Invincible โลกอมตะ - ตอนที่ 245
“ผู้ครอบครองหุบเขาเทวะซูมี่ไม่ล้มตายง่ายๆงั้นหรือ?”หวงเผิงและซูหยานก็ตกใจ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าลูกชายของพวกเขานั้นเป็นเจ้าของสมบัติสวรรค์ แต่พวกเขานั้นไม่เคยได้ยินรายละเอียดชัดเจนขนาดนี้
ในตอนนั้นจ้าวชูก็ก้าวออกมาย้ำเตือน “นายท่านหวง สิ่งที่นายน้อยพูดนั้นคือความจริง ตำนานได้กล่าวแบบนั้นจริงๆ”
จางฟูที่อยู่ด้านหลังจ้าวชูก็พยักหน้าด้วยเหมือนกัน ทั้งจ้าวชูและจางฟูนั้นเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน
พอเห็นแบบนี้แล้ว ความกังวลของหวงเผิงและซูหยานก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แม้จะเป็นแบบนั้น หวงเสี่ยวหลงก็ไม่มีทางหนีพ้นเมื่อซูหยานจับมือเขาไว้แน่น แล้วบอกให้เขารักษาตัวเอง ความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ระมัดระวัง ตัวเอง อย่าไปสู้กับคนอื่นเป็นเวลาหลายชั่วโมง
หวงเสี่ยวหลงก็ยิ้มเล็กน้อยในขณะที่เขาทนฟังแม่เขาบ่นหลายชั่วโมง
สองชั่วโมงต่อมา หวงเสี่ยวหลงก็บอกลาทั้งสี่คนที่มองดูเขา นั่นคือหวงเผิง ซูหยาน จ้าวชู และจางฟู หลังจากนั้นหวงเสี่ยวหลงก็ได้เดินออกจากเมืองจักรพรรดิต้วนเริ่น ซึ่งเขานั้นมีทั้งจิตวิญญาณมังกรคู่ และหุบเขาเทวะซูมี่ ดังนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยานพาหนะ
พอมองเห็นร่างของลูกชายค่อยๆลาลับไปต่อหน้าต่อตา ซูหยานก็ทนน้ำตานองออกมาไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างร้องไปเลย หลงเอ๋อสัญญาแล้วว่าเขาจะกลับมาภายใน 2 ปี”หวงเผิงก็กอดไหล่ภรรยาของเขาและปลอบประโลมเธอ
ซูหยานก็พยักหน้าและเช็ดน้ำตา จากนั้นเธอก็พูดออกมาว่า “ข้าสงสัยจังว่าเด็กนั่นหลี่ลู่กำลังทำอะไรอยู่กัน”
หวงเผิงก็ตกใจกับคำถามที่กะทันหันแบบนี้แต่เขาก็พูดออกมาว่า “ไม่ต้องกังวล หลงเอ๋อและเธอจะต้องได้อยู่ด้วยกันแน่!”
ซูหยานก็พยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นไม่นานทั้งสี่คนก็หันหน้ากลับเข้าไปในคฤหาสน์
……
ในเวลานี้ ในอาณาจักรภายใต้อาณัติของจักรวรรดิต้วนเริ่น เหยาเฟยนั้นกำลังนั่งรับฟังการรายงานจากข้ารับใช้ของเขา จากนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกายออกมาอย่างตื่นเต้น “เจ้ามั่นใจงั้นหรือ ว่าหวงเสี่ยวหลงออกเดินทางไปจากจักรวรรดิต้วนเริ่นเพียงลำพัง?”
“ใช่ขอรับ นายน้อย ไม่มีผิดพลาดแน่นอน!”ข้ารับใช้คนนั้นก็ตอบออกมาอย่างเคารพ “จ้างชูและจางฟูนั้นยังคงอยู่ในคฤหาสน์เนินเขาทิศใต้โดยไม่ติดตามมันไป!”
เหยาเฟยก็ระเบิดเสยงหัวเราะออกมา “หวงเสี่ยวหลงนะ หวงเสี่ยวหลง ครั้งนี้ข้าจะดูสักหน่อยว่าเจ้าจะหนีรอดเงื้อมมือข้าไปได้อย่างไร!”จากเขาก็หันหน้าไปที่ข้ารับใช้ของเขาอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือยังว่ามันกำลังมุ่งหน้าไปที่ใหน?”
“ยังไม่ทราบขอรับ”ข้ารับใช้คนนั้นก็พูดเพิ่มมาว่า “แต่มันได้เดินทางลงไปทางทิศใต้”
“ทางทิศใต้”เหยาเฟยก็พูดกับตัวเองไปเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็หันหน้ามาพูดต่อว่า “ส่งคนไปสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของคฤหาสน์เนินเขาทิศใต้ต่อไป”เขาก็ได้โบกมือให้ข้ารับใช้ออกไปหลังจากสั่งการเสร็จแล้ว
ข้ารับใช้คนนั้นก็ทำความเคารพก่อนจะจากไป
“ทางทิศใต้….”เหยาเฟยก็พ่งหายตัวในอากาศในขณะที่เขาบินผ่านออกไปทางทิศใต้
10 วันต่อมา เหยาเฟยได้หยุดอยู่ที่แผ่นดินแห้งแล้ง เมื่อเท้าของเขาแตะพื้น เหยาเฟยก็โจมตีออกไปด้วยกำปั้นอย่างโกรธเกรี้ยวซึ่งทำให้เนินเขาเล็กๆห่างไป 100 จางป่นปี้เป็นชิ้นๆ
ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา เขาไล่ตามค้นหาหวงเสี่ยวหลง แต่กลับไม่พบแม้แต่เงา เขากระทั่งไม่สามารถหาเศษผมของหวงเสี่ยวหลงที่ทิ้งไว้ระหว่างทางได้อีกด้วย
ตามการรายงานของข้ารับใช้เขา ได้รับการยืนยันแล้วว่าหวงเสี่ยวหลงนั้นจะเดินทางไปทางทิศใต้ในทางเดียวกัน แต่นี่ก็ผ่านไป 10 วันแล้ว! เขาได้ไล่ตามหวงเสี่ยวหลงถึง 10 วันแต่เขากลับไม่จับกลิ่นอายของหวงเสี่ยวหลงไม่ได้เลย
“หวงเสี่ยวหลง ข้าไม่เชื่อว่าว่าเจ้าจะสามารถหลบซ่อนภายใต้สวรรค์และปฐพีแห่งนี้ได้หรอก!” เหยาเฟยก็คำรามออกมาอย่างดุร้ายแล้วหายตัวไป ณ จุดๆนั้นซึ่งเขาได้ไล่ตามหวงเสี่ยวหลงต่อไป ซึ่งเขานั้นรอโอกาสอย่างนี้มานาน เขาจึงไม่อยากจะปล่อยมันหลุดมือไปได้ง่ายๆ
หนึ่งเดือนต่อมา
ในท้องฟ้าใกล้ชายแดนอาณาจักรใบไม้ผลิ ร่างของหวงเสี่ยวหลงก็ได้ปรากฏตัวขึ้น พอมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน หวงเสี่ยวหลงเดินดูรอบๆ จากนั้นเขาก็ได้พึ่งไปที่เนินเขาที่อยู่ตรงหน้าซึ่งเขาได้ตัดสินใจหยุดพักผ่อนในที่แห่งนี้ และในพรุ่งนี้เขาถึงจะเดินทางต่อ
หวงเสี่ยวหลงนั้นไม่รู้ว่าเหยาเฟยกำลังไล่ตามเขา ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาได้ใช้หุบเขาเทวะซูมี่ในการเดินทางซึ่งเขาได้บังคับมันบินออกไปในขณะที่เขาบ่มเพาะอยู่ในใจกลางข่าอาคมพระพุทธ 10 องค์ หวงเสี่ยวหลงได้ใช้เศษชิ้นส่วนหินจิตวิญญาณระดับสวรรค์ที่เขาได้รับจากฉื่อฟานเทียนเป็นแหล่งพลังงานของข่ายอาคมพระพุทธ 10 องค์
หินจิตวิญญาณระดับสวรรค์นั้นเป็นของมีค่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำหรับหวงเสี่ยวหลงแล้วมันไม่ได้สำคัญอะไรเท่าการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง มีเพียงต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งเท่านั้น เขาถึงจะมีสิทธิในการยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแห่งการต่อสู้แห่งนี้ มิฉะนั้นแล้ว สิ่งที่เรียกว่าความร่ำรวยและพลังอำนาจนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากภาพลวงตาเลยสักนิด
และเพราะเขานั้นได้บ่มเพาะอยู่ในหุบเขาเทวะซูมี่ หวงเสี่ยวหลงก็เลยรอดพ้นการไล่ล่าของเหยาเฟย
หุบเขาเทวะซูมี่นั้นเป็นมีมิติของตัวเองเป็นเอกเทศน์ ทำให้ไม่สิ่งใดสามารถติดตามจากภายนอกได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเหยาเฟยที่มีการบ่มเพาะอยู่แค่เพียงระดับเซียนเทียนขั้นที่ 10 ชั้นสูงสุด แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับเทวะชั้นต้นก็ยังไม่สามารถตรวจพบมันได้
พอลงจอดบนผืนป่าเล็กๆใกล้เคียงที่หวงเสี่ยวหลงได้เลือกไว้ เขาก็ไหลเวียนปราณภายในแล้วจุดไฟขึ้นมา ฤดูหนาวนั้นยังไม่ได้ผ่านไป ดังนั้นด้วยกองไฟเล็กๆนั้นได้ทำให้พื้นแห่งนี้ค่อยๆอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ถ้าพระคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของขั้นที่ 12 อย่างสมบูรณ์แบบหล่ะก็ ข้าก็คงจะสามารถสร้างแก่นแท้วิชาขึ้นได้….”
หวงเสี่ยวหลงก็ครุ่นคิดไปในขณะที่เขาจ้องมองกองไฟที่เผาไหม้อยู่ จากนั้นเขาหยิบไวน์น่าคมคายออกมาจากแหวนเทพอสูร
แค่เพียงไม่กี่วันวิชาพระคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเขานั้นก็ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 11 รูปแบบศึกสงคราม
ในช่วงชีวิตที่แล้ว จากคำพูดของบรรพบุรุษของเขาที่ได้รับการถ่ายทอดมานั้นมีอยู่ว่าคนที่บ่มเพาะพระคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่ 12 ได้สำเร็จนั้น คนผู้นั้นจะได้เข้าสู่ดินแดนแห่งความสมบูรณ์แบบ และปราณภายในในตันเถียนของเขานั้นจะพัฒนากลายเป็นปราณแก่นแท้ จากนั้นปราณแก่นแท้จะเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพร่างกายของคนผู้นั้นถึงขนาดที่คนผู้นั้นยังคงดูเยาว์วัยตลอดไป รวมไปถึงการเพิ่มอายุขัยอีกด้วย! พอถึงตอนนั้นตันเถียนของหวงเสี่ยวหลงก็จะกลายเป็นแก่นแท้ภายใน
ด้วยการกลายเป็นแก่นแท้ภายใน แก่นแท้นี้จะขยายตัวขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าในขณะที่มันดูดซับปราณจิตวิญญาณจากภายนอกอยู่ตลอดเวลาซึ่งนั่นหมายความว่าหวงเสียวหลงจะสามารถบ่มเพาะปราณภายในได้ตลอดเวลา จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ–หลังจากตันเถียนพัฒนากลายเป็นแก่นแท้ภายในแล้ว หวงเสี่ยวหลงนั้นก็จะสามารถขี่กระบี่บินได้ด้วย
การขี่กระบี่บิน…..ด้วยการคาดการณ์ของหวงเสี่ยวหลงแล้ว การขี่กระบี่บินนั้นจะเร็วมากกว่าการขี่มังกรฟ้าเสียอีก ตามตำนานโบราณ ผู้ฝึกตนที่สร้างแก่นแท้ภายในได้สำเร็จเขาคนนั้นจะสามารถขี่กระบี่บินเดินทางได้หนึ่งหมื่นลี้ภายในหนึ่งวัน
“แล้วก็เคล็ดวิชาเทพอสูร ตอนนี้ข้านั้นใกล้จะทะลวงเข้าสู่ขั้นที่ 4 แล้ว”หวงเสี่ยวหลงก็พึมพำขึ้น
เคล็ดวิชาเทพอสูร พอเข้าสู่ขั้นที่ 4 แล้ว หวงเสี่ยวจะสามารถเบิกเนตรนรกซึ่งเขาจะสามารถมองทะลุผ่านภาพลวงตา สิ่งกีดขวางและยังสามารถมองทะลุเห็นภูเขาที่ซ้อนอยู่ได้ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเนตรนรกนั้นยังมีการโจมตีทางจิตวิญญาณที่แปลกประหลาด ถ้าหากหวงเสี่ยวหลงเบิกเนตรนรกได้หล่ะ นั่นก็หมายความว่าเขาจะมีไพ่ตายเพิ่มขึ้นอีกใบ
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือมันจะช่วยเขาแก้ปัญหาได้หลายอย่าง
เมื่อเช้าวันใหม่มาถึงหวงเสี่ยวหลงก็วิ่งพุ่งเดินทางไปสู่ดินแดนแห่งความโกลาหลต่อไป
3 เดือนผ่านไป
ในที่สุดหวงเสี่ยวหลงก็เดินทางข้ามทวีปหิมะโปรยปรายและมาถึงดินแดนแห่งความโกลาหลได้สำเร็จ
นอกจากเดินทางด้วยเท้าแล้ว เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ในบ่มเพาะภายในวิหารซูมี่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาไร้สาระ บางครั้ง เมื่อหวงเสี่ยวหลงออกมาอยู่ภายในป่า เขาก็มักจะเข้าไปพบกับกลุ่มโจรป่าที่พวกนั้นเห็นว่าหวงเสี่ยวหลงนักเป็นเดินทางอ่อนแอตัวคนเดียว ซึ่งหวงเสี่ยวหลงสามารถจัดการโจรพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย
ความแข็งแกร่งของหวงเสี่ยวหลงในปัจจุบันนั้นทำให้เขาสามารถจัดการกับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7 ธรรมดาได้อย่างง่ายดายโดยไม่เสียเหงื่อมากนัก
“นี่หรือคือดินแดนแห่งความโกลาหล?!”หวงเสี่ยวหลงก็จ้องมองแผ่นดินแห่งแล้งตรงหน้าเขาซึ่งมีฝุ่นทรายปลิวไสวไปตามสายลม ทันทีที่เขาก้าวเหยียบดินแดนแห่งนี้ หวงเสี่ยวหลงก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความตายอันเข้มข้นรวมไปถึงปราณปีศาจ ความกระหายเลือด ความชั่วร้าย และความโศกเศร้า
หวงเสี่ยวหลงได้ไหลเวียนปราณภายในกับปราณฉีเพื่อระวังเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เขาค่อยๆเคลื่อนไหวอย่างช้าๆไม่รีบร้อนไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองบาป ซึ่งอยู่ในทางเหนือสุดของดินแดนแห่งความโกลาหล
“กลิ่นอายแห่งความตายตรงหน้าและกลิ่นเลือดมันเข้มข้นเกินไปแล้ว!”หลังจากบินไป 2 ชั่วโมง หวงเสี่ยวหลงก็ได้หยุดลงทันที และเขาได้ระมัดระวังมากขึ้น