Invincible Divine Dragon's Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ - ตอนที่ 420 อาจารย์ของข้าคือหมอเทวะหวัง!
- Home
- Invincible Divine Dragon's Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ
- ตอนที่ 420 อาจารย์ของข้าคือหมอเทวะหวัง!
“เสี่ยวหรัน! ไปฆ่าพวกมันให้หมด!”
มุมปากของหวังเสียนเอียงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปพูดเบาๆกับเสี่ยวหรันที่อยู่ข้างๆเขา
“ขอรับท่านอาจารย์!”
เสี่ยวหรันจับดาบโบราณซานลู่ในมือจนแน่น เขาจ้องมองไปยังกลุ่มคนทั้ง 13 คนด้วยความเกลียดชังและเย็นชา
คนกลุ่มนี้นั้นเป็นกลุ่มคนที่ได้ฆ่าแม่ของเขา และตามล่าเขากับน้องสาวของเขามาโดยตลอด
เจตนาสังหารของเสี่ยวหรันรุนแรงขึ้นมาในทันทีเมื่อนึกถึงแม่ของเขา เขาเดินเข้าไปหากลุ่มคนทั้ง 13 คนอย่างช้าๆด้วยท่าทางที่มั่นคง
หลังจากถูกไล่ล่ามานานกว่าหนึ่งปี เสี่ยวหรันไม่มีความกลัวเหลืออยู่อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดลมปราณแล้ว
และในตอนนี้เขามีเพียงความปรารถนาเดียวเท่านั้น นั่นก็คือคนกลุ่มนี้ทั้งหมดจะต้องตายด้วยมือของเขา
“ฆ่าพวกมันให้หมดโดยเร็วที่สุด พวกเราจะได้รีบๆกลับกันเสียที!”
ชายชราร่างอ้วนหรี่ตาและพูดออกมาอย่างเกียจคร้าน
“ฮึๆ! ข้าไม่คิดเลยว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าจะหายได้อย่างรวดเร็วภายใน 2 วัน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรในวันนี้ต่อให้เจ้ามีปีกเจ้าก็ไม่สามารถหนีไปได้อย่างแน่นอน!” เซียวซีซาน จ้องไปที่เสี่ยวหรันอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะชักดาบในมือของเขาออกจากฝัก
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว และข้าจะสังหารพวกเจ้าเพื่อเป็นการล้างแค้นให้แก่ท่านแม่ของข้า!”
เสี่ยวหรันยังคงไม่ได้ชักดาบออกจากฝัก เขามีความตั้งใจไว้ว่าจะใช้ดาบโบราณซานลู่กับผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณทั้งสองคน ส่วนคนอื่นๆนั้นไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะตายภายใต้คมดาบเล่มนี้
“ฮ่าฮ่า จะไม่หนีอีกต่อไปอย่างนั้นรึไอ้สาระเลวตัวน้อย? ก็ใช่น่ะสิเพราะว่าในวันนี้แกจะต้องตายอยู่ที่นี่ยังไงล่ะ ฮ่าฮ่า!”
เซียวซีซานและคนอื่นๆ เยาะเย้ยอย่างเย็นชา และอาวุธที่อยู่ในมือของพวกเขาก็พุ่งโจมตีไปยังเสี่ยวหรันในทันที
“พวกเจ้าทุกคนจะต้องชดใช้ ข้าจะใช้เลือดของพวกเจ้าเซ่นสังเวยดวงวิญญาณของแม่ข้า!”
เสี่ยวหรันจ้องมองไปยังกลุ่มคนทั้ง 13 คนที่กำลังเดินเข้ามา เปลวไฟสีน้ำเงินสว่างวาบออกมาจากดวงตาของเขา
“ฮ่าฮ่า ไอ้เด็กบัดซบ ไม่เจอกันเพียงแค่ 2 วันไม่คิดว่าแกจะหยิ่งยโสมากถึงขนาดนี้ คิดถึงแม่ของแกมากอย่างนั้นใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นข้าจะส่งแกไปพบกับแม่แกในปรโลกให้เอง!”
เซียวซีซานหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง และดาบยาวในมือของเขาก็ส่องประกายอันคมกริบ พุ่งตรงไปยังเสี่ยวหรันอย่างรวดเร็ว
พรึ่บบบ!
เสี่ยวหรันยังคงมองไปที่คนทั้ง 13 คนอย่างเย็นชา ในทันใดนั้นเปลวไฟสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
“ไปลงนรกซะ!”
เขาตะโกนออกมา ขณะเดียวกันเปลวไฟสีน้ำเงินก็พุ่งตรงไปยังคนทั้ง 13 คน เหมือนกับว่าเปลวไฟนั้นมีชีวิต
“ระวังตัวกันด้วย! เปลวไฟของเจ้าเด็กคนนี้น่ากลัวมากเลยทีเดียว!”
ใบหน้าของเซียวซีซานเคร่งขรึมเป็นอย่างมากเมื่อเขาเห็นเปลวไฟสีน้ำเงินพุ่งตรงมายังพวกเขา เขาจึงรีบตะโกนเตือนคนอื่นๆในกลุ่มทันที
“เปลวไฟแห่งสวรรค์และปฐพี! มันคือจิตวิญญาณแห่งเปลวไฟสวรรค์และปฐพี!”
ชายชราร่างอ้วนจ้องมองไปที่เปลวไฟสีน้ำเงินของเสี่ยวหรันด้วยความตกตะลึง เมื่อเขารู้ว่ามันคือเปลวไฟแห่งสวรรค์และปฐพีแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความโลภ
ชายชราร่างผอมที่ยืนอยู่ข้างๆก็มีอาการไม่ต่างกัน “ฮี่ฮี่! หลังจากฆ่าเจ้าเด็กคนนี้แล้ว จิตวิญญาณของธาตุไฟแห่งสวรรค์และปฐพีก็จะตกเป็นของพวกเรา ฮี่ฮี่!”
“เพลงดาบผ่าม่านหมอก!”
เซียวซีซาน และกลุ่มคนของเขาใช้เพลงดาบเดียวกันโจมตีไปยังเปลวไฟสีน้ำเงินที่กำลังพุ่งตรงมา
เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนทั้ง 13 คนกำลังใช้ดาบในมือต่อต้านเปลวไฟสีน้ำเงินของเขา เสี่ยวหรันก็กางฝ่ามือทั้งสองข้างของเขายื่นออกไปข้างหน้า เปลวไฟสีน้ำเงินก็ลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรงในทันทีเมื่อสัมผัสกับอาวุธของกลุ่มคนทั้ง 13 คน
บรึมมมมม!
เปลวไฟสีน้ำเงินขยายตัวเข้าไปชนกับดาบในมือของกลุ่มคนทั้ง 13 คนจนเกิดเสียงดังสนั่น
“ไม่ดีแล้ว!”
สีหน้าของเซียวซีซานเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก กลุ่มเปลวไฟสีน้ำเงินขนาดใหญ่ แตกต่างจากครั้งที่แล้วเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือความร้อนแรงของเปลวไฟ
“เอื้อออ! อ๊ากกกก!”
ในทันใดนั้นกลุ่มคนทั้งแปดคนที่อยู่ในระดับนักรบกันที่ 9 ก็ร้องลั่นออกมาด้วยความเจ็บปวด
พวกเขาเห็นเปลวไฟสีน้ำเงินลุกไหม้ที่แขนข้างที่ถือดาบของพวกเขา พวกเขาจึงใช้มืออีกข้างหนึ่งรีบตบไปยังแขนข้างที่ถูกเปลวไฟลุกไหม้เพื่อที่จะดับไฟ
แต่เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ไม่เพียงไม่ดับลงเท่านั้น แต่มันยังลามไปแผดเผาแขนอีกข้างหนึ่งที่ไปสัมผัสโดนเปลวไฟอีกด้วย
แขนทั้งสองข้างของคนทั้งแปด ลุกไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที มิหนำซ้ำเปลวไฟสีน้ำเงินยังคงลามไปที่ร่างกายของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้พวกเขานั้นไม่ได้ส่งเสียงร้องกันอีกต่อไป เพราะร่างกายของพวกเขานั้นลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับกระดาษแผ่นบางๆที่ถูกไฟเผา
“นี่!!…. มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เพียงแค่ 2 วันเท่านั้นแต่ความร้อนแรงของเปลวไฟมันจะเพิ่มมากขึ้นจนถึงระดับนี้ได้อย่างไรกัน?!”
ใบหน้าของเซียวซีซานเปลี่ยนเป็นซีดขาวไปในทันที เขาจ้องมองไปยังเปลวไฟสีน้ำเงินที่กำลังลุกไหม้อยู่บนแขนของเขาด้วยความหวาดกลัว
ในครั้งที่แล้ว กลุ่มคนของเขานั้นก็ถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟสีน้ำเงินแบบนี้เช่นเดียวกัน แต่มันก็ยังไม่สามารถที่จะฆ่านักรบระดับขั้นที่ 9 ได้ มีเพียงนักรบระดับขั้นที่ 8 เท่านั้นที่ถูกสังหารจนตายภายใต้เปลวไฟสีน้ำเงิน มิหนำซ้ำกลุ่มคนที่ตายยังไม่ได้ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านเช่นนี้ เพียงแค่ถูกเผาตายจนไหม้เกรียมเพียงเท่านั้น
ในตอนนี้เซียวซีซานเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เมื่อเขาเห็นว่าแขนข้างที่ถือดาบของเขานั้นถูกแผดเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน แม้แต่ดาบในมือของเขาก็ยังถูกหลอมละลายจนกลายเป็นขี้เถ้า
สมองของเขาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอีกต่อไป เมื่อเปลวไฟสีน้ำเงินเริ่มลามขึ้นมาถึงบริเวณลำตัวและใบหน้าของเขา
“ม่ายยยยยย!”
ฟู่วววว!
เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังดังออกมาจากกลุ่มนักรบที่เหลือ และเสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆแผ่วเบาและเงียบหายไปเหลือเพียงแต่เสียงปะทุของเปลวไฟเท่านั้น
เพียงหนึ่งการโจมตี ระดับครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณห้าคน และระดับนักรบขั้นที่ 9 แปดคนถูกสังหารจนเหลือเพียงแค่เถ้าถ่านที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ
“เกิดอะไรขึ้น!?”
“นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
ใบหน้าของชายชราร่างผอมและอ้วน ที่กำลังยืนดูการต่อสู้ด้วยรอยยิ้มในก่อนหน้านี้ได้หายไป พวกเขาต่างจ้องมองไปยังฉากที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ชายชราร่างอ้วนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ในตอนนี้สมองของเขานั้นไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทัน ใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยความมึนงงและสับสน
“ถึงตาของพวกเจ้าแล้ว!”
เสี่ยวหรัน ค่อยๆชักดาบโบราณซานลู่ออกมาจากฝักอย่างช้าๆ ในขณะที่จ้องมองไปยังชายชราอ้วนผอมที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ฮึ่มมม! ข้าประเมินฝีมือของเจ้านั้นต่ำมากเกินไป ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเด็กชายที่มีอายุเพียง 15 ปีเช่นเจ้าจะสามารถสังหาร กลุ่มนักรบที่มีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างมากมายได้พร้อมๆกันถึง 13 คนได้ในครั้งเดียว!”
“ดูเหมือนว่าระดับความแข็งแกร่งของเจ้านั้นจะอยู่ในระดับก่อกำเนิดลมปราณอย่างนั้นสินะ!”
“พวกข้าประมาทมากเกินไปจริงๆ!”
ชายชราทั้งสองคนกัดฟันพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด
“เจ้าคงได้พบเจอกับโชควาสนาบางอย่างมาอย่างนั้นสินะ เมื่อ 2 วันก่อนเจ้ายังอยู่เพียงแค่ระดับครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณ แต่ในวันนี้เจ้าได้ก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดลมปราณได้อย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำยังมีเปลวไฟแห่งสวรรค์และปฐพีอยู่ในมืออีกด้วย!”
จิตวิญญาณของเปลวไฟแห่งสวรรค์และปฐพีนั้นแข็งแกร่งกว่าจิตวิญญาณแห่งเปลวไฟทั่วๆไปเป็นอย่างมาก เปลวไฟแห่งสวรรค์และปฐพีนั้นสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งตามระดับของผู้ที่ครอบครองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“พบเจอโชควาสนาอย่างนั้นรึ! นั่นก็คงอาจจะจริงอย่างที่พวกเจ้าว่า แต่สิ่งที่ข้าพบเจอนั้นไม่ใช่สมบัติจิตวิญญาณที่ทรงพลัง ไม่ใช่มิติที่ซ่อนเร้นหรือสุสานโบราณใดๆทั้งสิ้น แต่โชคและวาสนาที่สูงที่สุดในชีวิตของข้านั่นก็คือการที่ข้าได้พบกับท่านอาจารย์ของข้า!”
เสี่ยวหรันเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่ชายชราทั้งสองคนด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
“อาจารย์ของเจ้า?”
สายตาของชายชราทั้งสองคนชำเลืองมองไปทางหวังเสียน,ซุนหลิงซิ่วและเสี่ยวเหมิงอยู่ครู่หนึ่ง และไม่ได้ให้ความสนใจอีกต่อไป เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าชายหนุ่มและหญิงสาวที่ดูอ่อนประสบการณ์ที่ยืนอยู่ตรงนั้นจะเป็นอาจารย์ของเสี่ยวหรันได้
“ไอ้หนู! เจ้าเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดลมปราณ เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถสู้กับพวกเราทั้งสองคนได้จริงๆอย่างนั้นรึ?”
ชายชราร่างอ้วนพูดอย่างเย็นชา และมองหน้ากันกับชายชราร่างผอม หลังจากนั้นเขาก็แอบลอบโจมตีเสี่ยวหรันอย่างกะทันหัน
เฟี้ยวววววว!
อาวุธลับที่มีลักษณะคล้ายเข็ม 4 เล่ม ซึ่งมีทั้งสีฟ้าและสีแดงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว อาวุธลับทั้ง 4 เล่มนั้นต่างเล็งไปที่คอและหว่างคิ้วของเสี่ยวหรัน
ชายชราทั้งสองคนไม่มีความละอายใจเลยแม้แต่น้อยการลอบโจมตีเด็กอายุ 15 ปี โดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายมากที่สุด
“หือ?” เสี่ยวหรันค่อนข้างจะตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณทั้งสองคนใช้อาวุธลับแอบลอบโจมตีเขาอย่างกะทันหัน
เสี่ยวหรันรีบก้าวถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว และพร้อมกันนั้นเขาก็ดึงดาบโบราณซานลู่ออกมาปิดกั้นอาวุธลับทั้ง 4 เล่มที่กำลังพุ่งตรงมายังคอและหวางคิ้วของเขา
“เข็มบินอัคคีและเหมันต์ ไม่ใช่สิ่งที่ดาบยาวเล่มเล็กๆของเจ้าจะสามารถต้านทานได้ จงยอมรับความตายเสียโดยดีเถอะเจ้าเด็กน้อย อย่างน้อยๆเจ้าจะได้ไปพบกับแม่ของเจ้าในปรโลกยังไงล่ะ ฮี่ฮี่!”
ชายชราร่างผอมหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้รู้ว่าเด็กชายที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะตายภายในอีกไม่กี่วินาที
ยิ่งคนที่เขาสังหารมีพรสวรรค์สูงมากเท่าไหร่ ชายชราร่างผอมก็รู้สึกว่าตัวเขานั้นมีความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น ลักษณะนิสัยของเขานั้นอาจจะเริ่มต้นด้วยการที่อิจฉาริษยาในพรสวรรค์ของผู้อื่นมาตั้งแต่แรกเริ่มการฝึกฝน พอนานวันเข้าเขาจึงกลายเป็นคนโรคจิตที่ชอบสังหารผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ในระดับสูง
เคร้งงงๆๆๆ!
แต่อย่างไรก็ตามรอยยิ้มของชายชราทั้งสองคนได้หายไปในทันทีเมื่อเห็นว่า เข็มบินของพวกเขาทั้ง 4 เล่มนั้นถูกสกัดกั้นได้อย่างง่ายดายโดยดาบในมือของเสี่ยวหรัน
“นั่นมัน!…อาวุธระดับก่อกำเนิดจิตวิญญาณ! ดาบเล่มนั้นคือดาบระดับก่อกำเนิดจิตวิญญาณอย่างนั้นเหรอ?”
ชายชราทั้งสองคนตกใจขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นดาบโบราณซานลู่ในมือของเสี่ยวหรัน
“มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่เด็กอนาถาเช่นเจ้าจะมีอาวุธระดับก่อกำเนิดจิตวิญญาณเช่นนี้ได้? หรือว่าอาจารย์ของเจ้ามอบให้เจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ชายชราร่างอ้วนถามออกมาด้วยความตกใจ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าเขาจะได้รับอาวุธวิญญาณระดับก่อกำเนิดจิตวิญญาณจากอาจารย์ของเขาโดยตรง
ในปัจจุบันนี้อาวุธวิญญาณระดับก่อกำเนิดจิตวิญญาณมีเพียงแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ในโลกยุทธภพ
แม้แต่สำนักระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์อันดับต้นๆของโลกยุทธภพก็มีอาวุธวิญญาณระดับก่อกำเนิดจิตวิญญาณเพียงแค่ 1 หรือ 2 ชิ้นเพียงเท่านั้น และโดยส่วนมากอาวุธเหล่านี้จะถือได้ว่าเป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ของสำนัก ต่อให้เป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักบางทีก็ยังไม่มีโอกาสจะได้สัมผัสอาวุธระดับก่อกำเนิดจิตวิญญาณเลยด้วยซ้ำไป
“ใช่! ดาบโบราณซานลู่เล่มนี้อาจารย์ของข้านั้นได้มอบมันให้เป็นอาวุธประจำตัวของข้า!”
เสี่ยวหรันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา แต่ใบหน้าและท่าทางของเขานั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“และเมื่อพวกเจ้าได้เห็นดาบเล่มนี้แล้ว! พวกเจ้าก็คงจะรู้แล้วว่าอาจารย์ของข้านั้นคือใคร? และจงจำเอาไว้ก่อนที่จะตายว่าข้าเสี่ยวหรันไม่ใช่คนที่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว เพราะอาจารย์ของข้านั้นคือหมอเทวะหวังราชาแห่งเมืองเจียงเฉิง!”
“อะไรนะ!!?”
ใบหน้าของชายชราทั้งสองคนเปลี่ยนไปอย่างมาก แววตาของพวกเขานั้นแสดงความตื่นตระหนกออกมาจนเห็นได้อย่างชัดเจน
พวกเขาทั้งคู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆอยู่หลายครั้งก่อนที่จะหันมองหน้ากันเล็กน้อย
“แล้วยังไงล่ะ! หมอเทวะหวังราชาแห่งเมืองเจียงเฉิงยิ่งใหญ่มากนักหรืออย่างไร? พวกข้าเชื่อว่าอย่างน้อยๆหมอเทวะหวังก็คงจะไม่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลเซียวและตระกูลเหลียงสองตระกูลใหญ่แห่งเมืองปักกิ่งอย่างแน่นอน!”
……….
จบบท