Invincible โลกอมตะ - ตอนที่ 285
ฉุยตั่วเจียก็เย้ยหยันออกมาในขณะที่หวงเสี่ยวหลงเดินออกไปอย่างเย็นชา
“มันคือ หวงเสี่ยวหลงงั้นหรือ?” ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายออกมา
ฉุยที่ลและคนอื่นๆก็เฝ้าดูหวงเสี่ยวหลงเดินออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆของฉุยตั่วเจียเลยสักคน
ณ ตอนนี้เอง ฉุยตั่วเจียก็เดินเข้าไปใกล้ฉุยหลี่ “ หลี่หลี่ คนผู้นี้มีสีตายเจ้าเล่ห์ มันจะต้องเป็นคนที่มีนิสัยชอบหลอกลวงผู้อื่นเป็นแน่ จะดีกว่าหากเจ้าอยู่ห่างๆมันไว้”
ฉุยหลีก็มองฉุยตั่วเจีย พอได้ยินคําพูดของเขา เธอก็จ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง ฉุยตั่วเจียที่สัมผัสได้ถึงความโกรธของฉุยหลีก็หุบปากทันที
ในอีกด้าน หวงเสี่ยวหลงก็กลับเข้าโรงเตี๊ยมไป พอเขากลับเข้าห้อง หวงเสี่ยวหลงก็กลืนหยดโอสถพุทธจักวาลลงไปแล้วเริ่มทําการบ่มเพาะเคล็ดวิชาซูมี่เทวะ
ในขณะที่หวงเสี่ยวหลงกําลังบ่มเพาะเคล็ดวิชาซูมี่เทวะอยู่นั้น ในห้องลับใต้ดินใต้เมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงแห่งดาบ ได้มีชายหนุ่มคิ้วสีเขียวอ่อนที่สวมใส่เสื้อคลุมดําสนิทกําลังเฝ้าสังเกตชายวัยกลางคนที่กําลังคุกเข่าต่อตรงหน้าด้วยสายตาอย่างเย็นชา
บนชุดคลุมสีดําของชายหนุ่มนั้นมีคําว่า *พิษ* ถูกสลักไว้อยู่
“เจ้าบอกว่า ไม่เพียงหม่าไล่ไม่สามารถพาตัวหญิงตระกูลฉิงทั้งสองนางมาได้ แต่พวกเขากลับถูกฆ่าด้วยงั้นหรือ?!”ชายหนุ่มคนนั้นก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
พอรู้สึกถึงจิตสังหารในคําพูดของนายน้อยของเขา ชายวัยกลางคนก็ตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัวในขณะเดียวกันเขาก็รีบตอบออกไปว่า “นายน้อย มันเป็นอุบัติเหตุ เราไม่คาดคิดว่าจะมีคนปรากฏตัวขึ้นมาช่วยหญิงตระกูลฉุยทั้งสองนาง”
“หมอนั่นเป็นใคร?” ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
“มันคือไอ้สารเลวที่ชื่อว่าหวงเสี่ยวหลง”น้ำเสียงของชายวัยกลางคนนั้นเต็มไปด้วยความเคารพในขณะที่เขาตอบออกไป “ชายคนนี้รู้จักกับฉุยหลี่ ซึ่งชายคนนี้น่าจะเป็นคนที่มาจากทวีปหิมะโปรยปราย”
“จากทวีปหิมะโปรยปราย…” ชายหนุ่มคนนี้ก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างไม่พอใจ “ไม่ต้องสงสัยเลยทําไมมันถึงสอดรู้สอดเห็นนัก และมันยังกล้าฆ่าศิษย์นิกายนักบุญพิษของข้าด้วย” กลิ่นอายอันดุร้ายก็ได้ปกคลุมไปด้วยห้องลับทันที ทําให้พื้นห้องถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งที่แผ่กระจายไอเย็นออกมาซึ่งน้ำแข็งพวกนี้เป็นสีดํา
และชายหนุ่มคนนี้ก็คือนายน้อยแห่งนิกายนักบุญพิษ ฮูเอ๋อแต่ทว่าชายวัยกลางคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นนั้นคือผู้อาวุโสนิกายนักบุญพิษ เฉียงเหลียง
ฮูเอ๋อก็จ้องมองเฉียงเหลียง “ เจ้ารู้ว่าจะทําอะไรต้องไปโดยที่ข้าไม่ต้องพูดสินะ”
“ใช่ขอรับ ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้เข้าใจดี” เฉียงเหลียงก็ตอบออกมา “ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้จะจับตัวไอ้หวงเสี่ยวหลงนั่นกับคู่พี่น้องตระกูลฉุยมาให้นายน้อยขอรับ!”
“ไปได้”
“ได้ขอรับ นายน้อย!”
ค่ำคืนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หวงเสี่ยวหลงได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการบ่มเพาะในหุบเขาเทวะซูมและเมื่อตอนที่เขาออกมานั้นท้องฟ้าก็สว่างแล้วเรียบร้อย ในช่วงหลายวันนี้ หวงเสี่ยวหลงนั้นก็ทนฝึกเคล็ดวิชาเชิดหุ่นโบราณและบัญญัติวิญญาณของไข่มุกวิญญาณในทุกๆวันซึ่งทุกครั้งที่เขาฝึกเสร็จเขาก็จะสัมผัสได้ถึงการพัฒนาของตัวเขา
หวงเสี่ยวหลงเชื่อว่าในความเร็วการฝึกในระดับนี้ เขาคงใช้เวลาไม่นานในการบรรลุเคล็ดวิชาเชิดหุ่นโบราณขั้นที่ 3
พอหวงเสี่ยวหลงออกมาจากวิหารซูมี่ ฉินหยาง หลี่เฟย เจี่ยตงและฟานเอ๋อเฉิง ทั้งสี่คนนั้นก้ได้รอคอยหวงเสี่ยวหลองญุ่ก่อนแล้ว หลังจากจ่ยาค่าที่พัก พวกเขาก็เดินทางมุ่งหน้าไปเมืองหมื่นเทวะต่อ ซึ่งก่อนที่จะออกจากเมืองนั้นในแหวนเทพอสูรของหวงเสี่ยวหลนั้นจะต้องเต็มไปด้วยไวน์อย่างไม่ต้องสงสัย
พอออกจากเมืองหลวงแห่งดาบ ทั้งห้าคนก็เลือกเดินทางผ่านเขตภูเขา ในขณะที่พวกเขาเดินทางแข่งกับเวลาอยู่นั้น หวงเสี่ยวหลงนั้นก็ไม่ได้เรียกจิตวิญญาณของเขาออกมา แต่แม้จะไม่ได้เรียก ความเร็วของเขานั้นก็เร็วกว่าคนส่วนใหญ่ มันถึงขนาดที่ฉินหยางและคนที่เหลือแทบจะตามหวงเสี่ยวหลงไม่ทัน
“ดูเหมือนว่าข้าควรจะหาเวลากลั่นกระบี่บินสักหน่อยแล้ว” ก็ได้มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจของหวงเสี่ยวหลง
พระคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของหวงเสี่ยวหลงนั้นได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 12 รูปห้อยหาง ซึ่งทําให้ปราณภายในของเขานั้นเข้มข้นมากกว่าเดิมถึง 10 เท่าและมันยังทําให้เขาสามารถใช้มันในการสนับสนุนการใช้กระบี่บินได้อีกด้วยถึงแม้ว่ามันจะใช้ได้อย่างจํากัดเวลาก็ตาม เมื่อหวงเสี่ยวหลงนั้นบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบส่วนต้น ปราณแก่นแท้ก็จะก่อนตัวขึ้นในตันเถียนของเขา และเมื่อถึงเวลานั้นเขาก็สามารถใช้กระบี่บินไปได้ไกลหลายในหนึ่งลมหายใจ
ในครูต่อมา หวงเสี่ยวหลงก็ได้หยุดลงทันที พอเห็นหวงเสี่ยวหลงจู่ๆหยุดลง แม้ว่ามันจะรู้สึกแปลก แต่ฉินหยาวงและคนที่เหลืออีก 3 คนก็ลดความเร็วและมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังหวงเสี่ยวหลง
ในขณะที่ฉินหยางก็กําลังจะก้าวออกมาถาม ทันที่หวงเสี่ยวหลงก็หันไปจ้องพงหญ้าแห้งอย่างขมักเขม้น “เจ้าวางแผนจะไล่ตามพวกเราอีกนานใหม ทําเจ้าไม่แสดงตัวออกมาเล่า?”
ทั้งสี่คนที่มากับหวงเสี่ยวหลงก็ตกตะลึง
ครู่ต่อมาก็ได้เกิดเสียงดังขึ้นในขณะที่มีร่างโผล่ออกมาจากพงหญ้าแห้งซึ่งร่างนั้นสวมชุดคลุมสีดําที่มีคําว่า*พิษ*สลักอยู่บนชุด
“นิกายนักบุญพิษ!” ฉินหยางก็อุทานออกมาในจังหวะที่เขามองเห็นชุดที่อีกฝ่ายใส่อยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับนิกายนักบุญพิษ
ดูเหมือนชายคนนั้นจะรู้สึกพอใจในปฏิกิริยาตอบรับจากฉินหยางซึ่งทําเขาหัวเราะออกมาเบาๆอย่างพิลึกแต่กลับทําให้แสบแก้วหู ฉินหยางและคนที่เหลือรู้สึกราวกับแก้วหูถูกทิ่มแทงไปด้วยเข็มนับไม่ถ้วน
“นี่คือเสียงเพรียกแห่งปีศาจหยิน!” หวงเสี่ยวหลงก็พูดขึ้น และในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ระเบิดปราณพุทธะออกมาปกคลุมฉินหยางและคนที่เหลือ ทําให้ความเจ็บปวดจากหูของพวกเขานั้นหายไปทันที
“เสียงเพรียกแห่งปีศาจหยิน!”ฉินหยาง หลี่เฟย และคนที่เหลือก็ใบหน้าซีดเซียวเมื่อได้ยินชื่อนี้
ในโลกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ มีเคล็ดวิชาต่อสู้อันแสนน่ากลัวที่แค่พียงได้ยินชื่อต่างก็ทําให้ผู้ฟังใจสั่น และเสียงเพรียกแห่งปีศาจหยินนี้ก็เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาพวกนั้น
เสียงเพรียกแห่งปีศาจหยินนั้นเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้ประเภทเสียง ในตอนแรก ผู้ถูกเคล็ดวิชานี้เล่นงานจะรู้สึกเจ็บแก้วหูราวกับถูกเข็มแหลมคมทิ่มแทง ต่อมา สมองของคนผู้นั้นก็จะปูดโปนและในท้ายที่สุดเขาก็จะเลือดไหลออกจากทวารทั้ง 7 และตายไป ในช่วงที่กําลังจะตายนั้น คนผู้นั้นก็จะทนทุกข์ทรมานในช่วงสุดท้ายที่รู้สึกราวกับมีเข็มนับพันทิ่มแทงสมองของเขาเรื่อยไปจนตาย
อีกฝ่ายนั้นก็ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าหวงเสี่ยวหลงสามารถต้านทานเสียงเพรียกแห่งปีศาจหยินได้ จากนั้นเขาก็มองหวงเสี่ยวหลงด้วยความประหลาดใจ “นี่คือปราณพุทธะงั้นหรือ?”
ปกติแล้ว มีเพียงผู้ที่บ่มเพาะเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธจนกระทั่งถึงระดับสูงแล้วเท่านั้นถึงจะได้รับการยอมรับจากโลกพุทธะ และมีเพียงผู้ได้รับการยอมแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถครอบครองปราณพุทธะไว้ในร่างของตัวเองได้ ในโลกจิตวิญญาณต่อสู้แห่งนี้ จํานวนของคนผู้ที่มีปราณพุทธนั้นเรียกได้ว่าน้อยมากจนแทบจะนับด้วยนิ้วได้
“ฮิฮิ เป็นไงผู้อาวุโสจิน? ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าไอ้เด็กนี้มันไม่ได้จัดการได้ง่ายๆ” ในเวลานี้ ก็ได้มีเสียงอีกหนึ่งเสียงดังขึ้นพร้อมๆกับที่เจ้าของเสียงปรากฏขึ้นมาจากที่หลบซ่อน ชายคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่นายน้อยแห่งนิกายนักบุญพิษส่งให้มาจับหวงเสี่ยวหลง ผู้อาวุโสแห่งนิกายนักบุญพิษ เฉียงเหลียง
ผู้อาวุโสนิกายนักบุญพิษอีกคน ผู้อาวุโสจินก็แสดงใบหน้าน่าเกลียด
เฉียงเหลียงก็เพ่งความสนใจไปที่หวงเสี่ยวหลง ความจริงแล้ว เขานั้นตกใจที่หวงเสี่ยวหลงสามารถต้านทานการโจมตีเสียงเพรียกแห่งปีศาจหยินของผู้อาวุโสจิน
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทําไมชายหนุ่มคนนี้ถึงกล้าฆ่าศิษย์นิกายนักบุญพิษของเรา ดูท่าแล้วเจ้านั้นพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง” จากนั้นดวงตาของเฉียงเหลียงก็กลายเป็นคมกริบ “อย่างไรก็ตาม ในหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ ใครก็ฆ่าศิษย์นิกายนักบุญพิษมันผู้นั้นมักจะตกตายโดยพิษนับพันจากการโดยแมลงพิษนับพันรุมกัดกิน!”
หวงเสี่ยวหลงก็เดินเข้าไปหาพวกนั้นอย่างไม่แยแส “คนที่ต้องการฆ่าข้านั้นมีนับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายพวกมันก็ตายไปภายในเงื้อมือของข้าอยู่ดี”
สิ่งที่หวงเสี่ยวหลงพูดนั้นเป็นความจริง ในหลายปีที่ผ่านมานี้ มีคนมากมายที่ต้องการช่วงชิงชีวิตของหวงเสี่ยวหลง แต่ชีวิตของพวกมันกลับมาจบลงเพราะดาบเทพอสูรของหวงเสี่ยวหลง
“หยิ่งยโสนัก!” ผู้อาวุโสจินก็ตะโกนใส่ จากนั้นดวงตาของเขก็เปล่งประกายแสงสีฟ้าอันหนาวเย็น
เฉียงหลัยงนั้นก็ปรบมือจากนั้นก็มีเงาหลายร่างเคลื่อนไหวซึ่งนั่นก็คือกลุ่มศิษย์นิกายนักบุญพิษที่สวมผ้าคลุมซึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วเข้าล้อมกรอบกลุ่มของหวงเสี่ยวหลง แค่เพียงเหลือบมองชั่วพริบตา ก็รู้ว่าทั้งหมดนั้นมีประมาณ 55 ถึง 60 คน
พอมองกลุ่มตัวประกอบเข้ามาใกล้พวกเขา ฉินหยางและคนที่เหลืออีกสามคนก็หน้าซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าศิษย์นิกายนักบุญพิษแต่ละคนนั้นไม่ได้อ่อนแอเลยสักคน แม้ว่าจะต่อสู้กันตัวต่อตัว ก็ไม่มีพวกมันคนใหนจะเป็นคู่ต่อสู้ให้พวกเขาได้ แต่ศัตรูนั้นมีจํานวนมากกว่าพวกเขาถึง 10 เท่ามันเลยทําให้พวกเขารู้สึกหมดหนทาง นอกจากศิษย์นิกายนักบุญพิษแต่ละคนนั้นก็ได้เคลือบพิษไว้ตามร่างกาย หากประมาทเล็กน้อยพวกเขาก็จะติดพิษทันที และผลลัพธ์ก็คงจินตนาการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
หวงเสี่ยวหลงนั้นมองตรวจสอบกลุ่มศิษย์นิกายนักบุญพิษขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบตัวพวกเขาด้วยหน้าที่แยแสเหมือนเดิม เมื่อจินจงและเฉียงเหลียงมองเห็นหวงเสี่ยวหลงยังคงไม่ตื่นตระหนก พวกเขาทั้งสองก็หันมามองกันและกัน ซึ่งพวกเขาสามารถบอกได้ว่าหวงเสี่ยวหลงไม่ได้แกล้งทํา….หรือว่าหวงเสี่ยวหลงยังมีไพ่ตายหลบซ่อนอยู่อีกกัน?