Infinite Competitive Dungeon Society - ตอนที่ 303
บทที่ 303 – ลิลิธ (3)
[รอยสักนรกสีชาดได้เสริมพลังจนถึงขีดสุด คุณสามารถจะขโมยมานาจำนวนหนึ่งจากฝ่ายตรงข้ามที่ต่อสู้ได้]
[คุณสามารถจะลบล้างเวทย์ที่ใช้กับตัวคุณและดูดมานามันมาได้วันละครั้ง ยังไงก็ตามไม่สามารถจะใช้กับเวทย์ระดับ EX ได้]
อืมม ฉันคิดว่ามันดีมากๆ ฉันสามารถจะรู้สึกได้ถึงลูกบอลเพลิงภายในตัวของฉันได้เลย
“ฟู่…”
นี้มันคือสิ่งที่นรกสีชาดได้ทิ้งเอาไว้ ฉันได้คิดย้อนกลับไปในตอนที่ฉันได้ดูดพลังของราชาแห่งสรรพสัตว์และโคจรวงจรเพรูต้าเพื่อสร้างความสงบจากภายใน ในขณะเดียวกันนี้เองก็ได้มีเสียงข้อความดังขึ้น
[คุณได้รับสกิลเฉพาะตัว สุดยอดความโลภ สกิลนี้จะเพิ่มจำนวนมานาที่คุณขโมยจากคนอื่นเป็นสองเท่าและช่วยให้คุณสามารถเปลื่ยนแปลงมานาที่เป็นปรปักษ์มาเป็นของคุณได้]
ถ้าว่ารอยสักนรกสีชาดเป็นความสามารถมานาของมัน สกิลนี้ก็น่าจะเป็นแก่นแท้ที่ทำให้นรกสีชาดกลายมาเป็นศัตรูของโลก นี่คงจะต้องเป็นพลังตั้งแต่กำเนิดของมันก่อนที่จะกลายมาเป็นศัตรูของโลก
มันแตกต่างไปจากรอยสัก พลังนี้มันเป็นพลังที่ฉันยากที่จะควบคุม แต่ว่าด้วยทักษะและพลังของเชอริฟิน่าที่ช่วยในการควบคุมมันก็ทำให้ฉันพอจะใช้มันได้แม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม แต่ว่าในตอนที่ต่อสู้กับศัตรูที่พลังของดันเจี้ยนมันไม่มีผลทักษะนี้ก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ เพราะแบบนี้ฉันจึงไม่สามารถจะเรียกมันได้ว่าเป็นพลังจริงๆของตัวฉัน
ฉันได้กลับตาลงและตั้งสมาธิกับพลังที่เพิ่งจะเข้าไปในร่างของฉัน จากนั้นฉันก็ได้ปลุกพลังของวิญญาณสัมบูรณ์ พลังของนรกสีชาดได้เข้าไปทำปฏิกิริยากับวิญญาณสัมบูรณ์และกระดุก ไม่นานนักมันก็เริ่มที่จะขยับและเล็งมาทางฉัน ฉันได้ปกคลุมมันด้วยพลังวิญญาณและจัดการมันให้สงบลงในที่สุด
ไม่ว่าจะดิ้นรนมากแค่ไหนในท้ายที่สุดพลังของมันก็จะหมดลงไปและในตอนนี้มันก็กลายมาเป็นของฉันแล้ว
ไม่มีข้อความใดๆออกมาอีกแล้วอย่างที่ฉันคิดไว้ ภายนอกมันไม่ได้มีอะไรเปลื่ยนไปแต่ว่าภายในตัวของฉันฉันได้ใช้วงจรเพรูต้าทำให้พลังนั้นกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับพลังของรอยสักนรกสีชาด ความแตกต่างระหว่างพลังที่แยกออกกับพลังที่รวมเป็นหนึ่งมันต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ฟู่… เยี่ยม”
ฉันรู้สึกได้ถึงรอยสักที่นิ้วที่สั่นเบาๆทำให้ฉันถอนหายใจออกมา เมื่อฉันได้ดึงมานาของฉันกลับมารอยสักก็หมดแสงของมันและหายไปในขณะที่มีพลังที่หมุนอยู่ในร่างของฉันก็พบกับที่ของพวกมันเองเช่นกัน พลังงานเกือบทั้งหมดนี้ได้อยู่เงียบๆอย่างเชื่อฟัง
“เอาล่ะ ในตอนนี้ก็เหลือปัญหาเดียว…”
หลังจากที่ได้รับสุดยอดความโลภและได้เห็นข้อมูลของมันแล้วก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยู่ในหัวของฉัน
วิญญาณสัมบูรณ์และสุดยอดความโลภ ทั้งสองอย่างนี้เป็นสกิลที่มีเอกลักษณ์ในตัวเองที่อยู่ในร่างกายของฉันแทนที่จะเก็บไว้ในนาฬิกาพกพา ไม่เพียงแค่สุดยอดความโลภนั้นสนับสนุนพลังของวิญญาณสัมบูณณ์ แต่ว่ามันก็ยังช่วยเพิ่มเป็นจำนวนมากอีกด้วย ถ้าหากว่าสองสกิลนี้กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกันมันจะต้องน่าหวาดกลัวแน่
…ฉันควรจะทำมันไหม? ถ้าหากมันสำเร็จ…
“…ไม่สิ อย่าเลยดีกว่า”
สกิลพวกนี้ต่างก็ทรงพลังอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยผสมทักษะล้มเหลวแต่ว่าความเสี่ยงมันก็มากเกินกว่าจะเอาไปเดิมพัน
จริงๆแล้วแม้ว่าฉันจะเสียวิญญาณสัมบูรณ์ไปฉันก็รู้สึกว่าฉันสามารถจะสร้างมันขึ้นมาเองได้ แต่ว่าฉันยังต้องคอยก่อน การใช้สกิลสังเคราะห์มันแน่นอนอยู่แล้ว แต่มันไม่น่าจะใช่กับวิญญาณสัมบูณ์ ฉันคิดว่าในตอนนี้ฉันต้องรอไปก่อน
… อีกสักหน่อย ฉันแค่ต้องพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย คำตอบมันอาจจะอยู่ในดันเจี้ยนหรือบางทีกับเดม่อนลอร์ดที่ฉันจะต้องเจอกับมันสักวันบนโลก
ในตอนที่ฉันได้มาถึงชั้นขายของฉันก็ได้เจอกับโรเล็ตต้าที่กำลังรอฉันอยู่
“ชิน!”
“ขอโทษนะโรเล็ตตา ฉันจะกลับมาคุยกับเธอหลังจากกลับมาจากบียอนนะ ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันจะเสียจุดยืนไปแน่ถ้าหากยังยืนคุยกับโรเล็ตต้าที่นี่”
“ชินจะไปเลยหรอ?”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของโรเล็ตต้าได้เปลื่ยนไปเป็นใบหน้าของแมวที่เต็มไปด้วยน้ำตา แต่ว่าฉันก็ต้องการจะท้าทายกับลิลิธในตอนที่พลังของฉันอยู่ในจุดสูงสุด ถ้าหากว่าฉันอยู่คุยกับโรเล็ตต้าแล้วฉันจะต้องเสียความตรึงเครียดที่มีอยู่ในร่างกายแน่ๆ ดังนั้นเธอในตอนนี้ไม่ได้ต่างไปจากยาพิษสำหรับฉันเลย
“อู ฉันรู้ดีว่าฉันส่งผลกับชินอย่างมากแต่ว่ามันก็ยังเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนมากๆ… ฉันอยากจะอยู่กับชินมากกว่านี้”
“แล้วถ้าเธออยู่กับฉัน?”
“ถ้างั้นฉันอย่างจะสัมผัสชิน! ถามฉันว่าฉันอยากจะทำอะไรต่อไป!”
“ไม่”
ฉันได้โต้กลับไปและโรเล็ตต้าก็ยังไม่ยอมแพ้ ฉันได้ถามกลับไปอย่างตกตะลึง
“เอลฟ์ทั้งหมดต่างก็ซื่อสัตย์กับความปรารถนาหรอ?”
“ไม่นี่แค่ฉัน”
“ฉันไปนะ”
“ฮี้”
ฉันได้กระโดดเข้าไปในโดดโดยทิ้งโรเล็ตต้าเอาไว้ทั้งน้ำตา ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ต้องสู้กับมอนสเตอร์ในชั้นที่ 31 ถึงชั้นที่ 34 แต่ว่าชั้นที่ 35 มันต่างออกไป
มันไม่ใช่แค่ราชินีซัคคิวบัส แต่ว่ามันยังมีราชาอินคิวบัสที่เตือนกับฉันด้วย เจ้านี่มันคือผู้นำอีเนซิสที่บุกไปอเลเซีย ศัตรูของโลก
ลิลิธกำลังคอยฉันอยู่
ในทันทีที่ฉันเข้ามาในบียอนชั้นที่ 35 ฉันก็รู้สึกได้ถึงอากาศแปลกๆ หลังจากได้สูดหายใจเข้าไปแล้วฉันก็ได้เพิ่มความเร็วของวงจรเพรูต้าขึ้นไป ฉันยังรู้สึกได้ถึงมันในขณะที่ฉันสู้กับนรกสีชาดด้วย ศัตรูของโลกทั้งหมดดูเหมือนจะสามารถสร้างสภาพพื้นที่ของตัวมันเองได้
พื้นที่ที่เหมาะสมกับการเพิ่มพลังให้ตัวเองและทำให้ศัตรูของมันอ่อนแอ ฉันรู้สึกเหมือนกับฉันสามารถจะทำอะไรคล้ายๆแบบนี้ได้ด้วยในตอนที่วิญญาณสัมบูรณ์และวงจรเพรูต้าของฉันได้ไปถึงขีดสุด แต่ว่าในปัจจุบันนี้มันเป็นไปไม่ได้
“ขนาดฉันยังไม่ได้เปิดประตูเลย”
บียอนมันไม่เหมือนกับดันเจี้ยนที่หนึ่งที่จำกัดจำนวนภูติธาตุที่ฉันพาไปด้วยได้ ดังนั้นฉันก็เลยอัญเชิญภูติธาตุทั้งสี่ออกมา ให้ริยูเข้าไปในเกราะ ชาราน่าเข้าไปในร่างกาย ไพก้าเข้าไปในหอก และดอร์ตู
[ข้าดอร์ตู ข้าจะปกป้องนายท่าน]
“ใช่ ใช่”
ฉันได้ตัดสินใจที่จะปล่อยเขาเอาไว้
[พร้อมนะ?]
ฉันได้ยินผู้หญิงที่น่ารักมากๆ ทำให้ฉันได้พูดซ้ำขึ้นไปแตว่าฉันก็ยังไม่ได้เปิดห้องบอส
[ภูติธาตุจะไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของข้า]
ฉันได้แต่เมินเธอ ฉันไม่มีทางเชื่อว่าการล่อลวงจะเป็นพลังเพียงอย่างเดียวของลิลิธ มันก็เหมือนๆกันกับที่นรกสีชาดบอกบนชั้นที่ 85 ถ้าหากลิลิธลดพลังชีวิตฉันไปเร็วกว่าที่เชอริฟิน่า ฉันจะต้องตายจริงๆได้ ฉันจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเผื่อในทุกกรณีที่จะเกิดขึ้น
“…เยี่ยม”
ฉันได้สูดหายใจอีกครั้งหนึ่งและได้ล้อมรอบตัวเองด้วยวังวนที่สร้างขึ้นจากวงจรเพรูต้า รัศมีวังวนเป็นเพียงแค่วงเล็กๆที่พอแค่คลุมตัวฉันนิดๆเท่านั้น วิญญาณสัมบูรณ์ก็ยังเต็มไปด้วยพลังที่จะปกป้องตัวฉันจากการล่อลวงที่ทรงพลังจากลิลิธ
“ขอบใจที่รอนะ ฉันพร้อมแล้ว!”
เพราะแบบนี้ฉันได้เตะประตูและเดินเข้าไป
ข้างในนั้น… คือพระราชวังที่หรูหรา ห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยอัญมณีเพรชพลอยและประติมากรรมทองคำ ถ้าหากว่ามันไม่ได้ทำขึ้นจากท้องฉันก็คงคิดว่าเป็นชายหนุ่มดูดีที่มีชีวิตแน่
“ว้าว”
ฉันอดไม่ได้เลยที่จะอุทานออกไป เมื่อได้ยินเสียงของฉันทำให้มีคนตอบกลับมา
[หุหุ คุณน่าสนใจจริงๆด้วย เด็กแบบคุณเข้ามาที่นี่ได้ยังไงกันนะ?]
ฉันได้หันหน้าไป ด้านบนนั้นมีเก้าอี้แกว่งที่แขนด้วยโซ่หลายเส้นห้อยลงมาจากเพดาน เก้าอี้นี้ก็ดูประดับประดาจนสวยงามเช่นเดียวกับพระราชวัง และคนที่นั่งอยู่ก็คือเธอ ลิลิธ
“ฟู่”
ฉันได้สูดหายใจลึกๆเพื่อสนุกสติอารมณ์ที่อยากจะวิ่งเข้าไปกอดเธอ แต่ว่าพลังของเธอก็ยังส่งผลกับฉันอยู่
วงจรเพรูต้าได้ช้าลงและพลังงานของวิญญาณสัมบูรณ์ก็น้อยลงไปเล็กน้อย ในตอนนี้เองนิ้วทั้งสิบของฉันก็ได้ส่งแสงจางๆออกมาและสัมผัสกับถีงพลังงานที่เพิ่งจะอยู่ใต้ความควบคุมของฉัน
มันก็คือมานาของนรกสีชาด ก้อนความโลภได้ทำให้บ่อมานาของฉันเต็มจนหมด และด้วยความมีอยู่ของความโลภนี้ทำให้มันไม่ได้รับผลกระทบจากเสน่ห์ของลิลิธเลย
[อย่าบอกนะว่าคุณกำลังก้มคำนับฉันนะ?]
ถ้าหากว่านรกสีชาดมันยังมีชีวิตอยู่มันก็น่าจะหัวเราะและเย้ยหยั่นฉันแบบนี้แน่ๆ ฉันได้กัดฟันแน่นและเร่งความเร็ววงจรเพรูต้าขึ้นอีกครั้ง โชคดีที่ฉันได้ไปเอาชนะนรกสีชาดมาก่อนที่จะเจอกับลิลิธ
ฉันได้ยืดตัวขึ้นและมองไปที่เธอ มานาที่รุนแรงของนรกสีชาดได้เติมเต็มร่างกายฉันผ่านทานวงจรเพรูต้า มันกำลังดูดมานาจากลิลิธมาอย่างไม่สิ้นสุดและทำให้มานานั้นกลายมาเป็นของฉัน
[โอ้ คุณยืนขึ้นได้แล้ว]
เสียงเธอได้แปลกใจมาก เสียงเธอไม่เพียงแต่แปลกใจเท่านั้นแต่การแสดงออกของเธอก็ตกใจเช่นกัน ดวงตาที่เหมือนกับเพรชของเธอได้เบิกกว้างและมือของเธอก็ได้ยกขึ้นมาปิดปากของเธอ การเคลื่อนไหวและสายตาของเธอดูสวยงามอย่างหมดจน มันเกือบจะเหมือนว่าทุกๆสิ่งคือสัญชาตญาณของเธอ
[นอกจากนี้คุณยังมองตรงมาที่หน้าฉันด้วย นี่หนู ฉันดูเป็นยังไงบ้างล่ะ?]
“เธอไม่มีกระจกหรือไง?”
ฉันได้กัดฟันตอบกลับไป แม้แต่ในตอนนี้ลิลิธก็ยังแสดงเสน่าห์ของเธออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ น่ากลัว น่ากลัวจริงๆ ฉันแทบจจะไม่สามารถจะทนได้ถึงแม้ว่าจะใช้พลังของนรกสีชาดไปแล้วก็ตาม ฉันรู้สึกเหมือนกับในที่สุดฉันก็เข้าใจได้แล้วว่าทำไมทักษะที่ฉันได้สร้างขึ้นด้วยการใช้สกิลสังเคราะห์ที่มีชื่อ ลิลิธ อยู่ในนั้น จริงๆแล้วฉันยังรู้สึกว่ามันบกพร่องด้วยซ้ำ ฉันรู้สึกว่ามันยังไม่เหมาะสมที่จะใช้ชื่อลิลิธเลย
[มองดูรอบๆสิ มันดูเหมือนที่นี่มีกระจกหรอ? บอกฉันมาสิ คุณคิดยังไงหลังจากได้เห็นหน้าฉัน?]
ฉันควรจะเป็นศัตรูกับเธอ แต่ว่าลิลิธได้เลือกที่จะใช้พลังความรักกับฉันเหมือนกับฉันเป็นแฟนของเธอ เธอแม้กระทั่งโค้งคำนับให้กับฉันอย่างน่ารัก ต่อหน้าศัตรูของเธอ!
แต่ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่านี่มันเป็นโอกาสทองแต่ฉันก็ขยับร่างกายไม่ได้ เสน่ห์ของเธอมันไม่อนุญาติให้ฉันซุ่มโจมตีเธอ ฉันมั่นใจได้เลยว่าต่อให้เป็นเดม่อนลอร์ดก็จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ
“เธอมีผมสีบลอนด์แดงที่ยุ่งปกคลุมหน้าผากและก็แถม แถมมันยังไหลลงมาที่เก้าอี้เหมือนกับว่าเธอเป็นราพันเซ,”
[อ่า ใช่แล้ว ฉันมีผมสีแดง!]
ลิลิธได้ปรบมือของเธอเหมือนกับว่าในที่สุดเธอก็ได้เจอกับสิ่งที่เธอค้นหามานานแล้วและเธอก็ได้ยกมือขึ้นมาบนหัวเธออย่างไม่อาย เธอน่าจะอยากได้เห็นสีผมของเธอเอง
“เธอมีนัยตาย์ขนาดใหย่และฉันก็ยังมองเป็นรูปแบบสีดำที่อยู่ภายในนัยตาย์เธอได้ด้วย มันดูเหมือนกับจะเกี่ยวข้องกับพื้นฐานเสน่ห์ของเธอ โดยรวมแล้วเธอมีดวงตาโตและลึกลงในนัยตาย์ก็ดูเป็นหมอก ดวงตาเธอไม่ได้แห้งแต่ว่ามันชื้นผิดปกติ เธอควรจะไปพบหมอนะ”
[ใช่ ใช่แล้ว ฉันเกิดมาเป็นแบบนี้ แล้วดวงตาฉันไม่สวยหรอ?]
ลิลิธได้ขำออกมาเล็กๆในขณะที่ก้มมองลงมาและยื่นหน้าเข้ามาหาฉัน เก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ค่อยๆเริ่มแกว่งลงช้าๆ เข้าใกล้มากขึ้นเรื่ยอๆ ฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเองโดยสัญชาตญาณ ทุกๆครั้งที่ลิลิธห่างออกไปมันจะมีบางอย่างอย่างอยู่ในใจของฉันและฉันได้พยายามดิ้นรนเอาชนะมัน ทำงานสิรอยสักนรกสีชาด! สุดยอดความโลภ
“ฉันจำเป็นต้องพูดต่อไหม?”
[อื้อ ฉันอยากได้ยินมากกว่านี้]
“แต่ว่าฉันไม่คิดจะทำแบบนั้น”
ฉันได้ถือหอกขึ้นมาและเล็งไปที่ใบหน้าเธอ หากไม่ทำแบบนี้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันจะพุ่งเข้าไปหาเธอและจูบเธอแน่นอน โชคดีที่ฉันได้ขยับตัวก่อนมันจะสายเกินไป
[เร็วเข้าบอกฉันมาสิ จมูกฉันเป็นยังไง ริมฝีปากฉันเป็นยังไง หน้าอกฉันใหญ่ไหม รูปร่างฉันเป็นยังไง เอวฉันดีไหม และก็สะโพกฉันล่ะ ฉันอยากจะได้ยินทั้งหมดเลย]
“มีเพียงอย่างเดียวที่ฉันจะพูด”
เพลิงโกลาหลได้พุ่งออกมาจากปลายหอกของฉันผ่านเธอไปเนื่องจากปฏิกิริยาของเก้าอี้และปะทะเขจ้ากับเพดาน โซ่ที่เชื่อมเพดานกับเก้าอีร้ได้เริ่มลุมไหม้ด้วยเพลิงโกลาหล
ฉันได้เปิดปากออกมาและประกาศก้องใส่ลิลิธที่กำลังมองหน้าฉันอย่างตกตะลึง
“มาสู้กับฉันลิลิธ”