Invincible โลกอมตะ - ตอนที่ 264
“เฉินเสี่ยวเทียนหมายถึงอย่างไร เขาก็หมายถึงอย่างนั้นงั้นหรือ?”จิตสังหารอันเข้มข้นได้เปล่งประกายขึ้นมาในดวงตาของเจียงเทียนหัว
ผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ในห้องโถงหลักต่างก้มหัวตัวสั่นทำตัวอยู่ให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ท่านประมุข ความสัมพันธ์ของเกิงเคนและเฉินเสี่ยวเทียนนั้นไม่เคยจะลงรอยกันมาก่อน แต่ในครั้งนี้พวกมันกลับหันมาจับมือกันซะงั้น มันจะต้องมีเรื่องผิดปกติในเรื่องนี้แน่” หลังจากผ่านไปไม่นาน ฉุยหมิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับกระซิบกระซาบอย่างระมัดระวัง
ดวงตาของเจียงเทียนหวงก็สว่างวาบขึ้น ซึ่งคือเรื่องนี้เป็นจุดสำคัญที่เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้ พูดตามตรง เกิงเคนควรจะดีใจในคำของของฉุยหมิงและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่มมือกับสถาบันกลืนกินโลหิต อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงเกิงเคนจะปฏิเสธ แต่เขาแม้กระทั่งอยู่ข้างเฉินเสี่ยวเทียนงั้นหรือ?
“ส่งคนไปตรวจสอบว่าที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นภายนิกายพ่อมดนภาถึงทำให้เฉินเสี่ยวเทียนและเกิงเคนร่วมมือกัน?”ครู่ต่อมา เจียงเทียนหัวก็สั่งการออกมา
“ได้ขอรับ ท่านประมุข”ฉุยหมิงก็ตอบรับอย่างเคารพ
แต่ 10 วันผ่าน ฉุยหมิงได้กลับมารายงานว่าไม่ได้อะไรสักอย่าง
“ไม่สามารถตรวจสอบได้”คิ้วของเจียงเทียนหัวก็ขมวดแน่น เรื่องนี้มันไม่ปกติแล้ว
เรื่องการเคลื่อนใหวของสถาบันกลืนกินโลหิตที่พยายามจะตรวจสอบเรื่องของเฉินเสี่ยวเทียน เกิงเคนและหวงเสี่ยวหลงนั้น แน่นอนว่าหวงเสี่ยวหลงได้รับรายงานเรื่องนี้ เขาได้บอกว่าให้เฉินเสี่ยวเทียนและเกิงเคนไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ ที่พวกเขาจำเป็นต้องทำคือการจับตาดูการกระทำของสถาบันกลืนกินโลหิตและนิกายเก้าอสูรต่อไป
ในวิหารซูมี่ หวงเสี่ยวหลงได้ยืนอยู่ใจกลางข่ายอาคมพระพุทธ 10 องค์และได้มีเสงสว่างสดใสส่องประกายรอบตัวของเขาราวกับเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ปราณใต้พิภพ ปราณพุทธโบราณ และปราณมังกรที่แท้จริงที่ได้ก่อรูปร่างขึ้นเป็น อัครทูติปีศาจ พระพุทธทองคำโบราณ และมังกรทองบรรพกาลเทวะ พวกมันทั้งสามนั้นได้หมุนไปมารอบตัวหวงเสี่ยวหลง
ทำให้แรงกดดันที่หวงเสี่ยวหลงปล่อยออกมาเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆในขณะที่ปราณทั้งสามนั้นได้ไหลผ่านไปในเส้นลมปราณและทะเลปราณและขยายตัวจากนั้นพวกมันก็พุ่งชนเข้าใส่กำแพงความกั้นระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7
หนี่ง สอง สาม!
หวงเสี่ยวหลงได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดราวกับฉีกกระชากวิญญาณอยู่ตลอด ความเจ็บปวดที่เกิดจากการทำลายกำแพงความกั้นระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7 นั้นมันมากกว่าหลายร้อยเท่าเมื่อเทียบกับการทะลวงเข้าสู่ขั้นที่ 5 และชั้นที่ 6
หวงเสี่ยวหลงกดฟันอดกลั้นพยายามใช้ปราณฉีทำลายกำแพงความกลั้น กากระทำนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องไปอย่างยาวนาน และทันทีก็ได้มีแสดงระเบิดขึ้นจากร่างของหวงเสี่ยวหลง ร่างของเขานั้นได้สั่นไหวและสว่างมากขึ้นในขณะเดียวกันแรงกดดันของเขานั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าหวาดหวั่น ซึ่งทำให้เกิดพายุขึ้นใจกลางห้องโถง
จากนั้นได้มีเสียงร้องอันลึกลับ เสียงท่องคาถาม และเสียงคำรามของมังกรจากตัวตนทั้งสามที่ก่อกำเนิดขึ้นจากปราณแต่ละอย่างของหวงเสี่ยวหลงนั่นก็คือ อัครทูตปีศาจ พระพุทธทองคำโบราณ และมังกรทองบรรพกาล เสียงเหล่านั้นเกิดขึ้นไปนานก่อนที่แสงสว่างจะค่อยๆลดลงและหายไปในที่สุดรวมถึงตัวตนทั้ง 3 ด้วย
หวงเสี่ยวหลงการใช้งานปราณฉีของเขา และหันขึ้นฟ้าแล้วตะโกนออกมาราวกับมังกรเทวะบรรกาล
ในที่สุดเขาก็ได้ก้าวเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7เสียที! พอบรรลุระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7 นั่นหมายความว่าเขาในตอนนี้นั้นคือผู้เชี่ยวชาญระดับเซียนเทียนขั้นสูงแล้ว ในโลกจิตวิญญาณต่อสู้ที่กว้างใหญ่นี้ เขานั้นถูกนับเป็นหนึ่งในชนชั้นสูง จำนวนของผู้เชี่ยวชาญระดับเทวะนั้นน้อยมาก ในจำนวนผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน1แสนคนนั้นมีเพียงแค่คนเดียวที่จะประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ระดับเทวะ
หวงเสี่ยวหลงสัมผัสได้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านอยู่ในปราณฉีของเขา และยังสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทุกส่วนในร่างกาย ตั้งแต่เลือดเนื้อ เส้นเลือด เส้นลมปราณ ทะเลปราณ มันทำให้เขามีความสุขมาก การทะลวงเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7นั้นไม่ได้มีประโยชน์เพียงการเพิ่มพลังเท่านั้น
ผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7กับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 6 สูง-ปลายนั้นมีพื้นมโนทัศน์และความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน
หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ หวงเสี่ยวหลงก็เบิกเนตรแห่งนรกที่อยู่บนหน้าผาก เนตรแห่งนรกนั้นได้ลืมขึ้นและเรืองแสงสีแดงซึ่งมันทำเกิดพายุพัดออกไป 4 ทิศทางเป็นผลให้ห้องโถงของวิหารถึงกับสั่นไหว
ในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ หวงเสี่ยวหลงได้พัฒนาเคล็ดวิชาเชิดหุ่นโบราณเข้าสู่ขั้นที่ 2 ซึ่งมันได้เพิ่มพลังจิตของเขาอย่างมากและรวมถึงถึงเพิ่มพูนพลังโจมตีของเนตรแห่งนรกอีกด้วยเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
นอกจากนี้ ในขั้นที่2ของเคล็ดวิชาเชิดหุ่นโบราณ พลังจิตของเขานั้นแข็งแกร่งพอที่จะพายุพลังจิต พายุที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เกิดขึ้นมาจากเนตรแห่งนรกสีแดงซึ่งมันคือพายุพลังจิต
พายุพลังจิต––ไร้ร่องรอย ไร้รูปร่าง และไร้เสียง!
‘ถึงเวลายึดครองสถาบันกลืนกินโลหิตแล้ว’ พอปิดการใช้งานเนตรแห่งนรก หวงเสี่ยวหลงก็คิดขึ้น
ตอนนี้เขาได้ทะลวงเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7 แล้ว พอนำมารวมกับเคล็ดวิชาเชิดหุ่นขั้นที่ 2 หวงเสี่ยวก็มีความมั่นใจในการโค่นล้มเจียงเทียนหัวได้ หลังจากยึดสถาบันกลืนกินโลหิตแล้ว ต่อไปก็จะเป็นนิกายเก้าอสูร
พอเรียบเรียงความคิด หวงเสี่ยวหลงก็ได้ออกจากวิหารซูมี่
อย่างไรก็ตามในขณะที่หวงเสี่ยวหลงไปถึงห้องโถงหลัก เฉินเสี่ยวเทียนก้ได้รีบมารายงานเขาว่าประมุขสถาบันกลืนกินโลหิตเจียงเทียนหัวได้มาถึงแล้ว
‘เจียงเทียนหัวอยู่ที่นี่แล้ว?’ หวงเสี่ยวหลงก็พยักหน้า นี่เป็นเรื่องที่ดีมากมันช่วยเขาจัดการปัญหาในการเดินทางไปศุนย์หลักสถาบันกลืนกินโลหิตเลย
“มันพาคนมาเท่าไหร่กัน?”หวงเสี่ยวหลงถามขึ้น
“นอกจากเจียงเทียนหัว ก็มีฉุยหมิงและผู้อาวุโสสถาบันกลืนกินโลหิตจำนวน 16 คน”เ ฉินเสี่ยวเทียนก็ได้ตอบอย่างเคารพ
ผู้อาวุโสสถาบัน 16 คน? เจียงเทียนหัวถึงขนาดพาคนมามากขนาดนี้เลย หวงเสี่ยวหลงก็เย้ยหยันอยู่ในใจ เขาสามารถคาดเดาถึงแรงจูงใจของเจียงเทียนหัวได้
ดูเหมือนว่าหากนิกายพ่อมดนภาไม่ยินยอมเป็นพันธมิตรด้วย เจียงเทียนหัวก็เลยตัดสินใจลงกับนิกายพ่อมดนภาก่อน!
ต้องการจะดูดกลืนนิกายพ่อมดนภางั้นหรือ? คำพูดของหลิวหยุนหัวได้ผุดขึ้นมาในความคิดของหวงเสี่ยวหลง
“ให้พวกมันเข้ามา”หวงเสี่ยวหลงก็ได้จัดการความคิดและบอกเฉินเสี่ยวเทียนที่อยู่ข้างเขา
“ได้ขอรับ นายน้อย!”เฉินเสี่ยวเทียนก็ตอบออกมาและหันหน้าออกไปจัดการให้เจียงเทียนหัว ฉุยหมิงและผู้อาวุโสสถาบันกลืนกินโลหิต เข้ามาในห้องโถงของนิกายพ่อมดนภา
ศิษย์นิกายพ่อมดนภาได้เดินเข้ามาหาเจียงเทียนหัวจากนอกทางเข้าแล้วพูดว่า “ประมุขเจียง ประมุขของพวกเรได้อนุญาตให้ท่านเข้าไป”
พอเห็นเรื่องนี้ ใบหน้าของเจียงเทียนหัวก็มืดครึ้ม เขาได้มาเป็นการส่วนตัวแต่เฉินเสี่ยวเทียนกลับไม่ออกมาเจอเขาที่ประตู? ไม่เพียงแค่นั้น เขากลับส่งศิษย์นิกายธรรมดาคนหนึ่งเข้ามาพาเขาเข้าไปด้วย? เมื่อกี้ศิษย์คนนี้พูดว่า ‘อนุญาต’ให้พวกเขาเข้างั้นหรือ?
อนุญาตไม่ใช่เชิญ! อนุญาตและเชิญนั้นแสดงให้เห็ฯทัศนคติที่แตกต่างกันออกไป
“เฉินเสี่ยวเทียนไม่มาต้อนรับประมุขนิกายของพวกเราด้วยตัวมันเอง!ช่างบังอาจและอวดดีเสียเจริง !”หนึ่งในผู้อาวุโสสถาบันกลืนกินโลหิตก็ระเบิดความโกรธออกมา เขาได้ชกออกไปใส่ศิษย์นิกายพ่อมดนภาคนนั้นลอยออกไป เมื่อศิษย์คนนั้นร่วงลง เขาก็ไม่เหลือลมหายใจอยู่แล้ว
เจียงเทียนหัวนั้นมองอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ
ศิษย์นิกายพ่อมดนภารอบข้างต่างถอยหลบออกไปด้านข้างและมองกลุ่มคนอันดับสูงของสถาบันกลืนกินโลหิตด้วยความตกใจ
“เข้าไปกัน”เจียงเทียนหัวก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา ด้วยการโบกมือ เขาก็ก้าวเดินนำกลุ่มผู้อาวุโสแห่งสถาบันกลืนกินโลหิตนเข้าสู่ประตูทางเข้าศูนย์หลักของนิกายพ่อมดนภา
พอเข้าสู่ศูนย์หลักของนิกายพ่อมดนภา เจียงเทียนหัวก็สับสนที่พบว่าภายในไม่มีศิษย์นิกายพ่อมดนภาอยู่ระหว่างทางเลย
“นิกายพ่อมดนภานี่ไม่ต่างอะไรจากพวกใจเสาะเลย”ผู้อาวุโสสถาบันกลืนกินโลหิตก็ได้เยาะเย้ยขึ้น “พอรู้ว่าพวกเราจะมาที่นี่ ศิษย์ทุกคนกลับหลบไปแอบซ่อน บางทีพวกมันคงกำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่ก็ได้!”
ฉุยหมิงและผู้อาวุโสที่เหลือก็ระเบิดเสียงหัวเราะ แม้ว่าเจียงเทียนหัวจะพบว่ามันแปลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก
ทันที เจียงเทียนหัวและกลุ่มก็ได้เข้ามาถึงห้องโถงหลักของนิกายพ่อมดนภา พอมองเห็นประตูห้องโถงที่ปิดอยู่อย่างแน่นหนา เจียงเทียนหัวก็ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่ามันมีสิ่งแปลกประหลาดที่เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ไม่ต้องกล่าวถึงความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นในใจของเขา
“ท่านประมุข ตอนนี้พวกเราจะเข้าไปเลยหรือไม่?”ฉุยหมิงมองดูสีหน้าของเจียงเทียนหัว “ประมุข แม้ว่าเฉินเสี่ยวเทียนและเกิงเคนจะอยู่ข้างเดียวกันมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย พวกมันไม่มีทางคุกคามพวกเราได้หรอก”