Inhuman Warlock จอมเวทย์ไร้มนุษยธรรม - ตอนที่ 22
ตอนที่ 22: เขตอำนาจ
“ถูกต้อง พวกเราไม่ได้เตรียมตัวไว้มาก มันเป็นการสังหารหมู่ มนุษยชาติจำนวนมากเสียชีวิตในวันนั้น กองทัพพิสูจน์แล้วว่า มันไร้ประโยชน์กับการจัดการมอนสเตอร์บางตัว โชคดีที่แวเรียนท์เข้าร่วมการต่อสู้กับกองทัพ เราจัดการพวกมันได้ในที่สุด และเราก็ได้ฆ่าสัตว์ประหลาดทั้งหมด แต่ความสูญเสียที่เราได้รับนั้นมากเกินไป” ชายผมดำประกาศ ในขณะที่ถอนหายใจลึกๆ
“ใช่ แต่นั่นมันก็ทำให้เราหันไปสนใจที่ดันเจี้ยนอีกครั้ง มันน่าทึ่งมากที่มนุษยชาติมีประสิทธิภาพ เมื่อเราเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่สามารถค้นพบอะไรใหม่ๆได้เลย เป็นเวลาหลายปีที่พวกเขาได้เริ่มทำการค้นพบครั้งใหญ่ หลังจากเหตุการณ์นี้ สาเหตุของมันก็ได้ค้นพบแล้ว เหตุใดมอนสเตอร์จึงสามารถออกมาได้อีก แนวโน้มของการออกมาจากดันเจี้ยนของพวกมอนสเตอร์พวกนั้นก็เพิ่มขึ้นมาอีก” เจมิสันพูดออกมาเบาๆ
“แนวโน้มของพวกมันที่จะออกมางั้นเหรอ หืม… จำนวนของพวกมอนสเตอร์ในดันเจี้ยน….” ชายผมดำนึกถึงแนวโน้มของพวกมันรวมถึงจำนวนของมอนสเตอร์
“ใช่ เมื่อใดก็ตามที่จำนวนมอนสเตอร์ในดันเจี้ยน ข้ามธรณีประตู พลังงานภายในดันเจี้ยนจะไม่เสถียร บาเรียที่หยุดไม่ให้มอนสเตอร์ออกมาหยุดทำงาน และมอนสเตอร์พวกนั้นก็ออกมา สิ่งนี้ทำให้เรามีความคิดที่จะหยุดเหตุการณ์ในปี 2028 ไม่ให้เกิดขึ้นอีกให้ได้” เจมิสันพูดแทรก
“ถูกต้อง หากฉันจำไม่ผิด สหภาพนักล่า ก่อตั้งขึ้น หลังจากการค้นพบครั้งนั้น เพื่อให้ค่าแนวโน้มของพวกมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนต่ำกว่าเกณฑ์ เนื่องจากมนุษย์และอาวุธของพวกเขา มีประสิทธิภาพน้อยกว่าในการต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์ สหภาพนักล่าจึงถูกสร้างขึ้นจากแวเรียนท์เป็นส่วนใหญ่ หน้าที่ของพวกเขาคือควบคุมดันเจี้ยนให้ได้ในตอนนี้” ชายผมดำพึมพำ
“ใช่แล้ว กองกำลังปกป้องของเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหยุดยั้งพวกแวเรียนท์ทมิฬ ที่ใช้พลังของพวกเขาในทางที่ผิด ส่วนองค์กรของนักล่านั้น ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยน” เจมิสันตอบ
“เป็นการดีที่จะจดจำประวัติศาสตร์อีกครั้ง แต่ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการตายของเซล แอซเรล เมื่อ 5 ปีก่อนอย่างไร” ชายผมดำถามเมื่อหรี่ตาลง
“มันมีบางอย่างที่ต้องทำ นั่นคือจุดเริ่มต้นของสิ่งนี้ ดันเจี้ยนระดับ 4 เป็นหนึ่งในดันเจี้ยนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา มีการกล่าวกันว่ามีมอนสเตอร์ที่สามารถทำลายเมืองได้อย่างง่ายดาย เหตุการณ์ในปี 2028 เกิดขึ้นเพราะดันเจี้ยนระดับ 2 ลองนึกดูว่ามันจะแย่แค่ไหน ถ้าดันเจี้ยนระดับ 4 ถูกปล่อยพวกมอนสเตอร์พวกนั้นออกมาได้”
“อย่างไรก็ตาม เมื่อ 5 ปีที่แล้วองค์กรของพวกนักล่าตระหนักว่าดันเจี้ยนระดับ 4 นี้ใกล้จะถึงเกณฑ์ที่พวกมันจะหลุดออกมาอย่างมาก เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เพียงส่งสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาไปล่าสัตว์ในดันเจี้ยน แต่ พวกเขายังขอความช่วยเหลือจากพ่อมดที่แข็งแกร่งที่สุดเช่น เซล แอซเรล และภรรยาของเขา เขาไปในนั้นด้วย” เจมิสันได้ตอบกลับ
เขาหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “เซล แอซเรลเข้าสู่ดันเจี้ยนพร้อมกับวอร์ล็อคที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งในเวลานั้น แนวโน้มของพวกมอนสเตอร์ที่ออกมาจากดันเจี้ยนก็ลดลง พวกเขาจัดการพวกมันและลดแนวโน้มของพวกมอนสเตอร์ที่จะออกมาจากดันเจี้ยนได้มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เพื่อให้เราปลอดภัยในปีต่อ ๆ ไป”
“น่าเสียดายที่คนเหล่านั้นไม่เคยได้ออกมาอีกเลย และได้รับการสรุปทันทีว่าพวกเขาได้เสียชีวิตแล้ว ทีมค้นหาถูกส่งเข้าไปข้างใน แต่ไม่พบคนเหล่านั้นเลย ทุกคนเชื่อว่าพวกเขาทั้งหมดเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งและถูกฆ่าตาย เนื่องจากไม่มีใครรอด เราจึงตรวจสอบไม่ได้อีก” เจมิสันกล่าวเพิ่มเติม
“แล้วรอยเท้าล่ะ? นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันอยากรู้ ถ้าความตายเกิดจากสัตว์ประหลาด เขตอำนาจของการสอบสวนนี้จะอยู่กับองค์กรของพวกฮันเตอร์(นักล่า) แต่ถ้าเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นผลงานของแวเรียนท์ทมิฬ ที่วางแผนจะฆ่าเซล แอซเรล เราจะได้รับเขตอำนาจ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันบอกให้คุณสอบสวนต่อไปไงล่ะ” ชายผมดำกล่าว
“หยุดเสียเวลาของฉัน แล้วบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้ซะ” เขากล่าวเสริม
“ถูกต้อง มีรายงานการพบรอยเท้าออกมาจากคุกใต้ดิน นี่เป็นรอยเท้าของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดคำถาม ถ้าทุกคนตายภายในถ้ำนั้นจริงๆ แล้วรอยเท้าของคนที่ออกมานั้นมันคืออะไรกัน?”
“แล้วถ้ามีคนออกมา ทำไมพวกเขาไม่ไปที่องค์กรของพวกฮนเตอร์(นักล่า) ยิ่งกว่านั้นทำไมพวกเขาไม่เห็นว่ามีคนออกมา ความปลอดภัยภายนอกของดันเจี้ยนทั้งสองไม่หนาแน่นพอหรือไม่ สิ่งที่กิดขึ้นพวกนี้ขัดแย้งกันและทำให้เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันน่าสงสัยมากขึ้น ฉันถึงบอกว่าไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือพอเลยซักอย่าง”
“ฉันคุยกับทุกคนและค้นหาทุกที่ ฉันเห็นรอยเท้าและสอบสวนเรื่องนี้ด้วย น่าเสียดายที่ไม่มีพยานที่อ้างว่าเคยเห็นใครออกมา เป็นไปได้ว่ามีคนที่เข้าไปในคุกใต้ดินและออกมาแล้วกลับไป แต่ทว่ากลับไม่มีหลักฐานใด ๆ หากเพียงเรามีพยาน ทุกอย่างก็จะคลี่คลายได้” เจมิสันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“สรุปคือ คุณกำลังบอกว่าการสอบสวน 5 ปีเสียเวลาเปล่า” ชายผมดำพึมพำขณะหรี่ตาลง
“เฮ้อ ถ้าฉันต้องการสอบสวนให้ลึกซึ้งกว่านี้ เราจะต้องใช้อำนาจของสถานที่นั้นโดยสมบูรณ์แบบให้ได้ก่อน” เจมิสันตอบ “ด้วยการอนุญาตจำนวนเล็กน้อยที่ฉันมี ฉันคิดว่าฉันจะไม่พบสิ่งใดเลย และจะไม่พบมันมากกว่านี้แล้ว”
“นั่นคือเหตุผลที่ฉันบอกคุณให้หาหลักฐานมาให้ฉัน โดยไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นแผนงานขององค์กรแวเรียนท์ทมิฬ เช่น VU ฉันไม่สามารถรับอำนาจศาลได้มากกว่านี้แล้ว” ชายผมดำพึมพำ ในขณะที่เขาส่ายหัว
“คุณไม่ได้รับเขตอำนาจจริงๆหรือ คุณคือ แวรัน— หัวหน้า APF และ อัลฟ่า สควอต คุณถูกกล่าวว่าแข็งแกร่งกว่าผู้นำขององค์กรฮันเตอร์ และเป็นคนที่ถูกเปรียบเทียบกับมาสเตอร์เซล แอซเรล เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าคุณคุยกับองค์กรฮันเตอร์และยืนกราน พวกเขาควรจะอนุญาตเรา” เจมิสัน อุทานด้วยความไม่เชื่อ
เขาไม่เชื่อว่าแวเรียนท์ทำไม่ได้ เขาเป็นคนที่เป็นหนึ่งในแวเรียนท์ที่แข็งแกร่งที่สุดในขณะนี้ สำหรับพลังของเขา พวกเขาถูกกล่าวว่าเขาสามารถขู่ได้แม้กระทั่งมาสเตอร์ขององค์กรฮันเตอร์ แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงต้องการหาข้อแก้ตัว? เขาควรจะสามารถครอบครองอำนาจพวกนั้นได้อย่างง่ายดายสิ
“มันไม่ง่ายอย่างที่คิด มันมีระบบที่ซับซ้อน…” แวรันพึมพำขณะหยิบไฟล์ที่อยู่ตรงหน้าเขาและเริ่มอ่าน
“อย่างไรก็ตาม ฉันจะลองดูว่า ฉันจะทำอะไรได้บ้างไหมก่อน” เขากล่าวเสริม “ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดี ฉันน่าจะเข้าถึงมันได้แบบไม่มีข้อจำกัด”
“นั่นจะเป็นเรื่องดีแน่นอนครับ” เจมิสันยอมรับ
“ออกไปได้แล้ว ฉันจะอ่านไฟล์ที่คุณเตรียมไว้” แวรันบอกเจมิสัน
เจมิสันพยักหน้า ขณะที่เขายืนขึ้น เขาหันหลังเดินจากไป
“เจมิสัน!”
ทันทีที่เจมิสันมาถึงประตู เขาได้ยินเสียงของแวรันดังขึ้น
“ครับท่าน?” เขาตอบกลับเมื่อเขาหันหลังกลับ
“ฉันจะให้สิทธิ์คุณเข้าถึงได้ แต่ถ้าคุณยังไม่พบสิ่งที่เป็นรูปธรรม คุณควรเตรียมพร้อมสำหรับผลที่ตามมา” แวรันเตือนเจมิสันอย่างเคร่งขรึม
เจมิสันรู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำเตือน เขาทำได้แค่ทำให้ดีที่สุดเท่านั้น
เขาพยักหน้าขณะที่เขาจากไป