Invincible โลกอมตะ - ตอนที่ 281
ฉินหยางยืนอยู่หน้าหวงเสี่ยวหลง และมองหลี่เฟยแล้วพูดออกมาว่า “ข้ารู้ผิดหวังในตัวเจ้ามาก” ทั้งที่เขาหวังในตัวศิษย์คนนี้มากที่สุดแต่เธอกลับทําให้เขาผิดหวังมาก
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ฆ่าเจ้าเด็กนี้แล้วคุกเข่ายอมรับผิดซะ อาจารย์จะให้อภัยเจ้าโดยไม่ลงโทษถึงตาย! “ฉินหยางก็พูดออกมาอย่างเย็นชาซึ่งทําให้หนาวเหน็บไปทั้งตัว
หลี่เฟยยังคงยืนอยู่หลังหวงเสี่ยวหลงและส่ายหัวอย่างเงียบๆ
หวงเสี่ยวหลงก็ส่ายหัวอย่างหมดอาลัยตายอยากแล้วมองฉินหยางที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสถานการณ์
“หลบไป” หวงเสี่ยวหลงได้สั่งการหลี่เฟย
“ได้ขอรับ นายน้อย” หลี่เฟยก็ตอบออกมาอย่างเคารพ
นายน้อย?! พอเห็นว่าหลี่เฟยที่ไม่ได้พูดอะไรตอบเขาสักอย่างแต่กลับตอบหวงเสี่ยวหลงด้วย ท่าที่เคารพด้วยการกล่าวเรียกชายหนุ่มคนนี้ว่านายน้อย มันทําให้เขารู้สึกโกรธมาก จากนั้นฉันหยางก็ได้ปลดปล่อยแรงกดดันออกมาในขณะที่ก้อนหินรอบๆตัวเขาต่างลอยขึ้นและแตกกระจาย เป็นเสี่ยงๆ ครู่ต่อมา ทุกๆคนต่างเห็นร่างยักษ์สีดําปรากฏขึ้นด้านหลังฉินหยาง ซึ่งมันมีความสูง 3 จาง สี่มือและดวงตาสีเลือดในขณะที่หมอกหนาสีดําปกคลุมรอบตัวของมัน–ซึ่งนี่คือจิตวิญญาณต่อสู้ของฉินหยางเงาภูติ
เงาภูตินั้นเป็นจิตวิญญาณต่อสู้เป็นประเภทภูตผี ชั้นสูง
พอเรียกจิตวิญญาณเงาภูติอกมา แรงกดดันของฉินหยางก็เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เห็นฉินหยาง เรียกจิตวิญญาณต่อสู้ออกมามันทําให้เสี่ยตงและหลิวนิ่งที่กําลังต่อสู้กับฟานเอ๋อเฉินอยู่ที่ประหลาดใจ ทั้ง 3 คนต่างหันหน้าไปมองหวงเสี่ยวหลง
ดวงตาของฉินหยางก็ค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นสีดําพร้อมกับมีนัยน์ตาเรืองแสงสีแดง “ไอ้สารเลวเรียกจิตวิญญาณต่อสู้ของเจ้าออกมา ถ้าหากไม่หล่ะก็ เจ้าอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว” ฉินหยางก็เหลือบมองหวงเสี่ยวหลงและยั่วยุโดยใช้เสียงที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า
“หวงเสี่ยวหลงก็ส่ายหัว “ไม่จําเป็น
“ไม่จําเป็นงั้นหรือ?”ฉินหยางก็ตกใจ
“ถูกแล้ว” หวงเสี่ยวหลงก็พูดเพิ่มไปว่า “ต่อสู้กับเจ้า ไม่ต้องใช้จิตวิญญาณต่อสู้หรอก”
เมื่อเทียบกับประมุขนิกายเก้าอสูรคนก่อน ฮูหาน นั้นฉินหยางนับได้ว่าทรงพลังทีเดียว แต่ในความคิดของหวงเสี่ยวหลง เขาไม่จําเป็นต้องจิตวิญญาณต่อสู้ด้วยซ้ํา
เพราะไม่กี่เดือนก่อน หวงเสี่ยวหลงก็ได้ฆ่าฮูหานไปแล้ว และตอนนี้มันผ่านมาหลายเดือน ความแข็งแกร่งของเขานั้นก็ได้เพิ่มขึ้นทุกวันจนบรรลุถึงระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7 ขั้นกลางไปแล้ว
คําพูดของหวงเสี่ยวนั้นก็เป็นเพียงน้ํามันที่จุดเพลิงแห่งความโกรธให้ฉินหยางเท่านั้น ช่างหยิ่งผยองยิ่งนัก!
ขุดของนินหยางก็โบกไปมาอย่างรุนแรง จากนั้นร่างเขาก็จางลงราวกับล่องหน และในเวลาเดียวกันนั้น จิตวิญญาณต่อสู้ของเขาก็เปล่งแสงสีดําออกมาทําให้ฉินหยางนั้นหายตัวไปในพริบตา จากนั้นเขาก็มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหวงเสี่ยวหลงราวกับอสูรกายในค่ําคืนอันมืดมิด
“ตายซะ!”
ดวงตาที่ส่องแสงสีแดงราวกับโลหิตของฉินหยางนั้นได้จับจ้องหวงเสี่ยวหลงพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารอันหนาวเหนีบละความโกรธออกมาในขณะที่เขาขัดฝ่ามือใส่หน้าอกหวงเสี่ยวหลง
ในสายตาของหวงเสี่ยวหลง ฝ่ามือของฉินหยางนั้นใหญ่กว่าเดิมสองเท่าและมันได้กลายเป็นสีแดงราวกับถูกย้อมไปด้วยโลหิตรวมไปถึงปลดปล่อยกลิ่นอายเน่าเหม็นออกมาในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือนี้ทําให้คนรอบข้างต่างรู้สึกเหมือนโดนเผาไหม้จากความร้อนในขณะที่มันพุ่งผ่านไป
หวงเสี่ยวหลงก็ยกฝ่ามือขึ้นและขัดออกไปปะทะกับฝ่ามือของฉินหยางโดยไม่ลังเล แต่หวงเสี่ยวหลงนั้นกลับซัดมืออกไปเปล่าๆโดยไม่ใช่ปราณอะไรสักอย่างซึ่งมันพลิ้วไหวราวกับหญ้าทะเลในมหาสมุทร ในขณะเดียวกันฉินหยางก็รู้สึกดูถูกหวงเสี่ยวหลงอยู่ในใจเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มหยิ่งยโสตรงหน้าเขานั้นกล้าดูถูกเขาโดยใช้ฝ่ามือตอบโต้เขาโดยไม่ใช้ปราณ
“อ่อนหัด!” ดวงตาของฉินหยางก็เย็นชาขึ้นในขณะที่เขามองหวงเสี่ยวหลง พลังโจมตีของฝ่ามือเกลียวโลหิตนั้นกับการโจมตีเมื่อก่อนหน้านี้นั้นเรียกได้ว่าเทียบกันไม่ติด และยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ในครั้งนี้เขาได้ใช้พลังอย่างเต็มที่ ในเมืองแม่น้ำโลหิต มีเพียงผู้นําประมุขทั้ง 5 ของนิกายเบญจพิษ หลิวหมิงไห่เท่านั้นที่กล้าจะปะทะการโจมตีนี้ของเขาตรงๆ
ฝ่ามือทั้งสองคู่ก็ได้ปะทะกันในทันที
สายตาที่ดูถูกและริมฝีปากที่ดูหมิ่นของฉินหยาง–ก็หายไปทันที่ที่ฝ่ามือของเขาปะทะกับฝ่ามือของหวงเสี่ยวหลง ซึ่งมันถูกแทนที่ด้วยความตกใจและความไม่อยากจะเชื่อ ฝ่ามือที่ดูอ่อน แอไร้น้ําหนักของหวงเสี่ยวหลงทําให้ฉินหยางรู้สึกหวาดหวั่นในขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานอันหนาวเย็น
การปะทะในครั้งนี้ได้เกิดเสียงดังก้องขึ้นในหุบเขาแห่งนี้
จากแรงปะทะทําให้ฉินหยางถูกผลักถอยหลังไปในขณะเดียวกันบนพื้นที่ปรากฏรอยเท้าของเขาลากยาวไป จากนั้นเขาก็จ้องมองบนฝ่ามือและตกใจเมื่อเห็นชั้นน้ําแข็งสีม่วงดําก่อตัวรอบฝ่ามือพร้อมกับมีพลังงานอันหนาวเย็นแพร่กระจายออกมาจากมือทําให้ฉินหยางถึงกับสั่นไหว
“พลังฝ่ามือนี่มันอะไรกัน?!”ฉินหยางก็พูดออกมาอย่างตกใจ
ฝ่ามือเกลียวโลหิตของเขานั้นเป็นเคล็ดวิชาธาตุหยางซึ่งเป็นศัตรูโดยธรรมชาติกับธาตุหยิน และความเย็น แต่ในท้ายที่สุดเขากลับโดนกดดันซะงั้น และนอกจากนี้ เขาก็พบว่าเขานั้นไม่สามารถใช้ปราณีของเขายับยั้งพลังงานหนาวเย็นที่อยู่ในร่างของเขาได้
ที่จริงแล้วสิ่งที่หวงเสี่ยวหลงใช้เมื่อกี้นั้นคือฝ่ามือไร้ลักษณ์–ที่ผสมไปด้วยปราณเทพอสูรอันหนาวเย็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะของหวงเสี่ยวหลงนั้นได้มาถึงขั้นที่สี่ ชั้นสูงสุดแล้ว ซึ่งมันได้ทําให้ปราณเทพอสูรนั้นหนาวเย็นสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นฉินหยาง หรือแม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 8 ขั้นกลาง ก็ยังยากที่จะยับยั้งปราณเทพอสูรของหวงเสี่ยวหลงที่รุกล้ำไปในร่างกาย
พอซัดฉินหยางถอยไปเสร็จ หวงเสี่ยวหลงก็ได้แวบหายไปแล้ว ไปปรากฏขึ้นตรงหน้าภายในระยะไม่กี่เมตรฉินหยาง จากนั้นเขาก็ได้ชี้นิ้วใส่ฉินหยาง ซึ่งมันได้ทําให้เกิดหมอกสีดํากระจายออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องของสัตว์ประหลาด จากนั้นก็ได้มีปราณดัชนีพุ่งออกมจากหมอกสีเทา หมายจะเสียบทะลุหน้าอกของฉินหยาง
ดัชนีวิญญาณสัมบูรณ์
ในขณะที่เขามองดัชนีเสียบกําลังจะทะลุร่างของเขา ในจิตวิญญาณของเขานั้นก็ได้มีความหวาดกลัวผุดขึ้นมาซึ่งสามารถมองเห็นได้จากสายตาของเขา หลังจากนั้นเขาก็รีบถอยหนี้และในเวลาเดียวกันนั้นเอง จิตวิญญาณเงาภูติที่ลอยอยู่ข้างหลังของเขานั้นก็ได้ส่องแสงออกมาและทําการรวมร่างกับฉินหยาง
ตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะสามารถจัดการหวงเสี่ยวหลงได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงไม่ทําการเปลี่ยนวิญญาณ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว พอเขาทําการเลี่ยนวิญญาณด้วยความเร็วสูงสุด ความแข็งแกร่งของเขาก็ได้เพิ่มขึ้นไปอีกระดับพร้อมกับมีหมอกสีดําลอยรอบว่า งของเขา จากนั้นก็ได้มีมืองอกมาจากไหล่แต่ละข้างของฉินหยาง ซึ่งมันกํายํามากกว่าแขนของเขา และมีนิ้วยาวพร้อมกับเล็บที่เหมือนกับมีตอันเล็กสิบเล่มซึ่งมันได้ส่องประกายสีแดงเข้มออกมา
เขาได้ใช้มือที่งอกขึ้นมายื่นออกไปแล้วใช้เล็บป้องกันดัชนีวิญญาณสัมบูรณ์ของหวงเสี่ยวหลง จากนั้นก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นและมีประกายไฟพุ่งออกไปรอบด้าน ฉินหยางรู้เพียงแค่ว่าดัชนีทั้ง 10 นิ้วและมือสองข้างของเขานั้นชาจากการปะทะ เขาจึงรีบตรวจสอบทันที่แล้วพบว่าดัชนีทั้งสิบของเขานั้นมีเลือดหยดออกมา เรื่องที่เกิดขึ้นมันทําให้เขาทั้งโกรธและก็ตื่นตระหนกขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
แขนภูติคู่นึงอกขึ้นมาหลังจากที่เขารวมร่างกับจิตวิญญาณต่อสู้ เงาภูติของเขาและพวกมันนั้นหนายิ่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีกเมื่อเทียบกับตาบและกระบี่ที่ดีขึ้นจากเหลีกเย็น กระทั่งผู้ฝึกตนในระดับเดียวก็ทําได้เพียงทิ้งลอยข่วนเล็กไว้บนแขนก็แค่นั้น แต่แม้จะเป็นแบบนั้น แขนทั้งสองข้างของเขากลับไม่สามารถป้องกันการโจมตีดัชนีข้างเดียวของหวงเสี่ยวหลงได้!
ด้วยการที่โดนความโกรธเข้าครอบงํา ฉินหยางก็คํารามแล้วพุ่งใส่หวงเสี่ยวหลงแทนที่จะถอย เขาได้ใช้เล็บของแขนที่งอกออกมาราวกับมีตสิบเล่มซึ่งส่องแสงสีแดงอันแปลกประหลาดฟันใส่หวงเสี่ยวหลง
ในตอนนั้นเอง ก็ได้มีแสงเปล่งประกาศขึ้นในขณะที่คาบสีดําทั้งสองเล่มปรากฏขึ้นในมือของ หวงเสี่ยวหลง นั่นก็คือดาบเพทอสูรนั่นเอง หวงเสี่ยวหลงได้เหวี่ยงตาบออกไปปลดปล่อยปราณดาบแสงออกมานับไม่ถ้วน และปราณดาบเหล่านั้นก็ได้หมุนวนในอากาศแล้วรวมตัวกันกลายเป็นดวงตาสีแดงที่หมุนตัวลอยอยู่กลางอากาศ
เนตรจุติ
ดวงตาสีแดงอันนี้ก็ยังคงหมุนวนต่อไปในขณะเดียวกันมันก็ได้ปล่อยปราณดาบอันคมกริบออกมาซึ่งปราณดาบทั้งหมดนั้นได้เข้ามาป้องกันการโจมตีของฉินหยาง แต่ดวงตาสีแดงนี้มันก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น มันได้ส่องแสงสีแดงออกมาและแผ่แสงออกไปเรื่อยๆ จนในไม่ช้ามันก็ได้ครอบคลุ มพื้นอย่างกว้างขวาง ซึ่งมันได้ทําให้ฉินหยางที่ตกตะลึงอยู่นั้นรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาชั่วขณะ
จากนั้นหวงเสี่ยวหลงก็ได้งอมือเป็นกรงเล็บแล้วฟาดใสพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้าฉินหยาง– ซึ่งมันก็คือเคล็ดวิชากรงเล็บเทพอสูร เสียงคร่ำครวญแห่งปีศาจนับพัน
จู่ๆก็ได้เกิดเสียงร้องของภูตผีดังก้องไปทั่วหุบเขา ทําให้คนอื่นอีกสี่คนหวาดกลัว จากนั้นทุกคนก็ได้หันหน้าไปมองฉินหยางที่มีนงงจากผลของเนตรจุติ ในขณะเดียวกันลําตัวของฉินหยาง นมีรอยตัดเป็นแนวตั้งยาวลงไป ซึ่งเกิดจากการที่เขาหลบการโจมตีของหวงเสี่ยวหลงไม่พ้นนั่นเอง “พรึบ!”
ฉินหยางก็กระเด็นไปชนหน้าผาที่อยู่ไม่ไกลมากจากนั้นเขาก็ล้มลงพื้น