว้างทางเข้าได้แล้ว
“ด้วยความเร็วแบบนี้ในอีกสิบนาทีเข้าจะเข้าอาณาเขตของศัตรูแล้ว”
“เข้าใจแล้ว”
“สามีที่รักคะ นั่น”
การเข้าสู่ดินแดนของศัตรูนั่นหมายความว่าระบบช่องเก็บของและระบบข้อความจะใช้งานไม่ได้อีกต่อไป ฉันได้บอกกับสมาชิกในกิลด์แล้วว่าฉันจะไม่สามารถติดต่อกับพวกเขาได้และจากนั้นก็หยิบเอาไอเทมที่ฉันจำเป็นต้องใช้ออกมาจากช่องเก็บของ
ลิโคไรท์ได้ใช้โอกาสนี้กอดฉันเอาไว้แน่ๆและแอบมองผ่านหัวไหล่ของฉันไปพร้อมส่งกระเป๋าผ้าไหมมาให้
“นี้คืออะไรนะ?”
“นี่เป็นช่องเก็บของที่มาแทนไงสามีที่รัก ฉันเก่งในเรื่องเวทย์มิติด้วยนะคุณรู้ไหม”
“ถ้างั้นนี่คือ….?”
“ใช่แล้ว มันน่าจะสามารถเก็บโพชั่นได้เป็นพันเลย”
“เยี่ยมไปเลย ขอบคุณนะลิโคไรท์”
กระเป๋าขนาดแบบนี้ก็ยังพกพาไปไหนได้ง่ายอีกด้วย ฉันรู้สึกดีใจที่ได้กระเป๋านี้มาและเริ่มย้ายไอเทมจากช่องเก็บของทันที ในตอนนั้นลิโคไรท์ที่มองฉันอยู่ก็ถามออกมา
“สามีที่รัก พวกเราจะสามารถจัดการทุกอย่างด้วยพวกเราได้ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
“จริงๆนะ?”
“ใช่”
“…โอเค ฉันเชื่อสามีที่รัก”
จากนั้นลิโคไรท์ก็กลับไปกอดฉันอยู่ข้างหลัง ตอนนี้ฉันได้ชินแล้วแต่ว่ามันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อต้านกิล่นหอมโดยธรรมชาติของเธอ หัวใจฉันในตอนนี้กำลังเต้นอย่างรวดเร็ว
“นี่ก็ดีนะ ฉันหวังว่าเราจะได้อยู่แบบนี้โดนที่ไม่ต้องทำอะไรอีก”
“วันนี้ฉันจะยอมเธอวันนึง”
ฉันได้เลื่อนย้ายอิลิกเซอร์อีกสองขวดที่เหลืออยู่และบ่นออกมา
“มันก็ไม่น่าจะนานหรอก”
ไม่นานนักฉันก็รู้สึกได้เลยว่าเขาได้เข้าไปในดินแดนของผู้บุกรุกแล้ว ความแข็งแรงของฉันได้ลดลงไปเล็กน้อยและฉันก็ไม่สามารถะเปิดช่องเก็บของได้ในตอนที่ลองดู ต้องขอบคุณกำไลจากหลินทำให้ฉันไม่ได้รู้สึกว่าอ่อนแอจนเกินไป กำไลนี่มันเป็นสมบัติที่มีค่าจริงๆ ไม่สิ ในตอนนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างของฉันไปแล้ว
“ชิน นายสบายดีนะ?”
“ฉันไม่เป็นไร!”
เอลลอสได้ตะโกนออกมาด้วยเสียงสั่นๆและฉันก็ได้ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก ถ้าหากว่าเอลลอสไม่เป็นไรแล้วทุกๆคนก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน
“อีกไม่นาพวกเราจะผ่านปราสาทแล้ว”
“ถ้างั้นเราต้องเตรียมของขวัญแล้วสิ”
พร้อมๆกันกับคำพูดของฉันลิโคไรท์ก็ได้เริ่มร่ายเวทย์ขึ้นทันที ฉันยังได้อัญเชิญภูติธาตุออกมาสองตนและให้พวกเธอเตรียมพร้อมเอาไว้ ฉันได้มองลงไปบนพื้นจากหลังของล็อทเต้ ตามที่เอลลอสได้บอกมาผู้บุกลุกก็คือมนุษย์ที่เรียกตัวเองว่าผู้บุกรุก
เนื่องจากรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายกับผู้คนในทวีปเอลลอสอยู่แล้วทำให้ไม่มีใครเชื่อเลยว่าพวกเขาเป็นผู้บุกรุกในตอนที่พวกนั้นปรากฏตัวออกมาในครั้งแรก เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาส่วนใหญ่คิดว่าเป็นแค่คนต่างแดนเท่านั้น แต่ว่ายิ่งเมื่อผู้บุกรุกมีมากขึ้นเรื่อยๆพวกนั้นก็ได้เริ่มต่อสู้กับผู้คนในทวีปอีเดียส และผู้บุกรุกที่แทรกซึมอยู่ก็ยังมีพวกที่สร้างผลงานทางการเมืองที่ดีเยี่ยมอีกด้วยทำให้เมื่อคนในทวีปอีเดียสรู้ตัวหลายๆประเทศก็ถูกผู้บุกรุกยึดไปกันแล้ว
ผู้บุกกรุกพวกนี้เป็นจำพวกที่เชี่ยวชาญในด้านเวทมนตร์และมีเครื่องมือเวทย์ที่ทรงพลังมากมาย นี้เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราไม่ควรจะบินกันแบบนี้ ปราสาทแต่ละแห่งก็ยังมีเครื่องมือขนาดยักษ์ที่จะสอยสิ่งที่บินอยู่ได้อีกด้วย ของพวกนั้นดูจะคล้ายๆกับขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน
“พวกนั้นมาแล้ว”
สิ่งแรกที่ฉันได้เห็นเลยก็คือปีนที่ติดตั้งอยู่บนกำแพง แม้ว่าจะไม่ได้มีคนควบคุมอยู่แต่ว่าปืนใหญ่กว่าสองร้อยอันก็ได้หันมาทางพวกเราทั้งหมดและยิงกระสุนเวทย์ออกมา กระสุนพวกนี้อ่อนแอกว่าขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน แต่ว่ามันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นรังผึ้ง
[ย่าห์]
ก่อนที่ใครจะได้ทำอะไรริยูก็ตะโกนออกมาอย่างน่ารักและกางแขนออกไปแล้ว บาเรียโปร่งใสได้ปรากฏขึ้นมาข้างใต้เราและป้องกันกระสุนเวทย์ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย จากนั้นบาเรียน้ำแข็งนี้ก็ได้แตกกระจายและหล่นลงไป ไม่สิ ริยูตั้งใจทำแบบนั้นต่างหาก
[บดขยี้พวกนั้นเลย]
เสียงของริยูได้เสริมพลังให้กับน้ำแข็งที่หล่นลงไปและเศษน้ำแข็งพวกนี้ก็ได้ทำลายกำแพงปราสาทเหมือนกับพายุ พายุน้ำแข็งนี้ก็ยังมีต่อไปจนกระทั่งปืนใหญ่ถูกพังไปกว่าครึ่งแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ได้มีเสียงไซเรนดังขึ้นมา ในตอนที่ฉันกำลังคิดว่าพวกเขาได้ฝึกซ้อมการป้องกันมาไหม พวกคนนับพันก็ได้ปรากฏขึ้นมาจากปราสาททันที
“ศัตรู!”
“พวกนั่นมาจากไหน?”
“มันไม่ได้สำคัญแล้ว ฆ่าพวกมันอย่าปลอดให้ใครรอดไป!”
“พวกนั้นมีแค่สองคน…?”
พวกผู้บุกรุกดูไม่ได้ต่างไปจากพอล เอลลอสหรือทหารและอัศวินที่ฉันเคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ ฉันลังเลที่ว่าจะแยกพวกเขายังไงแต่ไม่นานนักฉันก็รู้ได้ว่าพวกผู้บุกรุกทั้งหมดได้ใส่อะไรบางอย่างอยู่
มันดูเหมือนกับเป็นชุดที่แนบไปกับกล้ามเนื้อและยังมีเส้นวงจรมานาวิ่งไปมาอยู่ ใช่แล้ว ชุดที่พวกผู้บุกรุกใส่อยู่ก็คือพาวเวอร์สูท นอกไปจากนี้ฉันยังสามารถจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของมานาที่ทรงพลังได้จากร่างพวกเขาด้วย มีพวกผู้บุกรุกจำนวนมากที่แข็งแกร่งอยู่ในปราสาทแห่งเดียว ฉันได้สงสัยจริงๆว่าทวีปอีเดียสรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน
“ริยู ฆ่าพวกนั้นทั้งหมดเลย”
แน่นอนว่าในเมื่อพวกผู้บุกรุกเล็งที่จะเอาชีวิตเรา ฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเมตตาพวกเขา
[ฉันฆ่าคนพวกนี้ได้หรอ?]
“ได้สิ”
[ถ้าเป็นร่างนี้มันจะยากหน่อยดังนั้นฉันจะแสดงรูปธรรมนะ]
ริยูได้หมุนตัวเป็นวงกลมและแสดงร่างเด็กสาวครึ่งสัตว์มา ศัตรูได้มองมาอย่างตกใจแต่ไม่นานนักพวกนั้นก็ได้ยิงเวทย์มาทางเรา
“ชิน มานาของคนพวกนั้นต่างไปจากของพวกเรา พวกนั้นสามารถจะดูดมานาของพวกเราและวิเคราะห์มานาพวกนี้ได้จากนั้นก็นำไปพัฒนาต่อต้านการโจมตีของเรา”
“อะไรนะ คนพวกนี้เป็นญาติห่างๆของบุ๊ควอร์คเกอร์หรือยังไงกันเนี้ย”
ผู้บุกรุกทั้งหมดที่ฉันเคยเจอมาต่างก็มีพลังแปลกๆต่างกันออกไป ศัตรูทั้งสองที่โลกเจออยู่ก็น่ารำคาญ แต่ดูเหมือนว่าโลกอื่นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย
“เอลลอสพวกนั้นไม่สามารถจะแบ่งปันมานาที่พวกนั้นเก็บเอาไว้ให้คนอื่นได้ใช่ไหม?”
“อ่า ไม่นะ ไม่ได้มีอะไรแบบนั้น”
“ริยู เธอได้ยินใช่ไหม?”
[อื้อ]
“ฉันจะไปก่อนนะ”
ก่อนที่การโจมตีของศัตรูจะมาถึงตัวริยู ลิโคไรท์ก็ได้ยิงเวทย์ที่เธอเตรียมเอาไว้ออกไป เพลิงยักษ์ได้ลุกพรึบขึ้นและทำลายแนวหน้าของผู้บุกรุกจนเละเทะ
“อ๊ากกกกกก”
“พวกนั้นมีจอมเวทย์ที่ทรงพลัง”
“ให้ตายสิ ใช้เวทย์แบบนี้ในทันที”
“สวนกลับไป!”
จริงๆแล้วเธอก็แค่เตรียมตัวมาก่อนเท่านั้นเอง
ริยูได้เอื้อมมือออกไปและป้องกันเวทย์โจมตีทั้งหมดนี้ทันที
[ฉันไม่ชอบพลังเวทย์ของพวกนี้เลย มันไม่บริสุทธิ์อะ]
“มันอาจจะเป็นเพราะลักษณ์เผ่าพันธ์ก็ได้ กวาดล้างพวกนั้นเถอะ!”
ริยูได้พุ่งตัวออกไปในทันทีราวกับรอคำนี้ของฉันมานานแล้ว ในมือของเธอได้กรงเล็บน้ำแข็งสีขาวขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมาและส่องแสงสะท้อนกับแสงแดดอย่างน่ากลัว ศัตรูก็ดูเหมือนว่าจะคิดไว้แล้วว่าริยูจะทำการโจมตีระยะประชิดทำให้พวกนั้นได้เปลื่ยนรูปแบบการยืนอย่างเร่งรีบ พวกที่ใส่ชุดพาวเวอร์สูทเต็มร่างได้ก้าวมาด้านหน้า
“อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าไปในปราสาทได้ ฆ่าพวกมันทั้งหมดที่นี่!”
“เข้ามาเลยสาวน้อ….”
กรงเล็บของริยูได้ตวัดตัดพวกผู้บุกรุกอย่างรวดเร็ว
“แข็งแกร่ง!”
“เวรเอ้ย เรียกกำลังเสริมเร็วเข้า”
ถ้าหากว่ามีกำลังเสริมมามันก็จะยิ่งน่ารำคาญมากขึ้นแน่ดังนั้นฉันจึงได้ยิงกระสุนหน้าไม้เข้าใส่หัวของคนที่กำลังจะเรียกกำลังเสริมทันที ด้วยพลังของเทพสายฟ้าทำให้ลูกศรหน้าไม้แต่ละลูกได้เต็มไปด้วยสายฟ้าที่อันตราย หลังจากที่ฉันได้จัดการฆ่าเจ้าตัวที่จะเรียกกำลังเสริมแล้ว ฉันก็ได้เริ่มเล็งจัดการพวกหน่วยสนับสนุนจากด้านหลัง ฉันรู้สึกแย่นึดนึงที่ฆ่าพวกนี้ที่มีรูปร่างคล้ายๆกับมนุษย์
ฉันได้บ่นออกมาเล็กๆ
“อย่างน้อยฉันก็ชินไปแล้วล่ะนะ”
“นายใช้หน้าไม้ได้ด้วยหรอ?”
“เอาไว้ใช้สำรองนะ”
“สำรองหรอ? พลังทำลายแบบนี้อะนะ…?”
เอลลอสได้พึมพัมขึ้นด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง ในขณะนั้นเองจำนวนผู้บุกรุกก็ได้ลดลงไป ร่างกายจำนวนมากได้ตกลงไปจากท้องฟ้าเข้าไปในปราสาท คนพวกนี้อาจจะมีครอบครัวและคนที่ต้องปกป้องเช่นกัน
ยังไงก็ตามการที่จะใช้ชีวิตร่วมกันมันเป็นไปไม่ได้เลย พวกเราต้องฆ่าพวกเขาและพวกเขาก็ต้องฆ่าพวกเรา สิ่งเดียวที่เราจำเป็นต้องรู้จากพวกเขาก็คือขีดจำกัดความสามารถและจุดอ่อนไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปเห็นใจ
ถึงแม้แบบนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าฉันก็เป็นคนที่มาบุกรุกพวกเขาเช่นกัน การต่อสู้ง่ายๆแบบนี้ฉันไม่ได้รับอะไรจากมันเลยซักนิด มันมีเพียงแต่จะเสียเวลาและให้ความรู้สึกที่ไม่สบายใจเท่านั้น ฉันไม่น่าจะมาฟังเอลลอสและไปกลัวเจ้าพวกขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานแบบนั้นเลย
“ยกระดับความสูงขึ้นเถอะ พวกเราอย่าไปเสียเวลาแบบนี้เลย”
“แต่ว่าเครื่องมือเวทย์ของพวกนั้นมันน่ากลัว ไม่ว่าเราจะไปสูงแค่ไหนมันก็จะตามเรามา”
“พวกเราก็แค่เร่งสปีดหนีไปก็พอ ต่อให้เร่งสปีดก็ไม่พ้นมันก็ยังมีวิธีอื่นป้องกันอีก ลิโคไรท์ช่วยเรากวาดล้างทางที”
“เข้าใจแล้ว”
เวทย์ที่ลิโคไรท์ได้เตรียมเอาไว้ไม่ได้มีแค่เวทย์เพลิงเท่านั้น ในตอนที่เธอได้เอื้อมมือออกไปได้มีเมฆสีขาวแปลๆโผล่ขึ้นมาจากมือของเธอและกวาดผ่านเหล่าศัตรู ไม่นานนักพวกศัตรูทุกคนที่อยู่ในพื้นที่นี้ก็ติดอยู่ในกับดักรวมไปถึงริยูก็อยู่ในเมฆนี้ด้วย จากนั้นเองริยูก็ปลอดพลังเยือกแข็งออกมาอย่างเต็มกำลัง
[ตายซะ]
ในไม่ช้าเมฆก็ถูกแช่แข็งไปแล้ส จากนั้นริยูก็ยกเลิกการแสดงรูปธรรมและออกมาจากเมฆน้ำแข็งนั่น ก้อนน้ำแข็งยักษ์ได้หมดพลังในการลอยตัวและเริ่มตกลงไปทันที ลิโคไรท์ได้ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“เป็นยังไงบ้างสามีที่รักกับการโจมตีที่ยอดเยี่ยมแบบนี้”
“น่าทึ่งมาก”
ฉันได้ฝืนยิ้มออกมาและลูบหัวของเธอ เอลลอสได้ถามออกมาอย่างมึนงง
“นาย… นายทำอะไรมามั้งจนกระทั่งถึงตอนนี้?”
“ก็ไม่มากหรอก แค่สู้กับมอนสเตอร์และวายร้าย… ฉันยังได้ไปเยี่ยมโกอื่นเป็นบางครั้งด้วยนะ”
แน่นอนว่าฉันไม่ได้บอกเขาไปว่าฉันได้เอาชนะศัตรูของโลกมาสามครั้ง แถมหนึ่งในนั้นก็เป็นหลินฆ่าด้วยและอีกสองตัวก็แทบจะไม่นับเป็นศัตรูของโลกด้วย จริงๆแล้วมันดูเหมือนกับเป็นลูกน้องของศัตรูของโลกแค่นั้นเอง แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามสิ่งที่ฉันบอกเอลลอสไปก็น่าจะพอแล้ว ฉันสามารถจะเห็นสายตาที่สั่นไปมาของเขาได้เลย
“นาย… จริงๆเลย….”
“ไปกันเถอะเอลลอส นับจากนี้พวกเราจะเพิ่มระดับความสูงและเร่งความเร็วขึ้นไปแล้วนะ เราจะไปให้ถึงเทือกเขาเพรูต้าภายในหนึ่งวัน”
ฉันได้ตัดบทเขาและตะโกนออกมา
ถ้าฉันปล่อยให้เขาพูดจบ ฉันรู้สึกว่ามันจะทำให้ฉันไม่มีความสุขเอาแน่ๆ