Invincible โลกอมตะ - ตอนที่ 248
ทั้งชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าและชายหน้าม้าก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวและตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าหวงเสี่ยวหลงจะรู้วิธีการแบบนี้ด้วย
วิชาประทับจิตวิญญาณนั้นเป็นวิชาลึกลับและสูญหายไปหลายปีแล้ว ประมาณ 600ปีก่อน มีผู้ฝึกตนระดับเทวะคนนึงได้ใช้วิชาที่ลึกลับอย่างวิชาประทับจิตวิญญาณ เข้าควบคุมประมุขตระกูลใหญ่และประมุขนิกายหลายๆคนซึ่งทำให้โลกจิตวิญญาณเกิดการฆ่ากันอย่างมากมาย ผู้ฝึกตนและคนธรรมดาอย่างอาศัยอยู่ภายใต้ความหวาดระแวง ในเวลานั้นผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนต่างตกตายภายในเงื้อมมือของชายคนนั้นนับแสนคน
ผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนนับแสนคน!
สำหรับผู้ฝึกตนระดับโฮ่วเทียนนั้นนับไม่ถ้วน!
เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์นองเลือดอย่างแท้จริง!
สุดท้ายแล้ว ในที่สุดการกระทำของชายคนนั้นก็ได้ไปทำให้ผู้เชี่ยวชาญระดับเทวะที่อาศัยอยู่ในมิติลึกลับออกมาไล่ล่าคนๆนั้น แต่มันก็ไม่นานนักเมื่อผู้เชี่ยวชาญครึ่งก้าวระดับเทพ ขั้นสูงได้เข้าร่วมการไล่ล่าจึงทำให้ทำการปิดบัญชีได้อย่างเสร็จสิ้น ภายหลังคนๆนั้นก็ได้ถูกกล่าวนามว่ามารนรก
(จากผู้แปล : ระดับการบ่มเพาะ(เรียงจากน้อยไปหามาก) – นักรบ -โฮ่วเทียน -เซียนเทียน -เทวะ -เทพ -?? ส่วนครึ่งขั้นเทพคือยังไม่บรรลุระดับเทพแต่เกือบจะบรรลุ ส่วนในประโยค *ผู้เชี่ยวชาญครึ่งก้าวระดับเทพ ขั้นสูง* คือใกล้จะบรรลุระดับเทพ ขั้นสูงแต่ยังไม่บรรลุ = อยู่ในระดับเทพ ขั้นกลาง นั่นเอง )
พอมองเห็นความคิดมากมายบนใบหน้าของทั้งสองคนอย่างชัดเจน หวงเสี่ยวหลงก็ยิ้มมุมปากออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ได้เรียกดาบ๕เทพอสูรออกมาซึ่งได้ทำให้เกิดแสงอันคมกริบกระพริบขึ้น
พอดาบคู่เทพอสูรได้ปรากฏขึ้นพวกมันก็สั่นไหวและส่งเสียงหึ่งๆ และบนใบดาบนั้นมีแสงสีดำอันลึกลับไหลไปมาราวกับของเหลวสีดำ ซึ่งมันทำให้ทั้สองคนที่บาดเจ็บอยู่เครียดขึ้นมาทันที
“ข้า ข้ายินดีปลดปล่อยทะเลปราณของข้า!”ชายหน้าม้าก็ได้พูดออกมาโดยไม่ลังเล
“ข้าด้วย ข้ายินดี!”ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าก็ยิดีเช่นเดียวกัน
เทียบกับตายแล้ว ทั้งสองคนเต็มใจที่จะให้หวงเสี่ยวหลงประทับตราจิวิญญาณในทะเลปราณของพวกเขามากกว่า แม้ว่าการทำแบบนั้นจะทำให้หวงเสี่ยวหลงสามารถควบคุมความเป็นความตายของเขาได้อย่างเต็มที่ มันก็ยังดีกว่าการตายทันทีซะอีก
พอเห็นทั้งสองรีบตอบออกมาทันที หวงเสี่ยวก็เย้ยหยันและสั่งการให้ทั้งสองปลดปล่อยทะเลปราณในขณะที่เขาเปิดใช้งานบัญญัติวิญญาณ ลึกลงไปในดวงตาของหวงเสี่ยวหลงนั้น มีตัวอักษรวิญญาณสีม่วงเข้มสองตัวสว่างขึ้นจากนั้นมันก็ลอยออกจากต่อหวงเสี่ยวหลงแล้วพุ่งเข้าใส่ทะเลปราณของชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าและชายหน้าม้าผ่านใจกลางดวงตาของพวกเขาทันทีซึ่งทำให้พวกเขาแสดงใบหน้าหวาดกลัวออกมา จากนั้นตราประทับตราจิตวิญญาณได้ประทับลงในแก่นกลางจิตใจของพวกเขา
ในการเดินทางเป็นเวลา 3 เดือนที่ผ่านมานี้ หวงเสี่ยวหลงได้ฝึกเคล็ดวิชาเชิดหุ่นระดับที่แรกได้สำเร็จซึ่งทำให้เขาสามารถประทับตราจิตวิญญาณลงในทะเลปราณของคนอื่นได้ ไม่เพียงแค่นั้น เขายังทำการผสมการประทับตราวิญญาณของเคล็ดวิชาเชิดหุ่นโบราณไปพร้อมกับบัญญัติวิญญาณเพื่อสร้างตราประทับวิญญาณนี้ขึ้นมา ซึ่งมันได้ผลลัพธ์ดีขึ้นกว่าก่อน ภายนอกคนที่ถูกควบคุมจะดูเหมือนคนปกติ ไม่ได้ต่างอะไรจากก่อนที่จะประทับตราจิตวิญญาณ แม้กระทั่งคนใกล้ชิดก็ยังไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
พอสัมผัสตราประทับจิตวิญญาณของหวงเสี่ยวหลงภายในทะเลปราณของพวกเขา ทั้งสองคนก็ล้มเลิกความคิดที่จะทรยศไปเลย
“โอสถสองชิ้นนี้ กินไปซะ”ได้มีแสงเล็กๆประกายขึ้นในขณะที่หวงเสี่ยวหลงเอาโอสถขนาดนิ้วหัวแม่มืออกมาจากแหวนเทพอสูร
พอจ้องโอสถกลมๆในฝ่ามือหวงเสี่ยวหลง ใบหน้าของทั้งสองคนก็แข็งค้าง “นี่คือ…?!”เป็นอีกครั้งที่พวกเขาทนไม่ไหวจนต้องถามออกมาด้วยความหวั่นเกรง
ใบหน้าของหวงเสี่ยวหลงก็กลายเป็นเย็นชา “ถ้าหากข้าบอกให้เจ้ากิน เจ้าก็กินไปซะ!”ด้วยการโบกมือ โอสถทั้งสองก็ลอยใส่มือคนทั้งสอง
พอจ้องมองโอสถกลมๆและหวงเสี่ยวหลง ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าและชายหน้าม้าก็ซีดเผือดเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยอมกลืนลงไปอย่างเชื่อฟัง
ทันทีที่โอสถเข้าสู่ปากของพวกเขา ก็ได้มีพลังงานอันอบอุ่นแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย พวกเขารู้สึกว่าบาดแผลในร่างกายของพวกเขานั้นฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว พอรู้ตัวเองเข้าใจความใจดีของหวงเสี่ยวหลงที่พวกเขาคิดว่าโอสถสองเม็ดพวกนี้เป็นยาพิษผิดไป พวกเขาก็มองหวงเสี่ยวหลงด้วยความขอบคุณ
“เอาหล่ะ ตอนนี้นำทางไปนิกายพ่อมดนภาของพวกเจ้า แล้วบอกสถาการณ์ปัจจุบันในนิกายเจ้าระหว่างทางด้วย!”หวงเสี่ยวหลงก็สั่งการ
“ได้ขอรับ นายท่าน!”ทั้งสองคนก็คำนับอย่างเคารพ
หวงเสี่ยวหลงก็บินออกไปจากพื้นราบกว้างแห่งนี้โดยมีข้ารับใช้ที่พึ่งรับเข้ามาใหม่นำทาง ส่วนสำหรับการฝึกเคล็ดวิชากรงเล็บเทพอสูร หวงเสี่ยวหลงจะกลับมาอีกรอบในครั้งหน้า
ในระหว่างทาง ชายวัยกลางคนทั้งสองคนก็รายงานสถานการณ์ของนิกายพ่อมดนภาให้หวงเสี่ยวหลงฟัง
ชายหน้าม้ามีชื่อว่าตู่ซินและชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้านั้นเรียกว่าเติงกวงเหลียง ทั้งสองคนนั้นเป็นผู้อาวุโสแห่งนิกายพ่อมดนภา นอกจากนี้ ประมุขนิกายพ่อมดนภาเฉินเสี่ยวเทียนก็คืออาจารย์ของพวกเขา
เฉินเสี่ยวเทียนนั้นมีศิษย์อยู่ 5คนและในหมู่พวกนั้น ตู่ซินและเติงกวงเหลียงนั้นถือแข็งแกร่งที่สุด ศิษย์คนอื่นนั้นอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4 และคนสุดท้ายอยู่ในขั้นที่ 5
นอกจากพวกนี้แล้ว นิกายพ่อมดนภาก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับเซียนเทียนประมาณ 130 คน อย่างไรก็ตาม ภายในจำนวนนี้ มีเพียง 20 คนเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นกลาง และสำหรับผู้ฝึกตนระดับเซียนขั้นสูงนั้นมีเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระดับเซียนเทียนขั้นสูงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นิจากอาจารย์ของทั้งสองคน เฉินเสี่ยวเทียน ที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7 แต่ทว่าอีกคนนั้นเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายพ่อมดนภาพ เกิงเคน ซึ่งมีระดับการฝึกตนอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7ชั้นกลาง-สูง เมื่อหัวข้อพูดคุยได้เปลี่ยนไปเรื่องจิตวิญญาณต่อสู่ของเฉินเสี่ยวเทียนนั้น หวงเสี่ยวหลงก็ค่อนข้างประหลาดใจที่พบว่าจิตวิญญาณต่อสู้ของเฉินเสี่ยวเทียนนั้นต้นไฟป่า!
ต้นไฟป่านั้น เป็นจิตวิญญาณต่อสู้ประเภทธรรมชาติของตระกูลพืชซึ่งมันเป็นจิตวิญญาณต่อสู้อันดับ1ในหมู่ระดับ 11! ในโลกจิตวิญญาณ การเกิดขึ้นของจิตวิญญาณต่อสู้พืชประเภทธรรมชาตินี่เป็นสิ่งที่หายากมาก นอกจากนี้มันยังเป็นจิตวิญญาณต่อสู้ที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมอีกด้วย
จิตวิญญาณต่อสู้ของเกิงเคนนั้นอ่อนด้อยเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเฉินเสี่ยวเทียน ซึ่งเป็นจิตวิญญาณระดับ 10 ดีเยี่ยมที่เป็นประเภทอาวุธ นั่นคือ ค้อนทลายสวรรค์ แม้ว่าเกิงเคนจะเป็นเพียงผู้อาวุโสระดับสูงสุด แต่อิทธิพลของเขาในนิกายนั้นเทียบได้กับเฉินเสี่ยวเทียนที่เป็นประมุขนิกาย ในนิกายพ่อมดนภานั้นมีผู้อาวุโสอยู่มากกว่า 20 คน และเกินครึ่งนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับเกิงเคนและเชื่อฟังตามคำสั่งเขา
สรูปก็คือ เฉินเสี่ยวเทียนไม่ได้ควบคุมนิกายพ่อมดนภาทั้งนิกายนั่นเอง
“เกิงเคน..”หวงเสี่ยวหลงก็พูดทบทวนชื่อนี้ไปโดยไม่เฉพาะเจาะจง
ความแข็งแกร่งของเกิงเคนนั้นอ่อนแอกว่าของเฉินเสี่ยวเทียนแต่เขากลับทำให้มีคนในนิกายครึ่งนึงสนับสนุนทำให้เขาสามารถเทียบเคียงกับเฉินเสี่ยวเทียนได้ คนๆนี้จะต้องมีสิ่งล่อใจอย่างอื่นแน่ๆ
ตู่ซินและเติงกวงเหลียงก็นำหวงเสี่ยวหลงบินขึ้นไปทางเหนือ 3ชั่วโมงต่อมา หวงเสี่ยวหลงเมืองที่สร้างขึ้นจากหินแกรนนิตซึ่งได้สร้างขึ้นบนเนินทรายสีทอง
เมืองแห่งนี้นั้นใหญ่มากอย่างไม่ต้องสงสัย บางทีอาจจะเป็นเพราะโดยทรายเข้าซัดอยู่บ่อยครั้ง เลยทำให้กำแพงเมืองดูเป็นรอย พอเข้ามาใกล้เมือง หวงเสี่ยงก็สังเกตเห็นว่าจุดบนสุดของกำแพงนั้นสะท้อนแสงสีดำมัวๆไม่รู้จบซึ่งมันได้ถูกตกแต่งไปทั่วผนัง หวงเสี่ยวหลงเดาว่าแสงสีดำพวกนี้น่าจะเป็นรอยเลือดที่เหลือทิ้งไว้เมื่อหลายปีก่อน และมีเพียงการต่อสู้จำนวนมหาศเท่านั้นถึงจะทิ้งรอยแบบนี้ไว้ได้ ใครๆก็จินตนาการออกเลยว่ามีเลือดของคนกี่คนกันที่หลั่งนองบนกำแพงนี้
มันน่าจะเป็นล้าน หรือบางทีอาจะเป็นสิบล้านก็ได้!
“นี่คือเมืองปีศาจทมิฬ?”หวงเสี่ยวหลงก็ถาม
“ใช่ขอรับ นายน้อย นี่คือเมืองปีศาจทมิฬ”ตู่ซินและเติงกวงเหลียงก็ตอบออกมาพร้อมกัน
‘นายท่าน’มันทำให้หวงเสี่ยวหลงรู้สึกแปลกๆดังนั้นเขาเลยให้ตู่ซินและเติงกวงเหลียงเปลี่ยนวิธีเรียกเขาเป็นนายน้อย
นิกายพ่อมดนภานั้นตั้งอยู่ในเมืองปีศาจทมิฬ
หวงเสี่ยวหลงก็พยักหน้าในขณะที่เขาตามทั้งสองคนมุ่งหน้าไปทางประตูเมือง
“โอ้ ผู้อาวุโสตู่ซิน ผู้อาวุโสเติงกวงเหลียง”เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ประตูเมือง ก็ดูเหมือนจีคนที่เป็นหัวหน้ายามเฝ้าประตูเมืองเดินเข้ามาหาตู่ซินและเติงกวงเหลียง และทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาได้สั่งให้ลูกน้องเปิดประตูเมืองเพื่อให้ ทั้งกลุ่มของหวงเสี่ยวหลงเข้าประตูเมืองอย่างราบรื่น
ตู่ซินและเติงกวงเหลียงก็พยักหน้าให้หัวหน้ายามเล็กน้อยแล้วเข้าเมืองไปพร้อมกับหวงเสี่ยวหลง
พอเข้าไปในเมือง หวงเสี่ยวหลงก็มองสังเกตเมืองในขณะที่เขาเดินไปที่ถนน ถนนในเมืองปีศาจทมิฬนั้นกว้างประมาณ 20 เมตร ด้วยทั้งสองฟากของนนนั้นมีร้านค้าตั้งเรียงรายแต่มันกลับดูไม่คึกคักและไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่อย่างที่พบในเมืองจักรพรรดิต้วนเริ่นหรือในเมืองใหญ่อื่นๆที่ประตูและกำแพงของหน้าร้านส่วนใหญ่ต่างมีรอยจากการต่อสู้ด้วยมีด ดาบและอาวุธอื่นๆ ป้ายหน้าร้านบางแห่งก็ขาดเป็นสองส่วนและในระหว่างทางนั้นพวกเขาก็มักจะไปเจอแอ่งเลือด
นี่แหละคือหลักฐานว่าพึ่งมีการต่อสู้เกิดขึ้น
ในขณะที่เดินเล่นไปตามถนนและมองรอบอยู่นั้น ผู้คนบนถนนต่างก็มองสังเกตด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ความอยากรู้อยากเห็ฯของพวกเขาต้องดับลงเมื่อพวกเขามองเห็นตู่ซินและเติงกวงเหลียงที่อยู่หลังหวงเสี่ยวหลง พอสังเกตเห็นตู่ซินและเติงกวงเหลียง ผู้คนต่างรีบก้าวเท้าหนีด้วยความหวาดกลัว
ตู่ซินและเติงกวงเหลียงนั่นใส่ชุดผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาและที่นี่นั้นก็คือเมืองปีศาจทมิฬซึ่งนิกายพ่อมดนภานั้นเป็นหนึ่งในสามผู้มีอิทธิแห่งเมืองนี้