Invincible โลกอมตะ - ตอนที่ 260
“มุ่งหน้าไปดินแดนแห่งความตายเพื่อตามหาหินจิตวิญญาณแห่งคำสาป?”หวงเสี่ยวก็พูดขึ้นอีกครั้งอย่างประหลาดใจ
ดินแดนแห่งความตายคือหนึ่งในสามพื้นที่ต้องห้าม ในพื้นที่แห่งนั้น ปกคุลมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและปราณปีศาจอันหนาแน่น ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนระดับโฮ่วเทียน แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนที่เข้าไปในดินแดนแห่งความตายจะถูกสาปกลายเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจหากพวกเขาไม่ระมัดระวัง
“ใช่ขอรับ โตเหยิน และเจียงเทียนหัวแห่งสถาบันกลืนกินโลหิตได้ฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ที่เรียกว่าดัชนีปีศาจแห่งความทุกข์ตรมซึ่งเขานั้นจำเป็นต้องใช้หินจิตวิญญาณแห่งคำสาปในการฝึกเฉินเสี่ยวเทียนก็พูดเพิ่ม “ดังนั้นหลี่หยุนหัวและหลิวหลี่หยางจึงได้ถูกส่งไปตามหาหินจิตวิญญาณแห่งคำสาปในดินแดนแห่งความตาย”
หวงเสี่ยวหลงก็พยักหน้า
หินจิตวิญญาณแห่งคำสาปเป็นหินหายากที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจาการรวมตัวของกลิ่นอายแห่งความตายและปราณปีศาจ ซึ่งมันมีผลต่อการบ่มเพาะปราณฉีธาตุมืดหรือเคล็ดวิชาปีศาจ
“ในความคิดของเจ้า เจียงเทียนหัวคนนี้ได้ก้าวไปยังขั้นที่ 8 หรือยัง?”หวงเสีย่วหงก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฉินเสี่ยวเทียนนั้นคิดคำถามนี้อย่างรอบคอบและตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม้ว่าข่าวลือภายนอกจะบอกว่าเจียงเทียนหัวคนนี้จะเป็นผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7 สูง-ปลาย แต่ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้เลยสักคน ไม่มีใครเป็นพยานรู้เห็นความแข็งแกร่งของเจียงเทียนหัวใน 10ปีมานี้เลยสักคน ตามที่ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้คาดการณ์ ดูเหมือนว่าเจียงเทียนหัวคนนี้จะทะลวงเข้าสู่ขั้นที่ 8ไปแล้วขอรับ”
“เซียนเทียนขั้นที่ 8”หวงเสี่ยวหลงก็พูดออกมาในขณะที่เขาขมวดคิ้ว
เขาสามารถก้าวข้าม ผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7 สูง-ปลาย อย่างเฉินเสี่ยวเทียนหลังจากที่ทำการรวมร่างกับจิตวิญญาณมังกรคู่ได้โดยง่าย แต่หวงเสี่ยวหลงนั้นไม่มีความมั่นใจในการเอาชนะผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 8เลย
สำหรับผู้ฝีกตนระดับเซียนเทียนขั้นสูง ช่องว่างความแข็งแกร่งของแต่ละชั้นนั้นจะเพิ่มขึ้นมากไปตามระดับชั้นย่อยที่เขาบรรลุได้ แม้ดูเหมือนช่องว่างเล็กน้อยระหว่างเฉินเสี่ยวเทียนที่มีการบ่มเพาะอยู่ในขั้นที่ 7 สูง-ปลาย กับเจียงเทียนหัวที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นที่ 8 แต่มันความแข็งแกร่งนั้นกับมากกว่าถึงสองเท่า บางแม้กระทั่งเฉินเสี่ยวเทียน 3 คน ยังไม่สามารถสู้กับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 8ได้เลย แม้กระทั่งในหมู่ผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 8 ชั้นต้น มันก็ยังมีความแตกต่างระหว่างผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ
สำหรับข่าวโคมลอยจากสถาบันกลืนกินโลหิตนั้น ความแข็งแกร่งของเจียงเทียนหัวนั้นจะต้องอยู่ในอันต้นๆในหมู่ผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 8 อย่างแน่นอน
ดังนั้นมันจึงมีเพียงวิธีเดียว นั่นก็คือเขาจะต้องบรรลุระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7 ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวงเสี่ยวหลงก็ได้ชั่งน้ำหนักและไตร่ตรองในโอกาสนี้สำหรับเขา หลังจากที่ทะลวงเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7 หวงเสี่ยวหลงก็มีความมั่นใจในการโค่นล้มเจียงเทียนหัวอย่างเต็มที่
“หลี่หยุนหัวและหลิวหลี่หยางจะออกเดินทางไปดินแดนแห่งความตายเมื่อไหร่กัน?”หวงเสี่ยวหลงมองเฉินเสี่ยวเทียนและถามออกมา
“น่าจะภายในอีก 2 วันนี้”เฉินเสี่ยวเทียนก็ตอบออกมา
“ดี เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของพวกมันและมารายงานข้าเมื่อพวกมันออกไปจากเมืองปีศาจทมิฬแล้ว”หวงเสี่ยวหลงก็ได้สั่งการ “อืม ตอนนี้เจ้าออกไปได้”
“ได้ขอรับนายน้อย!”เฉินเสี่ยวเทียนก็ได้ทำความเคารพและหันตัวออกไป
หลังจากเงาของเฉินเสี่ยวเทียนหายไปแล้ว หวงเสี่ยวหลงก็ได้เข้าในวิหารซูมี่อีกครั้งและกลืนกินโอสถพุทธจักวาลและทำการบ่มเพาะต่อ มันเป็นเรื่องขับขันสำหรับเขาที่จะต้องบรรลุระดับเซียนเทียนขั้นที่7 ถ้าหากเขาต้องการจะยืนยันให้แน่ใจว่าเขาจะสามารถโค่นล้มเจียงเทียนหัวภายในครั้งเดียว
เมื่อเขาทะลวงเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นสูง ความแข็งแกร่งขิงขาก็จะเพิ่มขึ้นทวีคูณ ด้วยจิตวิญญาณมังกรคู่ของหวงเสี่ยวหลง หุบเขาเทวะซูมี่ และเคล็ดวิชาดาบเทพอสูร เขาก็จะมีความแข็งแกร่งพอที่จะครอบครองดินแดนแห่งความโกลาหลนี้
หนึ่งคืนได้ผ่านไปเงียบๆ
หวงเสี่ยวหลงได้หยุดการบ่มเพาะเคล็ดวิชาซูมี่เทวะ และหันไปฝึกเคล็ดวิชาเทพอสูรและพระคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น
ตั้งแต่ที่เขาได้หุบเขาเทวะซูมี่มาไว้ในมือ เขานั้นได้ใช้โอสถพุทธจักวาลในทุกๆวัน เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อของเขา ในภายนอกหวงเสี่ยวหลงนั้นดูเหมือนเดิม ไม่มีใครสามารถมองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของเขาได้นอกจากตัวหวงเสี่ยวหลงเอง
เส้นลมปราณของเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยชั้นแสงสีทองที่ดูยืดหยุ่น และมันยังกระจายไปทั่วปกคลุมไปถึงอวัยวะภายในของเขา ถ้าเป็นก่อหน้านี้หล่ะก็ อวัยวะภายในของเขานั้นก็เหมือนหินแกรนิตอันคงทน และการพัฒนาในปัจจุบันนั้ได้เปลี่ยนกลายเป็นแก่นเหล็กกล้า
อาจจะกล่าวได้ว่าการป้องกันทางกายภาพของเขานั้นน่าตกตะลึงมากกว่าร่างกายของผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 8 เสียอีก แม้ว่าหวงเสี่ยวหลงจะยืนอยู่เฉยๆและให้เฉินเสี่ยวเทียนซัดหมัดใส่โดยไม่สวนกับ เขาก็คงไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไรมาก
“แต่ ข้าจะต้องหาวิธีทำให้หุบเขาเทวะซูมี่ผลิตโอสถพุทธจักวาลเพิ่มอีก” พอมองดูของเหลวสีข่าวขุ่นในบ่อน้ำขนาดเล็กที่ลดน้อยลง หวงเสี่ยวหลงก็พึมพำกับตัวเองขึ้น
ก่อนที่เขาจะออกจากจักรวรรดิต้วนเริ่น เขาได้ให้โอสถพุทธจักวาลแก่ครอบครัวของเขา และส่วนใหญ่นั้นเขาได้ใช้ไปกับการบ่มเพาะของเขา ทำให้มันเหลือไปไม่มาก และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือมันอาจะเหลือไม่พอถึงปี นั่นหมายความว่า ถ้าหวงเสี่ยวหลงไม่หาวิธีทำให้หุบเขาเทวะซูมี่ผลิตโอสถพุทธจักวาลภายใน 2 ปี โอสถพุทธจักวาลที่เหลืออยู่ของเขาก็จะหมดลง
ครู่ต่อมา หวงเสี่ยวหลงก็ได้ครุ่นคิด ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการยึดครองเมืองปีศาจทมิฬ ด้วยการมีเมืองปีศาจทมิฬเป็นที่ตั้งหลัก เขาถึงจะนับได้ว่าเขานั้นได้สร้างอิทธิพลในดินแดนแห่งความโกลาหลได้สำเร็จ หลังจากนั้น เขาจึงจะมุ่งสนใจหาวิธีให้หุบเขาเทวะซูมี่ผลิตโอสถพุทธจักวาลมากขึ้น
ในตอนนี้ แหวนเทพอสูรบนนิ้วหวงเสี่ยวหลงนั้นก็ได้กระพริบขึ้นในขณะที่เขาหยิบเอาภาพเคล็ดวิชาดาบเทพอสูร เขานั้นได้ฝึกกระบวนท่าที่ 6 เนตรจุติได้อย่างชำนาญแล้ว ดังนั้นมันจึงถึงเวลาที่เขาจะเริ่มฝึกกระบวนท่าที่ 7 หวงเสี่ยวหลงจึงได้ศึกษาภาพเคล็ดวิชาเทพอสูรนี้
“โซ่แห่งยมทูต”หวงเสี่ยวหลงก็พูดออกมาอย่างดังก้อง
โซ่แห่งยมทูต––มันเป็นชื่อของเคล็ดวิชาดาบเทพอสูร กระบวนท่าที่ 7
หวงเสี่ยวหลงทำการศึกษาภาพเคล็ดวิชาดาบเทพอสูรต่อไปและได้จดจำเส้นทางไหลเวียนของปราณฉีและท่าทางการโจมตีลงในความทรงจำของเขา ครู่ต่อมา หลังจากจดจำได้หมด หวงเสี่ยวหลงก็ได้หลับตาและนึกถึงรายละเอียดการใช้ในจิตใจ และทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่ในใจ
หลายชั่วโมงต่อมา ในที่สุดหวงเสี่ยวหลงก็ลืมตา จากนั้นเขาก็ได้ขยับร่างกาย เขาได้พุ่งออกไปในขณะที่ถือดาบคู่เทพอสูรไว้ในมือ จากนั้นเขาก็เหวี่ยงดาบออกไปด้านหน้า ทำให้เกิดปราณดาบนับมุ้วนพุ่งออกไปด้านหน้าโดยหมุนควงไปอย่างรวดเร็วราวอสรพิษและราวกับสว่านและเหมือนกับมังกรที่โมโหซึ่งปราณดาบทั้งหลายนั้นได้รวมร่างกันกายเป็นโซ่แดงคู่ที่พุ่งโจมตีออกไป มิติรอบด้านที่โซ่ได้ลอยผ่านไปนั้นดูราวกับมันถูกเจาะเป็นรู
หลังจากการพยายามในครั้งแรก หวงเสี่ยวหลงก็ได้หลับตาลงอีกครั้งและจดจำความรู้สึกเมื่อตอนที่เขาใช้โซ่แห่งยมทูต
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หวงเสี่ยวหลงก็ได้วาดดาบเทพอสูรออกไปเป็นรอบที่สอง และได้สร้างปราณดาบนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันกลายเป็นโซ่สีแดงที่ตวัดไปมา 4 ทิศทาง
หลังจาการโจมตีสงบลง หวงเสี่ยวหลงก็ได้ปิดตา จากนั้นเขาก็ได้พยายามอีกครั้งหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง 1 วันจึงได้ผ่านไปแบบตลอดวัน
ในช่วงตะวันลับฟ้า หวงเสี่ยวหลงนั้นสามารถสร้างโซ่ได้ 20 สายเมื่อเขาใช้งานกระบวนท่าโซ่แห่งยมทูต เมื่อโจมตีออกไป ปราณดาบที่รวมตัวกันเป็นโซ่ก็ได้หมุนวนออไป ซึ่งเป็นการโจมที่สามารถโจมตีออกไปได้ทุกทิศทาง ตามการอธิบายที่เขียนไว้ใต้ภาพ เมื่อกระบวนท่านี้ฝึกไปสู่ระดับสวมบูรณ์แบบ การโจมตีจากซุแห่งยมทูตนั้นจะสามารถบดบังได้ถึงสวรรค์และปฐพีซึ่งมีระยะทางหมื่นลี้ และภายขอบเขตมวลหมู่ซีสีแดงนี้ทุกสิ่งอย่างจะถูกฟันและเจาะผ่านไป สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดของโซ่แห่งยมทูตก็คือมันมีความสามารถในการควบคุมมิติภายในพื้นที่ของมัน และคุมขังทุกสิ่งอย่างที่อยู่ภายในอาณาเขตของมัน
เมื่อตกกลางคืน หวงเสี่ยวหลงจึงหยุดฝึก
ในเวลานี้ เฉินเสี่ยวเทียนได้เข้ามารายงานว่าผู้อาวุโสแห่งสถาบันกลืนกินโลหิต หลี่หยุนหัวและหลิวหลี่หยางได้ออกจากเมืองปีศาจทมิเพื่อไปทำภารกิจที่ดินแดนแห่งความตายแล้ว
หวงเสี่ยวหลงจึงพยักหน้า ในที่สุดทั้งสองคนก็ได้ออกไปจากพื้นที่ของเมืองปีศาจทมิฬ ดังนั้น หวงเสี่ยวหลงและเฉินเสี่ยวที่ทำตัวเป็นผู้นำทางได้มุ่งหน้าออกไปจากศูนย์หลักนิกายพ่อมดนภาเพื่อไป ‘พบ’หลี่หยุนหัวและหลิวหลี่หยาง
ห่างออกไปจากเมืองปีศาจทมิฬหมื่นลี้ หลี่หยุนหัว และหลิวหลี่หยางได้กำลังเดินทางผ่านหมู่เขาอันแห้งแล้ง
“ภารกิจในการเดินทางไปดินแดนแห่งความตายในครั้งนี้จะต้องสำเร็จลุล่วงให้ได้ เราจะต้องตามหาหินจิตวิญญาณแห่งคำสาปเพื่อโตเหยิน ด้วยหินนี้ กายาปีศาจอมตะและดัชนีปีศาจแห่งความทุกข์ตรมของโตเหยินจะได้พัฒนาถึงขั้นสมบูรณ์แบบสักที หืม เมื่อเวลานั้นมาถึง แม้กระทั่งประมุขนิกายเก้าอสูรก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโตเหยินของเรา วันที่สถาบันกลืนกินโลหิตของเราจะปกครองเมืองปีศาจทมิฬกำลังใกล้เข้ามาแล้ว!”หลี่หยุนหัวก็หัวเราะออกมา
พอได้ยินคำพูดนี้ หลิวหลี่หยางก็หัวเราะเห็นด้วย “เจ้าพูดถูก! เป้าหมายแรกที่พวกเราจะดูดกลืนก็คือนิกายพ่อมดนภา ถ้าหากไอ้เฉินเสี่ยวเทียนนั้นไม่รู้ว่าอะไรต่อตัวมันหล่ะก็ มันคงต้องทำได้แค่เพียงไปเกิดใหม่ซะ!”