Invincible โลกอมตะ - ตอนที่ 222
3 วันผ่านไป หวงเสี่ยวหลงออกเดินทางจากคฤหาสน์เนินเขาทิศใต้แล้วออกจากเมืองจักรพรรดิต้วนเริ่นแล้วมุ่งหน้าเดินทางไปอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์
หวงเผิง ซูหยาน หวงหมิน หวงเสี่ยวให่ จางฟู จ้าวชู และคนที่เหลือยืนอยู่ด้านนอกประตูเมืองจักรพรรดิต้วนเริ่น พวกเขาก็มองร่างของพวกเขาเล็กลงเรื่อยและในที่สุดก็หายไปจากสายตาในขณะที่ยืนส่งหวงเสี่ยวหลงเดินทาง
ดวงตาของซูหยานก็พร่ามัวพร้อมกับมีน้ำตาไหลพรากในขณะที่มองร่างเงาของหวงเสี่ยวหลงค่อยๆเล็กลงและหายไปจากสายตาของเธอ
ตั้งแต่หวงเสี่ยวหลงอายุ 8 ปี นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลหวงเพื่อฝึกฝนข้างนอกจนกระทั่งตอนนี้ 10ปีผ่านไป ในไม่กี่ปีนี้ เธอและลูกชายของเธอคนนี้แยกจากกันมากกว่ามีเวลาอยู่ด้วยกันเสียอีก
ปีนั้น แม้เธอจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าลูกชายของเธอจะกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังในอาณาจักรต้วนเริ่นในเวลาเพียงแค่ 10ปีสั้นๆ แม้กระทั้งจักรพรรดิต้วเริ่นก็ยังเคารพลูกชายของเธออย่างสูง
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อนในช่วงเวลา 10 ปีมานี้
จักรพรรดิต้วนเริ่น!
ตัวตนที่ประชาชนจักรวรรดิต้วนเริ่นหลายพันล้านคนต่างให้ความเคารพบูชา
“เรากลับกันเถอะ” เป็นเวลานานหลังจากนั้น หวงเผิงก็พูดออกมา ทำให้ทุกคนต่างตัดสินใจเดินทางกลับคฤหาสน์เนินเขาทิศใต้
พอออกจากเมืองจักรพรรดิต้วนเริ่น หวงเสี่ยวหลงก็เดินทางไปทางทิศใต้แล้วไปถึงชายแดนจักรวรรดิต้วนเริ่นในหนึ่งเดือนต่อมา จากนั้นเขาก็ได้ก้าวออกจากดินแดนของจักรวรรดิต้วนเริ่น
จักรวรรดิเพื่อนบ้านแห่งแรกที่อยู่ทางทิศใต้ก็คือจักรวรรดิฟอนใบไม้ผลิ
ลำดับความแข็งแกร่งของจักรวรรดิฟอนใบไม้ผลิอยู่ในลำดับสุดท้ายท่ามกลางทั้ง 17 จักรวรรดิแห่งทวีปหิมะโปรยปราย อาจกล่าวได้ว่าอ่อนแอกว่าจักรวรรดิต้วนเริ่นเสียอีกซึ่งมีอาณาจักรที่อยู่ใต้อาณัติน้อยกว่า 800 อาณาจักร ดังนั้น พื้นที่ของจักรวรรดิฟอนใบไม้ผลินั้นมีขนาดครึ่งเดียวของจักรวรรดิต้วนเริ่น
ตลอดทาง หวงเสี่ยวหลงเลือกเดินทางไปบนเนินเขาที่แห้งแล้งโดยวิ่งไปตลอดทั้งเช้าและกลางคืน
พอบนถนนที่เขาเดินทางไม่ค่อยจะมีคน เขาจึงเรียกมังกรดำและมังกรฟ้าออกมา แล้วกระโดดขึ้นยืนอยู่บนมังกรตัวตัวหนึ่งในมังกรทั้งสองตัว จากนั้นเขามุ่งหน้าบินไป
ด้วยการขี่มังกรบินไป ทำให้ความเร็งของหวงเสี่ยวหลงเพิ่มขึ้นมาก และทันที เขาเดินทางผ่านจักรวรรดิตฟอนใบไม้ผลิไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีก 3 จักรวรรดิยักษ์ใหญ่ที่เขาจะต้องเดินทางผ่านก่อนที่จะเดินทางไปถึงจักรวรรดิที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของทวีปหิมะโปรยปราย ซึ่งก็คือจักรวรรดิพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์
ตั้งแต่หวงเสี่ยวหลงเลือกเดินบนเส้นทางภูเขาที่แห้งแล้ง เขาก็ไม่ได้พบเจอปัญหาระหว่างทางใดๆเลย มากสุดก็เจอเพียงโจรกลุ่มเล็กๆที่มีความแข็งแกร่งมากสุดอยู่ระดับโฮ่วทียนขั้นที่ 10
สำหรับหวงเสี่ยวหลงในปัจจุบัน ผู้ฝึกตนระดับโฮ่วเทียนขั้นที่10ก็ไม่ต่างอะไรจากการขยับนิ้ว
ในขณะที่หวงเสี่ยวหลงเดินทางเวลากก็ได้พัดผ่านไป และในพริบตา ก็ผ่านไปครึ่งปี
ในครึ่งปีนี้ หวงเสี่ยวหลงได้เริ่มฝึกฝนปราณฉีและปราณภายในอย่างจริงจัง เพื่อเพิมความแข็งแกร่งของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่างแรกปราณฉีของเขาได้เพิ่มถึงระดับเซียนเทียนขั้นที่ 2 สูงสุดและสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 3 ได้ตลอดเวลาแต่ทว่าปราณภายในของเขานั้นได้มาถึงจุดเปลี่ยนแปลงของขั้นที่ 9 มังกรฟ้าสะบัดกรงเล็บ และอีกไม่เพียงกี่วันก็จะเข้าสู่ขั้นที่ 10
ตกกลางคืน แสงจันทร์สาดส่องลงมาข้างล่างราวกีบคลื่นน้ำอันสดใส
สถานที่สักแห่งบนภูเขาแห้งแล้ง หวงเสี่ยวหลงกำลังนั่งอยู่ข้างกองไฟเล็กๆ แล้วเขาก็หยิบเหยือกไวน์น่าคมคายออกมาจากแหวนเทพอสูร จากนั้นเขาก็จิบไวน์ไปอย่างช้าๆในขณะครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ในอีกใม่กี่วันเขาก็จะไปถึงอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์
อาณาณจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์! หวงเสี่ยวหลงก็พึมพำชื่อนี้ออกมาจากปาก
เขาเคยได้ยินข่าวลือที่น่าเชื่อถือว่าอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกสร้างโดยคนที่ชื่อว่าเทียนฟูซึ่งเขาเป็นคนที่มาจากโลกพุทธะประมาณหนึ่งพันปีก่อนและตั้งแต่นั้นมา ผู้ก่อตั้งเทียนฟูคนนี้ก็ได้หายตัวไป คนที่ควบคุมดูและอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบันก็คือลูกศิษย์ของเขาที่ชื่อว่าฉื่อฟานเทียน
ฉื่อฟานเทียนเป็นบุคคลในตำนานแห่งทวีปหิมโปรย มีคนกล่าวไว้ว่าฉื่อฟานเทียนนั้นเกิดมาพร้อมกับกายาพุทธะ และหยกพุทธะในปากเขาที่เป็นบันทึกวิชาต่อสู้อันน่าเกรงขาม ซึ่งก็คือคัมภีร์พระสูตรพุทธะที่มีเพียงฉื่อฟานเทียนผ็มีกายาพุทธะโดยกำเนิดเพียงเท่านั้นที่สามารถจะฝึกฝนได้
“การเดินทางครั้งนี้ ข้าสงสัยจังเลยว่าข้าจะได้เห็นฉื่อฟานเทียนคนนี้ใหม”
ก่อนที่เขาะเริ่มเดินทาง หวงเสี่ยวหลงได้สอบถามและทำความเข้าใจไว้ว่าฉื่อฟานเทียนคนนี้เป็นคนที่น่าเกรงขาม เมื่อเขาเข้าควบคุมอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิเมื่อประมาณพันปีก่อน เขาก็มีการบ่มเพาะอยู่ในระดับเทวะขั้นที่ 2 แล้ว
แล้วหวงเสี่ยวหลงยืนยันได้ว่าถ้าหากคนนอกต้องการจะเข้าถ้ำพุทธะ อย่างแรก จะต้องมีเหรียญตราพุทธะ และเหรียญตราพุทธะนี้มีค่าเทียบเท่ากับเหรียญตราทองคำของจักรวรรดิต้วนเริ่น เหรียญตราพุทธะทุกชิ้นนั้นฉื่อฟานเทียนจะเป็นคนประทานให้ด้วยตัวเอง
เหรียญตราทองคำของจักรวรรดิต้วนเริ่นนั้นมีเพียงแค่ 2 ชิ้นเท่านั้นแต่สำหรับเหรียญตราพุทธะนั้นกลับไม่ใช่ หวงเสี่ยวหลงไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันมีจำนวนเท่าไหร่ แต่เขาคาดว่ามันคงมีไม่ต่ำไปกว่า 10 เหรียญ
นอจากนี้ เขาไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ถือเหรียญพุทธะนี้บ้าง
นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้หวงเสี่ยวหลงขมวดคิ้ว
มันเร็วเกินไปที่เขาจะมากังวลกับเรื่องนี้ เขาควรจะไปคิดเมื่อถึงเป้าหมายซะยังจะดีกว่า
ค่ำคืนได้ผ่าน ในเช้าวันใหม่ หวงเสี่ยวหลงได้เดินทางต่อไปทางเดิม
ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดเขาก็เดนทางมาถึงอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเขาก้าวลงบนพื้น เมืองหลายแห่งที่เขาได้ผ่านมา โครงสร้างอาคารส่วนใหญ่จะมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา น้อยสุดบนถนนเกือบทุกแห่งก็จะมีวัดของศาสนาพุทธอยู่ แม้กระทั่งร้านค้าบางแห่งก็มีประตูทางเข้าที่มีรูปทรงแกะสลักของพระพุทธเจ้า
ในทั่วทั้งอาณาจักรพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ สิ่งหนึ่งที่สามารถสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งของพุทธศาสนาก็คือกลิ่นธูปที่ตลบอบอวลไปทั่วอากาศ
เมื่อเขาเดินทางเข้าในอาณาจักรพระพุทะเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ หวงเสี่ยวหลงก็สอบถามข่าวเกี่ยวกับเหรียญพุทธะในขณะที่มุ่งหน้าไปทางถ้ำพุทธะ
ถ้ำศักดิ์สิทธิ์หรือถ้ำพุทธะนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ด้านในเมืองหลวงที่อยู่ทางทิศใต้ แต่ถ้ำพุทธะนั้นกลับตั้งอยู่ตรงข้ามเมืองหลวงซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ
คนนั้นอยู่ทางทิศใต้แต่สิ่งที่ต้องปกป้องกับอยู่ทิศเหนือ เป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งเดือน หวงเสี่ยวหลงก็เดินทางมาถึงหนึ่งในเมืองหลักที่อยู่ล้อมรอบถ้ำพุทธะซึ่งมีชื่อเรียกว่า เมืองการค้าอุดร
ถ้ำพุทธะนั้นเป็นพื้นที่ต้องห้าม โดยเฉพาะคนนอก แล้วเมืองแห่งนี้เติบโตยิ่งใหญ่มาก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น พอเข้าเมืองแล้วหวงเสี่ยวหลงกับได้รับการต้อนรับด้วยแถวรถม้าและฝูงชนเดินเท้าอันไร้ที่สิ้นสุด ตั้งแต่พระที่ใส่จีวรไปจนถึงคนธรรมดาที่ใส่ชุดหลากหลายแบบ แถมยังมีนักบวชเต๋าและแม้กระทั่งแม่ชี มันช่างเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวอย่างแท้จริง
หลังจากหวงเสี่ยวหลงเข้ามาในเมือง เขาหยุดเดินเมื่อเขาเดินมาถึงร้านอาหารที่มีชื่อว่าห้วยเมฆาแล้วเดินเข้าไป เขาได้เลือกนั่งลงบนที่นั่งติดขอบหน้าต่างและสั่งอาหารกับบริกร
“เจ้าได้ยินมาใช่มั้ย แท่นบูชาของถ้ำพุทธะได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง!”
“แท่นบูชาพระพุทธปรากฏขึ้นมาอีกแล้วงั้นหรอ! ครั้งสุดท้ายที่มันปรากฏขึ้นมาก็เมื่อ 300 ปีก่อน!”
“ใช่ ทุกครั้งแท่นแท่นบูชาพระพุทธปรากฏขึ้น นั่นแสดงว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในถ้ำอย่างแน่นอน จ้าสงสัยจงเลยว่าครั้งนี้ผู้ใดกันจะเป็นผู้โชคดีได้รับเลือกจากแท่นบูชาพระพุทธ แล้วก็ข้าได้ยินว่าคนที่ถูกแท่นบูชาเลือกนั้นสามารถได้เข้าเฝ้าท่านจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของเราและก็ยังได้รับพรตามที่ปรารถนาหนึ่งอย่างด้วย!”
ณ เวลานี้ ได้มีเสียงพูดคุยอันหน้าตื่นเต้นลอยเข้ามาในหูของหวงเสี่ยวหลง
ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของเขาเพิ่มขึ้น
แท่นบูชาพระพุทธงั้นหรอ?!
“บริกร”หวงเสี่ยวหลงเรียกบริกร
“นายน้อยท่านี้ ท่านจะรับอะไรเพิ่มใหมครับ?”บริกรรีบเดินลุกลี้ลุกลนไปหาหวงเสี่ยวหลง โค้งคำนับแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
หวงเสี่ยวหลงก็โยนถึงเงินที่มีเงินอยู่ข้างในหลายร้อยเหรียญทองให้กับบริกรแล้วจึงถามว่า “แท่นบูชาพระพุทธที่ผู้คนพูดถึงกันอยู่คือสิ่งใดกัน?”
พอรับถุงเงิน บริกรก็รีบเก็บถุงเงินไว้ในฝ่ามือแล้วยิ้มออกมาอย่งสดใส “นายน้อยจะต้องเป็นคนจากนอกอาณาจักพระพุทธเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์สินะครับ? แท่นบูชาพระพุทธนี้เป็นสิ่งที่จักรพรรดิผู้ก่อตั้ง เทียนฟู ของพวกเราเหลือทิ้งไว้ ซึ่งมันจะปรากฏทุกๆหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี ผู้ที่ถูกเลือกโดยแท่นพระพุทธจะได้รับการเข้าเฝ้าจักรพรรดิของพวกเราฉื่อฟานเทียนและสามารถขอความปรารถนาให้สมหวังได้หนึ่งข้อ”
หวงเสี่ยวหลงก็นั่งฟังแล้วถามคำถามบริกรไปหลายคำถามที่เกี่ยวข้องกับแท่นบูชาพระพุทธ ไม่กี่นาทีต่อมา บริกรก็ได้ออกไปแต่ทว่าหวงเสี่ยวหลงก็ยังคงก้มลงคิดไตร่ตรอง ตามที่บริกรได้พูดมา คนที่ถูกเลือกโดยแท่นพุทธะจะต้องผ่านพิธีกรรมล้างบาปโดยพลังพุทธะที่อยู่ในแท่นบูชา พลังนี้ไม่เพียงจะเพิ่มการบ่มเพาะของผู้ฝึกตนแล้ว มันก็ยังมีประโยชน์ในการบ่มเพาะระยะยาวด้วย
สิ่งพวกนี้ไม่ใช่จุดสำคัญ แม้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการที่ฉื่อฟานเทียนจะเติมเต็มคำขอของผู้ถูกเลือกต่างหาก!
ถ้าหากเขาได้รับเลือกโดยแท่นพระพุทธด้วยคำขอหนึ่งข้อ เขาก็จะสามารถเข้าไปในถ้ำพุทธะได้อย่างราบรื่น
ดังนั้นหวงเสี่ยวหลงจึงได้ตัดสินใจว่า อย่างแรกพรุ่งนี้เช้าเขาจะดินทางไปดูแท่นพระพุทธ