Infinite Competitive Dungeon Society - ตอนที่ 297
บทที่ 297 – เข้ามาใกล์,ออกไปให้ไกล (3)
สถานที่สำคัญทางศาสนาที่มีผู้คนกว่า 1.2 พันล้านคนนับถือได้พังลงไปแล้ว
ราชาแห่งความตายได้เผยตัวตนขึ้นมาเหนือนครวาติกันและฆ่าคนไปเกือบทั้งหมด ถึงแม้ว่ารีไวเวิร์ลจะเข้ามารับมือในทันทีที่ได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตามแต่เขาก็ไม่สามารถจะป้องกันการเสียชีวิตของคนที่เกิดขึ้นได้ นครวาติกันเองไม่ค่อยมีคนอยู่มากนัก แต่ว่าส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและนักบุญ
ยังโชคดีที่พระสันตะปาปาได้รอดชีวิตอยู่นานจบรีไวเวิร์ลมาถึง แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ตั้งใจช่วยเหลือเขาเป็นพิเศษอะไรแต่ว่าหลังจากเรื่องจบลงเขาก็เป็นคนที่ร้องของเจอเราทีละคนเพื่อแสดงความขอบคุณ
แต่ว่าเนื่องจากเราต้องไปใช้เวลากับการตายของพรรคพวกเราทำให้เขาปล่อยคำขอนี้เอาไว้ ความสำคัญของพระสันตะปาปาสำหรับเราแล้วมันน้อยมาก
สมาชิกคนอื่นๆของเขานอกจากที่อยู่ในนครวาติกันแล้วต่างก็ปลอดภัย โชคดีมากที่พวกนั้นไม่ได้เจอเข้ากับตุ๊กตาปีศาจ
ถ้าหากว่าพวกนั้นได้เอจกับตุ๊กตาปีศาจฉันก็ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกนั้นอาจจะช่วยแม่เอาไว้ได้ แต่บ่างทีมันก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะมีงานศพมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่เอาชนะราชาแห่งความตายและฆ่ามอนสเตอร์ที่เหลือในนครวาติกันแล้ว พลังความตายที่ถูกราชาแห่งความตายร่ายเอาไว้ก็หายไปในที่สุด ลิโคไรท์ก็เพิ่งจะได้รู้ถึงการตายของซัคคิวบิในตอนที่ระบบของดันเจี้ยนกลับมา พวกมันตัดได้แม้กระทั่งการเชื่อมโยงระหว่างซัคคิวบิ
แต่ว่าบางทีนี่ก็อาจจะดีที่สุดแล้ว มีซัคคิวบิตายไปสามสิบแปดคนในครั้งนี้ ถ้าพวกเธอทั้งหมดตายไปพร้อมๆกันลิโคไรท์ก็อาจจะทรมาณมากจากความเสียหายเชื่อมจิตที่ได้รับแน่
จริงๆแล้วในทันทีที่การเชื่อมต่อได้ฟื้นกลับมาลิโคไรท์ก็ได้เป็นลมลงไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ถ้าหากว่านี้มันเกิดขึ้นใระหว่างต่อสู้ผลลัพธ์มันคงจะออกมาแย่มากๆแน่
“ฉันเป็นห่วงลิโคไรท์นะ แต่ว่าเมื่อระบบดันเจี้ยนถูกปิดลงและเราถูกแยกออก การเชื่อมต่อของซัคคิวบิก็เป็นทางเดียวที่เราจะคุยกันได้… แต่ว่าพลังของราชาแห่งความตายมันพิเศษงั้นหรอ?”
พวกเราได้นั่งเครื่องบินกลับสู่เกาหลี ลิโคไรท์ได้นอนเป็นลมอยู่ในอ้อมแขนของฉัน ฮวาหยาได้พึมพัมขึ้นหลังจากตรวจสอบใบหน้าของลิโคไรท์ฉันได้หยักไหล่ขึ้น
“ถ้าเธอคิดแบบนั้นะ การเชื่อมต่อของซัคคิวบิน่าจะอยู่บนพื้นฐานของมานาก่อนที่จะขึ้นตามกับลักษณพิเศษทางเผ่าพันธ์ของพกเธอ มันอาจจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในตอนนี้ แต่ว่าการที่จะสร้างอุปสรรคต่อการเชื่อมต่อที่ใช้มานาจำนวนมากมันก็อาจจะเป็นไปได้บ่อยๆนับจากนี้แล้ว”
“…ฟู่ ถ้ามันเป็นแบบนี้เราก็อาจจะต้องให้ซัคคิวบิออกไปจากแนวหน้าของการต่อสู้ ต่อให้พวกเราปรับใช้พวกเธอไปทำตามชีวิตปกติก็ยังเสี่ยงเลย”
สิ่งที่เกิดขึ้นในความนี้มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่เพียงแต่เรื่องการตัดการเชื่อมต่อของซัคคิวบิเท่านั้น ฉันยังคิดไปถึงเรื่องที่พวกมันซุ่มโจมตีอีกด้วย ถ้าหากมันเป็นแบบนี้จะไม่มีใครปลอดภัยอีกเลย
มันไม่มีใครรู้ว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้อีกมาแค่ไหน และการเอาซัคคิวบิออกไปจากแนวหน้ามันก็ดูเเหมือนกับการดูถูกพวกเธออีกด้วย
“เธอพูดถูก พวกเธอนั้นทุกข์ทรมานมามากแล้ว นับจากนี้มันมันจะมีที่ที่พวกเธอได้ส่องประกาย… อืมม?”
ในตอนนี้เองลิโคไรท์ได้เปิดตาของเธอขึ้นมา จากนั้นด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เธอหลับตาลงไปอีกครั้ง อนุภาคที่เต็มไปด้วยแสงได้ออกมาจากตาสีชมพูของเธอและถูกแทนที่ด้วยวงกลมบางอย่างที่อยู่ตรงนัยตาของเธอ
“สามีที่รักคุณเป็นห่วงฉันหรอ?”
“ใช่ แล้วฉันก็ยังเป็นห่วงอยู่”
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันเคยได้เจอกับการศูนย์เสียที่คล้ายๆกันมาในตอนที่อยู่ในอีเนซิสแล้ว”
ลิโคไรท์ได้จับหน้าผากของเธอในขณะที่ตอบกลับมาอย่างใจเย็น วงกลมที่อยู่ตรงนัยตาย์ของเธอได้ขยายขึ้นและหดลงไปเรื่อยๆมันทำให้ฉันกลัวเล็กน้อย เธอได้พูดออกมาอย่างใจเย็น
“สามีที่รัก คุณยังจำได้ถึงสิ่งที่ฉันบอกคุณเกี่ยวกับการตายของซัคคิวบิได้ไหม? ที่ว่าพวกเธอจะหายไปเหมือนกับน้ำค้างในตอนเช้า”
“ฉันจำได้”
“ขอโทษนะ แต่ว่านั่นมันเป็นการโกหก ซัคคิวบิคือเผ่าพันธ์ที่เป็นเผ่าพันธ์ย่อยของแมร์ซึ่งคือการรวมกันระหว่างแวมไพร์และอินคิวบิ เมื่อซัคคิวบิตาย พวกเธอจะไม่ได้กลับสู่ธรรมชาติ กลับกันพวกเธอจะส่งมานาของพวกเธอให้กับญาติพี่น้อง มักจะมีคำกล่าวที่ว่า ‘แม้ว่าจะตายก็จะอยู่ด้วยกัน’ ‘การเชื่อมต่อที่ดีที่สุดที่แบ่งกันได้’”
ฉันไม่คิดว่านี่มันเป็นเรื่องธรรมดาเลย แต่ว่าฉันก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ลิโคไรท์ยังคงพูดเรื่องของเธอต่อ
“ในอดีตได้มีพรรคพวกแมร์ได้รู้เรื่องนี้และพวกเขาได้วางแผนที่จะฆ่าพี่น้องของฉันทั้งหมดเพื่อที่จะส่งพลังนั้นมาให้ที่ฉัน”
“อะไรนะ!?”
“โหดร้ายใช่ไหมล่ะ? ถึงแม้ว่าฉันจะแข็งแกร่งขึ้นแต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่ต้องมีหลายชีวิตต้องตายไป มันเป็นความเจ็บปวดที่ฆ่าฉันได้เลย”
“แต่ว่าการที่ซัคคิวบิคนอื่นๆยังอยู่ที่นี่นั่นหมายความว่า….”
ลิโคไรท์ได้หยักหน้าของเธอทันที
“แน่นอนว่าฉันปฏิเสธพวกนั้น แต่ว่าหลังจากที่ฉันปฏิเสธไปความสัมพันธ์ของพวกเราก็ไม่ค่อยมั่นคงนะ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าสำคัญมันต่างไปจากสิ่งที่ฉันคิดว่าสำคัญ การที่เราขโมยพลังของโลกมาสำเร็จมันจะไปมีค่าอะไรถ้าหากไม่มีใครมาแบ่งปันความสำเร็จนี้กับตัวฉัน ฉันขอตายแทนที่จะได้รับชัยชนะด้วยวิธีแบบนี้ นั่นมันก็เลยเป็นเหตุผลให้ฉันยอมรับในข้อเสนอของลอร์ดดันเจี้ยนได้ง่ายๆไงล่ะ นี่มันก็เลยสงผลให้พี่น้องของฉันอยู่รอดมาได้”
“ถ้างั้นตาของเธอ…”
“อื้อ”
ลิโคไรท์ได้หยักหน้าของเธอเบาๆ
“ฉันไม่อยากที่จะใช้วิธีที่โหดร้ายแบบนี้ แต่ฉันก็ยังรู้ว่าการส่งพลังไปที่ซัคคิวบิคนเดียวมันให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการกระจายพลังออกไปมาก ดังนั้นพี่น้องของฉันได้ยอมส่งพลังของพวกเธอมาที่ราชินีเมื่อพวกเธอตาย แม้แต่ซัคคิวบิทั้งหกคนที่ตายกันไปเมื่อครั้งที่แล้ว… และในตอนนี้ฉันก็ได้รับมานาของพวกเธอมา ที่มันมาช้าก็แค่เป็นเพราะลิชนั่นเท่านั้นเอง”
เธอได้กัดฟันแน่นและดวงตาของเธอได้สั่นเทา
“พวกเธอตายกันมามาก ตายมากเกินไปแล้ว ฉันไม่อยากที่จะแข็งแกร่งขึ้นแบบนี้….”
ดวงตาของเธอเป็นเพียงอย่างเดียวีท่ไม่เปลื่ยนไป ภาพของหางและปีกของเธอก็ยังได้เปลื่ยนไปเล็กน้อย เมื่อเห็นแบบนี้ฉันได้คิดย้อนกลับไปในครั้งที่เราสู้กับราชาลาวา ในตอนที่ซัคคิวบิตายไปจู่ๆลิโคไรท์ก็มีพลังพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นี่มันเป็นเพราะเธอได้รับมานาของพวกเธอมาสินะ
“ขอโทษนะสามีที่รัก พวกเราส่งซัคคิวบิไปในสนามรบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว สถานการณ์ของโลกมันเลวร้ายเกินไปและศัตรูของเราก็แข็งแกร่งเกินไป ในฐานะหัวหน้าซัคคิวบิแล้วนี่มันคือความผิดของฉัน”
“ไม่ นี่มันเป็นความผิดของฉัน เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลยลิโคไรท์”
ลิโคไรท์ได้ส่ายหัวของเธอช้าๆ หลังจากได้คิดครู่หนึ่งเธอก็กระซิบขึ้นมาๆ
“ฉันต้องการเวลา ฉันจะเลือกกลุ่มมา”
“เลือก? ลิโคไรท์ ซัคคิวบิคือ….”
ลิโคไรท์ได้ยื่นนิ้วมาปิดปากฉันเอาไว้
“พวกเราจะแข็งแกร่งขึ้น…. แม้ว่าเราจะทำให้คนอื่นๆอ่อนแอก็ตาม”
“เธอ….”
“การส่งมานา ไม่ต้องตายก็ทำได้”
ลิโคไรท์ได้ยิ้มออกมา บนหน้าผากของเธอก็มีเขาชี้้ขึ้นมา มันดูราวกับว่าเธอเป็นสัตว์ป่าที่จนตรอกเพื่อที่จะป้องกันตัวเองจากความตาย
“ขอโทษนะที่ฉันบอกคุณช้าไปสามีที่รัก ฉันไม่อยากที่จะเอาพลังของครอบครัวฉันมา แต่ว่าการทำตัวเอาแต่ใจมัน… ทำให้ฉันรู้สึกล้มเหลวในฐานะของราชินี”
“เธอแข็งแกร่งอยู่แล้ว จนถึงตอนนี้เธอช่วยฉันมาตั้งมาก และซัคคิวบิคนอื่นๆก็เหมือนกัน เหตุการณ์นี้มันก็แค่….”
“ไม่ นั่นมันไม่พอ จากตอนที่เราได้เจอกันครั้งแรกสามีที่รักกับฮวาหยาแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ว่าฉันกลับยังอยู่ที่เดิม ซัคคิวบัสคนอื่นๆก็ไม่ได้เปลื่ยนไปเลย นอกจากนี้…. พวกเราก็มีเวลาน้อยกว่าหนึ่งปีอีกด้วย”
ดวงตาของลิโคไรท์ได้ส่องประกายออกมา ในตอนนี้แสงดวงเล็กๆได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธออีกครั้งหนึ่ง
“ในครึ่งปีนี้ก็พอแล้ว ฉันจะต้องแข็งแกร่งมากพอที่จะยืนเคียงข้างสามีที่รัก”
เนื่องจากว่าฉันเข้าใจเธอทำให้ฉันไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก หลังจากนั้นเล็กน้อยลิโคไรท์ก็ได้เม้นริมฝีปากของเธอและแก้ไขให้ถูกต้อง
“มันอาจจะยากไปซักหน่อยแต่ว่าอย่างน้อยฉันจะต้องแข็งแกร่งให้เท่ากับฮวาหยา”
“ทำไมฉันต้องถูกเปรียบเทียบล่ะ!?”
“สามีที่รักได้เอาชนะขีดจำกัดของสายพันธ์ไปแล้ว! ฉันไม่สามารถจะจินตนาการถึงพัฒนาการที่เขาจะทำในครึ่งปีได้เลย!”
ลิโคไรท์ได้ยืนยันในสิ่งที่ฉันมีความสุขและเศร้าในเวลาเดียวกัน ความซับซ้อนในใจนี้ทำให้ฉันต้องลูบหัวพวกเธอสองคน แม้ว่าเธอจะบ่นอยู่ฮวาหยาก็ได้หยุดบ่นทันทีและในที่สุดลิโคไรท์ก็ยิ้มออกมา
…..จากนั้นเองฉันก็ตระหนักได้ว่าพวกเราได้ทิ้งถนนทองคำไว้ที่นครวาติกันในตอนนี้ฉันมาถึงเกาหลีแล้ว
ฉันอยากจะจัดงานศพที่ยิ่งใหญ่ให้กับซัคคิวบิ แต่ว่าลิโคไรท์กับซัคคิวบิคนอื่นๆต่างก็ต้องการงานศพที่เหมือนครั้งที่แล้ว แน่นอนว่าฉันก็รับฟังในคำขอของพวกเธอ ภูติธาตุกับพลีนได้ร้องเพลงให้กับซัคคิวบิ ถึงแม้ว่างานนี่มันจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากแต่ฉันก็ยังเชื่อว่านี่เป็นงานศพที่สวยงามที่สุดในโลก
หลังจากงานศพได้จบลง ฉันก็ได้ครุ่นคิดอย่างมากก่อนจะตัดสินใจทำให้แม่กลายมาเป็นนักสำรวจ
เหตุผลนั้นก็ง่ายมากถ้าหากว่ามีใครที่เล็งแม่อีกครั้ง แทนที่จะส่งคนที่มีพลังมาปกป้องแม่ ฉันควรจะให้แม่เข้าไปในดันเจี้ยนก็น่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว
ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถเอาสิทธิการแต่งตั้งนักสำรวจคืนมาจากแม่ได้ แต่ว่าการที่แม่ปลอดภัยมันก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว
การเพิ่มจำนวนของนักสำรวจก็ยังเป็นสิ่งที่เรากังวลน้อยที่สุดแล้ว แทนที่จะมีนักสำรวจหลายๆคนการให้แม่ปลอดภัยอยู่ในดันเจี้ยนมันดีกว่ามาก ถ้าหากว่าศัตรูเปลื่ยนวิธีการโจมตี งั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับมัน
แต่เนื่องจากการที่แม่ขาดความสามารถในการต่อสู้ทำให้เป็นเหผลหนึ่งที่เราไม่ได้ทำให้แม่กลายเป็นนักสำรวจซักที แต่ตอนนี้สถานการณ์มันบีบบังคับแล้ว จากนั้นเราก็แต่งตั้งผู้ใช้พลังระดับ S ชาวเกาหลีที่ดูไว้ใจได้คนหนึ่งให้เป็นนักสำรวจปีนดันเจี้ยนไปกับแม่ เนื่องจากว่าพ่อก็น่าจะเป็นคนสอนเรื่องต่างๆให้กับแม่รวมไปถึงการรวบรวมมานา ฉันก็เชื่อว่าแม่ก็ไม่น่าจะเป็นภาระที่หนักเกินไป บางทีนะ
หลังจากที่แม่ได้เข้าไปในดันเจี้ยนและออกมาแล้วแม่ก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข แม่ดูเหมือนจะลืมเรื่องการถูกลักพาตัวไปหมดแล้วด้วยซ้ำ แน่นอนมันก็เป็นเรื่องดีที่แม่ลืมประสบการณ์ที่เจ็บปวดไป ฉันไม่ได้มีแผนที่จะให้แม่มีประสบการณ์ที่น่ากลัวแบบนี้อีกแน่นอน
….แต่ถึงแม้แบบนั้นแม่ก็ยังต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ในตอนที่ปีนดันเจี้ยน
“เข้าไปแล้วออกมามันง่ายมาก น่าทึ่งไหมล่ะ แล้วเมื่อไหร่แม่จะได้ไปเยี่ยมบ้านของลูกล่า?”
“เมื่อแม่ไปถึงชั้นที่ 21 นะ”
“หุหุ เข้าใจแล้ว แม่เล่นเกมเก่งนะ ในตอนแม่ยังวัยรุ่น แม่ถึงขนาดติดอันดับแร้งท์สูงๆเลยนะ”
“ไม่ครับ นี่มันไม่ง่ายแบบนั้นแน่ ถ้ามันง่ายผมก็คงจะทำให้แม่กลายมาเป็นนักสำรวจไปนานแล้ว นอกจากนี้ผมก็คิดว่าอันดับแม่ในตอนนี้มันคงที่โหล่ไปแล้วด้วย…”