Invincible โลกอมตะ - ตอนที่ 332
ตอนที่ 332 แม้ว่าจะมีปีก…ก็ไม่มีทางหนีไปได้
อ่าวไปเสวียนั้นก็นั่งอยู่บนบัลลังก์ของผู้นํานิกายภายในห้องโถงในขณะใช้นิ้วลูบของประดับที่เป็นหยกข้างๆตัว…
บรรยากาศภายในห้องโถงแห่งนี้ก็เริ่มอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ ฟานอวี่หมิงนั้นก็ก้มหัวลงและไม่กล้าจะหายใจออกมาดัง
“ยังไม่มีข่าวจากฝั่งอาณษจักรลั่วถางงั้นหรือ?”ครู่ต่อมา ในที่สุด อ่าวไปเสวียก็พูดขึ้นมา น้ําเสียงอันโออ่าของเขานั้นก็ได้ทําลายความเงียบงันอันอึมครึมลงไป
ฟานอรี่หมิงนั้นก็ตัวสั่นสะท้านแต่จากนั้นเขาก็รีบก้าวออกมาตอบ “ตอบผู้อาวุโสอ่าว ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้มีเหตุการร์ผิดปกติแต่อย่างใดนะขอรับ ข้าน้อยได้ส่งผู้อาวุโสสูงสุดเหอฮุยไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้ลู่ไคก็คงจะโดนตัดหัวเรียบร้อยแล้ว ด้วยการตายของลูไคและลู่จิงขึ้นครองบัลลังก์ พวกเราก็จะสามารถควบคุมอาณาจักรลั่วถางได้ตามต้องการ
อ่าวไปเสวียนั้นก็จ้องมองฟานอวี่หมิงด้วยความยอมรับจากบนที่นั่งแล้วพูดออกมาด้วยคําพูดอันแผ่วเบา “ข้าหวังว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าพูด หากรับใช้ดี นิกายเทพนักรบก็จะมอบรางวัลให้เจ้าอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินใบหน้าของฟานอวหมิงนั้นก็เต็มไปด้วยความสุขแล้วจากนั้นเขาก็คุกเข่าคาราวะ “เข้าผู้นี้ขอขอบคุณผู้อาวุโสอ่าวมากขอรับ!!”
ทันใดนั้นเอง จากด้านนอกห้องโถง ผู้อาวุโสนิกายเทพวายุก็ได้วิ่งเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าที่อันรีบร้อน
อ่าวไปเสวียจึงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้อาวุโสคนนั้นจึงคุกเข่าแล้วรายงานด้วยน้ําเสียงสั่น “รายงานผู้อาวุโสอ่าว ท่านประมุข กะ-เกิดเรื่องขึ้นทางฝั่งอาณาจักรลั่วถางแล้วขอรับ”
เกิดเรื่อง? เกิดเรื่องขึ้นที่ว่านั้นจะต้องหมายถึงการตายของลูไคเป็นแน่ นอกเสียจากว่า…?
“มันเกิดอะไรขึ้น?”ฟานอวหมิงนั้นก็รีบพูดขึ้นอย่างกังวล
“มะ-มีคนมาช่วยเหลือลู่ไค และ และก็…”ผู้อาวุโสคนนั้นก็ลังเลขึ้นมา
“แล้วอะไร?”ฟานอวหมิงนั้นก็บีบคั้น
“และผู้อาวุโสเหอถูกฆ่า!!”ผู้อาวุโสคนนั้นก็ไม่กล้าจะปิดบังความจริง
“ว่าไงนะ?!”ฟานอรี่หมิงนั้นก็แสดงสีหน้าอันมืดครึมออกมา เขานั้นมั่นใจในความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสสูงสุด เหอฮุยที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเซียนเทียน 2 ขั้นปลายสูงสุดมากที่สุด จากที่เขาได้รู้มาในอาณาจักรลั่วถางนั้น ไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับเซียนเทียน 3 เลย แล้วนี่ลูกศิษย์ของเขากลับถูกฆ่าเนี่ยนะ?!
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับลู่จึงหล่ะ?”ฟางอวหมินก็ได้ถามเพิ่ม
“ลูจึงเองก็ถูกฆ่าขอรับ!!”ผู้อาวุโสนิกายเทพวายุคนนี้ก็ได้เล่าความจริงทั้งหมดออกมาอย่างตรงๆ
อย่างไรก็ตาม คําตอบของเขานั้นกลับทําให้ใบหน้าของฟางอวี่หมิงนั้นหน้าเกลียดมากขึ้นกว่าเดิม
ทางอ่าวไปเสวียนั้นก็ยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ของประมุขนิกายเหมือนเดิมและดูเหมือนจะไม่โมโหอะไรหลังจากได้ยินรายงานของผู้อาวุโสนิกายเทพวายุ แถมเขายังหัวเราะออกมาด้วย “น่าสนใจดีหนิ กลับมีคนกล้าบังอาจหาเรื่องนิกายเทพนักรบของข้าเสียได้? นี่มันช่างน่าสนใจยิ่งนัก”
แม้ว่าภายนอก อ่าวไปเสวียนั้นก็จะดูใจเย็น แต่ฟานอวี่หมิงนั้นกลับรีบคุกเข่าลงอย่างฉับพลันพร้อมกับโขกหัวลงกับพื้นและพูดว่า “ผู้อาวุโสอ่าว ขี้ข้าผู้นี้ช่างไร้ความสามารนัก สมควรตายพันครั้ง!!”
“พอแล้ว ลุกขึ้นได้” อ่าวไปเสวียพูด
ฟานอรี่หมิงและผู้อาวุโสอีกคนนั้นก็พูดขอบคุณก่อนจะลุกขึ้นยืน
“แล้วเจ้าคนพวกนั้นที่ไปช่วยเหลือลไคมันมีกี่คนกัน?”อ่าวไปเสวียนั้นก็ได้ถามกับผู้อาวุโสนิกายเทพวายุ
ผู้อาวุโสนิกายเทพวายุจึงรีบตอบออกมา “มีสองคนขอรับ หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่ม ส่วนอีกคนนั้นเป็นยักษ์สูงสี่เมตร ดีเหมือนว่าชายหนุ่มนั้นจะถูกเรียกว่าหวงเสี่ยวหลง ส่วนชายร่างยักษ์นั้นอาจจะเป็นผู้คุ้มกันของมัน”
“อะไรนะ? หวงเสี่ยวหลง?”อ่าวไปเสวียนั้นก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา “เจ้าแน่ใจนะว่ามันถูกเรียกว่าหวงเสี่ยวหลง?”
“ถูกแล้วขอรับผู้อาวุโสอ่าว ในตอนที่ชายหนุ่มนั้นไปช่วยลูไค ชาวบ้านต่างๆที่มายืนมุงดูกันรอบลานต่าง จดจําชายหนุ่ทมคนนั้นได้และกล่าวกันว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอาณาจักรล้วถาง และยังเป็นคนที่ได้เข้าร่วมการประลองเมืองจักรพรรดิของจักรวรรดิโวนเริ่นและชนะได้ที่หนึ่งมา”ผู้อาวุโสคนนี้ก็รีบตอบออกมาด้วยความเคารพ
เมื่อได้ยินคําอธิบายของผู้อาวุโสคนนี้ อ่าวไปเสวียนั้นก็มั่นใจแล้วว่ามันเป็นหวงเสี่ยวหลงแน่ๆซึ่งนั่นทําให้เขาหัวเราะออกมาด้วยความยินดี จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นในขณะที่หัวเราะออกมา “หวงเสี่ยวหลง เจ้าหวงเสี่ยวหลง เอ้ย สุดท้ายแล้ว การเจอกันระหว่างพวกเราก็เป็นสิ่งไม่อาจจะถูกหลีกเลี่ยงได้ ข้าไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะมาปรากฏตัวที่นี่!!”
ในหมู่สมาชิกนิกายเทพนักรบ หวงเสี่ยวหลงนั้นได้ถูกตราหน้าว่าเป็น “คนชั่วช้าไปแล้ว!!
ใครก็ตามที่กล้าหาเรื่องนิกายเทพนักรบนั้นก็จะถูกตราหน้าว่าเป็น คนชั่วช้า และในรายชื่อคนชั่วช้าของนิกายเทพนักรบ แม้ว่าหวงเสี่ยวหลงนั้นจะไม่ได้อยู่ในอันดับหนึ่งแต่หวงเสี่ยวหลงนั้นก็ติดท็อบสิบอันดับแรก
ถ้าหากเขาสามาถจับกุมหวงเสี่ยวหลงและพาไปยังนิกายเทพนักรบได้ เขานั้นก็จะได้รับรางวัลอย่างงาม แน่นอนว่าถ้าหากเขาเอาศพหวงเสี่ยวหลงไปได้ เขาก็จะได้รางวัลแบบนั้นด้วย
“ผู้อาวุโสอ่าว หวงเสี่ยวหลงนั่น..?”ฟานอวหมิงนั้นก็สอบถามอย่างระวัง
อ่าวไปเสวียจึงยิ้มออกมา “ก็พวกชั้นต่ําคนนึง เมื่อหลายปีก่อนเจ้านี่สร้างความบาดหมางต่อนิกายของเรา และในตอนนั้นมันก็แค่ระดับเซียนเทียนต้นๆเอง ไม่ว่าปัจจุบันมันจะแข็งแกร่งขนาดwหน มันก็ถูกตราหน้าว่าเป็น คนชั่วชที่นิกายเทพนักรบหมายหัว”
ฟานอรี่หมิงนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า “งั้นก็เป็นแบบนี้นี่เอง ไม่ว่าหวงเสี่ยวหลงมันจะมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างไร มากสุดมันก็แค่ระดับเซียนเทียนขั้นกล้าง บางทีมันอาจจะยังไม่ได้ทะลวงเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางด้วยซ้ํา ต่อหน้าผู้อาวุโสอ่าว แม้ว่ามันจะมีปีก มันก็ไม่อาจจะหนี้ท่านได้ แถมมันคงจะฉีแตกทันทีที่ได้เห็นผู้อาวุโสอ่าวเป็นแน่”
คําพูดยกยอนี้ทําให้อ่าวไปเสวียนั้นมีความสุขมากๆ
“แล้วเจ้ารู้ใหมว่าหวงเสี่ยวหลงหนีไปทางใหนกัน?”อ่าวไปเสวียนั้นก็ถามกับผู้อาวุโสคนนั้น
“ตอบผู้อาวุโสอ่าว หวงเสี่ยวหลงนั้นไม่ได้หนีไปหลังจากช่วยลู่ไค แต่มันกลับไปยังสถานที่ที่เรียกว่าโรงเตี้ยมเลิศรสในเมืองลั่วถางและกินเลี้ยงดื่มสุรากันที่นั่นขอรับ”ผู้อาวุโสะนั้นก็ตอบออกมาด้วยความเคารพอย่างสูง “แม้กระทั่งตอนนี้ พวกมันก็ยังคงอยู่ที่นั่นอยู่เลยขอรับ”
อ่าวไปเสวียนั้นก็ตกตะลึง พวกมันไม่หนีงั้นหรอ?” จากนั้นแล้วเขาก็ได้สอบถามถึงลักษณะของชายร่างยักษ์ที่มากับหวงเสี่ยวหลง หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่ใช่จ้าวชหรือจางฟู เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
ตราบใดที่ไม่ใช่จ้าวชหรือจางฟู การจัดการเรื่องนี้มันก็จะง่ายขึ้น ที่ฝั่งของหวงเสี่ยวหลงนั้น มีผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญศักดิ์สิทธิขั้นสูงแค่จ้าวปูและจางฟู ส่วนพวกต่ําต้อยที่เหลืออย่างหยูหมิง ฮ่าวเทียนและเฟยฮาว แค่เพียงดีดนิ้ว เขาก็จัดการพวกมันได้แล้ว
“หวงเสี่ยวหลง ข้าหล่ะอยากจะเห็นจริงๆว่าครั้งนี้เจ้าจะหนีรอดเงื้อมมือของเขาได้ใหม!!!”อ่าวไปเสวียนั้นก็พูดออกมาอย่างเย็นชา เขานั้นก็หันหน้าไปสั่งการฟานอวี่หมิง “สั่งการลงไปว่าให้ปิดเมืองลั่วถางห้ามคนเข้าคน ส่วนเจ้าก็จงเดินทางไปกับข้า”
“ได้ขอรับ ผู้อาวุโสอ่าว!!”โดยไม่รีรออีกต่อไป อ่าวไปเสวียนั้นจึงบินออกไปจากห้องโถงและนําฟานอวหมิง และคนที่เหลือไปยังเมืองลั่วถาง ด้วยความเร็วระดับนักบุญศักดิ์สิทธิของอ่าวไปเสวีย การเดินทางร้อยลี้นั้นก็เป็น แค่เพียงการเวลาหนึ่งก้านธูป
จากนั้นไม่นานอ่าวไปเสวียนั้นก็ได้เห็นเมืองลั่วถางตรงหน้าเขา ในขณะมองดูสิ่งก่อสร้างที่ดูใหญ่โตและใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ในดวงตาของเขานั้นก็ได้ปรากฏความตื่นเต้น ตอนนี้เขานั้นอยู่ในระดับนักบุญศักดิ์สิทธิขั้นที่ 1 กลาง ตอนนี้ถ้าหากว่าเขานั้นสามารถจับเป็นหวงเสี่ยวหลงและพาไปยังนิกายเทพนักรบได้หล่ะก็ ด้วยรางวัลนําจับ เขาก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับนักบุญศักดิ์สิทธิขั้นที่ 1 ปลายได้ในเวลาสั้นๆอย่างแน่นอน
ในขระที่อ่าวไปเสวียและกลุ่มนั้นกําลังเข้าใกล้เมืองลั่วถาง หวงเสี่ยวหลงและลูไคนั้นก็กําลังชนแก้วกันอยู่ในโรงเตี้ยมเลิศรส นี่มันก็ผ่านไปหลายปีแล้วที่พวกเขานั้นไม่ได้เจอกันเลย ดังนั้นพวกเขาจึงมีเรื่องมากมายที่อยากจะคุยกัน
พวกเขานั้นก็คุยกันหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็ฯเรื่องสถาบันแสงดารา วันเวลาที่พวกเขาใช้ร่วมกันแล้วจึงถอนหายใจออกมาด้วยความคิดถึง เมื่อเรื่องมันมาถึงการประลองประจําปีของสถาบัน ลู่ไคจึงหัวเราะออกมา “ไอ้เด็กนี้ ตอนนั้นเจ้าน่าจะให้ข้าได้โจมตีเจ้าสักครั้งนะรู้ใหม?”ในปีทุกครั้งที่หวงเสี่ยวหลงได้พบกับลไค เขานั้นก็มักจะอ่อนข้อให้เสมอ
หวงเสี่ยวหลงเองก็หัวเราะออกมาด้วย “ก็ข้าโกงไม่ได้หนิ” พอพูดแล้ว หวงเสี่ยวหลงก็นึกถึงคนๆนึง “แล้วเจ้า เจียงเฉิง หมอนั่นเป็นไงบ้าง?”
เจียงเถิงนั้นเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับหวงเสี่ยวหลงในปีแรก และเป็นคนเพียงคนเดียวที่มีจิตวิญญาณต่อสู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่งนอกจากหวงเสี่ยวหลง
“ผู้อํานวยการซุนจางและรองผู้อํานวยการเซียงนูได้หวังกับหมอนั่นมาก ตอนนี้เจียงเฉิงน่าจะขั้นที่ 9 กลาง แล้วหล่ะ”ลูไคนั้นก็พูดออกมา ขั้นที่ 9 กลางที่พูดถึงนั้นก็แน่นอนว่าเป็นผู้ฝึกตนขั้นโฮ่วเทียนขั้นที่ 9 กลาง
หวงเสี่ยวหลงจึงพยักหน้า เจียงเถิงนั้นเป็นลูกศิษย์ของซุนจางและเซียง และด้วยจิตวิญญาณต่อสู้ระดับ 11 ที่ยอดเยี่ยมกับด้วยการชี้นําของผู้อาวุโสทั้งสอง แน่นอนว่าเขาจึงได้ประสบความสําเร็จแบบนี้
เมื่อกล่าวถึงเฉียบงเถิงแล้ว ลูไคนั้นก็ทนไม่ไหวจนถามออกมา “นี่น้องชาย บอกข้าหน่อยสิว่า ตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งขนาดใหนแล้ว?”เขานั้นรู้สึกสงสัยในความแข็งแกร่งของหวงเสี่ยวหลงมากๆ