Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ - ตอนที่ 15 Clash (1)
อัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัสและเวอร์เดลได้เดินทางออกจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ควอเลีย
พวกเขาทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังดินแดนต้องสาป ด้วยกองกำลังทหารรับจ้างราวๆห้าสิบคนที่จ้างมาได้สำเร็จ
ในโลกใบนี้ มีทั้งทหารรับจ้างและนักผจญภัย
ทั่วทั้งทวีปยังไม่ถูกสำรวจ ทวีปไฮดราเกียเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตอันตรายอย่างมอนสเตอร์และสัตว์ป่า
ทำให้ความต้องการผู้ที่หาเลี้ยงชีพด้วยการต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทหารรับจ้างที่ถูกว่าจ้างตามปกติ หรือแบบส่วนตัวก็ตาม พวกเขามีประโยชน์ในหลายๆสถานการณ์
กลุ่มของทหารรับจ้างที่มากับพวกเขาในครั้งนี้
นอกไปจากช่วงสงครามแล้ว พวกเขาหาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์อสูร และรับงานสำรวจเบื้องต้นระหว่างการขยายดินแดน ดังนั้นพวกเขาจึงเหมาะสมกับการสำรวจครั้งนี้
งานมักจะดำเนินไปในลักษณะนี้ แต่ก็มักจะมีปัญหาขึ้นราวกับเป็นเรื่องปกติ
อัศวินศักดิ์สิทธิ์อาวุโสเวอร์เดลพึงพอใจกับเส้นสายและทักษะการประสานงานของอัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัส แต่ในขณะที่มุ่งหน้าเข้าป่า อารมณ์ของเขาก็เลวร้ายยิ่งขึ้น
“อ่าา น่าเบื่อชะมัด ทำไมข้าต้องมารับผิดชอบอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย? บ้าเอ๊ย ข้าล่ะอยากกลับบ้านซะจริง แต่แบบนี้คงจะดีกว่ามานั่งฟังไอ้พวกชั้นสูงนั้นพล่ามบ้าบอๆอยู่ที่ศูนย์กลางเป็นร้อยเท่าล่ะนะ”
“อาจจะเป็นเพราะเหตุวุ่นวายในเขตทางตอนเหนือครับ ปกติแล้วมันจะไม่แปลกเลยที่ทีมสำรวจขนาดใหญ่จะถูกจัดตั้งขึ้น ความจริงที่ว่ามีจำนวนเพียงเท่านี้แสดงให้เห็นว่าควอเลียเองก็ไม่มีเวลามากนัก”
“โอ้ งั้นก็ช่างมันเถอะ”
เวอร์เดลโบกมือ และก้าวเดินออกไปอย่างเฉื่อยชา
สิ่งที่แน่นอนก็คือ แม้ว่าเขาจะสวมชุดเกราะอัศวินหนัก แต่จากการเคลื่อนไหวและย่างก้าวที่เบาของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
การฝึกฝนโดยไม่หยุดหย่อน และพลังพิเศษที่พรสวรรค์ของพวกเขาสร้างขึ้น
กัปตันของกองทหารรับจ้างที่มากับพวกเขาได้เข้าร่วมการสนทนา ในขณะที่เขาได้ประจักษ์กับพลังของอัศวินที่ได้รับการกล่าวขาน ว่าสามารถทำงานของทหารนับร้อยนายได้ด้วยตัวคนเดียว
“ความวุ่นวายทางตอนเหนือ ถึงจะไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ดูเหมือนจะเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นที่นั่นนะ….”
“หืม? พวกเจ้าสนใจด้วยงั้นรึ? ข้าได้ยินมาว่าพวกนั้นจ่ายหนักเอาเรื่องเลยนี่ ใช่มั้ย…?”
“ถึงจะจ่ายหนักก็เถอะ แต่ต้องเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้ายแบบนั้นน่ะ มันยากเกินไปสำหรับทหารรับจ้างธรรมดาๆแบบพวกเรา”
“นั่นก็จริงนะ แม้แต่ในสถานการณ์ปกติ ทหารรับจ้างจะต้องอาศัยความได้เปรียบในการทำงานยากๆ ถ้าสัมผัสถึงอันตรายไม่สูงพอ คงไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้หรอก”
“แถมยัง…ดูเหมือนว่ามีแม่มดปรากฏตัวในเขตทางเหนืออีกด้วย”
ภาษาที่พวกเขาคุยกันค่อนข้างหยาบโลน เวอร์เดลและกัปตันดูเหมือนจะเป็นคนประเภทเดียวกัน โรนิอัสถอนหายใจให้กับบทสนทนาของพวกเขา ไม่รู้อีกแล้วว่าใครที่เป็นอัศวิน และใครกันแน่ที่เป็นทหารรับจ้าง แต่ระหว่างบทสนทนาเหล่านี้ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินคำที่ไม่คุ้นเคยเข้ามาในหัว
–แม่มด
ชายที่เป็นหัวหน้าของเหล่าทหารรับจ้างกล่าวออกมา มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำนี้
มันมีบางอย่างเกิดขึ้นทางตอนเหนือที่เขาไม่รู้งั้นหรอ?
เพราะความสงสัยนั้น ในที่สุดเขาก็เข้าไปขัดบทสนทนาของทั้งคู่
“แม่มดงั้นหรือ? กัปตัน เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่? ทำไมข้าไม่เคยได้ยิน….”
“มันเป็นแค่ข่าวลือนะ แต่…”
“เฮ้ หยุดเลยนะ! อย่าพูดเรื่องไร้สาระทั้งที่สถานการณ์ตอนนี้มันแย่อยู่แล้วสิฟะ!!”
“เพราะงั้น โทษทีนะ…”
“ข้าอยากให้การสำรวจนี่มันจบลง และจะได้รีบออกไปจากที่นี่สักที”
โรนิอัสรู้สึกสงสัยเพราะเวอร์เดลเข้ามาขัดตอนที่พูดเกี่ยวกับแม่มด
แต่เขารู้ว่าหากยังดึงดันจะถามต่อไปก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงปิดปากเงียบ
“เอาล่ะ ผ่อนคลายหน่อยสิ ท่านอัศวินศักดิ์สิทธิ์ โชคดีที่มันมีเมืองอยู่ใกล้ๆดินแดนต้องสาป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่เราสามารถดื่มเหล้าได้ทุกๆคืนเลยล่ะ เราไม่ควรจะตั้งแคมป์ข้างนอกนี่นะ”
“ฮึ่ม!”
“มาเร็ว รีบจบเรื่องพวกนี้กัน!”
เห็นได้ชัดว่าการเกลี้ยกล่อมของกัปตันได้ระงับโทสะของเวอร์เดลลงได้
แต่โรนิอัสก้ยังไม่รู้เกี่ยวกับแม่มด และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะถามกัปตันตรงนี้ด้วย
ขณะที่ยังรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ โรนิอัสได้ถูกบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้พัดพาไป
“เป็นอะไรรึเปล่า ท่านโรนิอัส?”
“อ่า ….ไม่เป็นไร”
แม่มดมีหน้าตาแบบใดกัน?
หรือว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดลจะรู้อะไรบางอย่าง?
มันมีช่องว่างด้านข้อมูลขนาดใหญ่ในหมู่อัศวินศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นอยู่กับระดับของพวกเขา
ไม่เหมือนกับพวกระดับต่ำ ไม่น่าแปลกใจถ้าระดับอาวุโสแบบเวอร์เดลจะรู้ข้อมูลลับจากศูนย์กลาง…
“อ๊ะ! ระหว่างที่เราคุยกันอยู่นี่ เห็นดินแดนต้องสาปแล้วล่ะ นั่นคือจุดที่ใกล้กับควอเลียมากที่สุด ดังนั้นเริ่มสำรวจกันจากตรงนั้นเถอะ!”
นั่นคือดินแดนต้องสาป…?
ตามที่กัปตันบอก ภาพของป่าที่มืดครึ้มได้เข้ามาสู่สายตาของพวกเขา
ตามแผนที่ที่ได้รับการยืนยันมาก่อนหน้านี้ ดินแดนต้องสาปนี้เป็นผืนป่าอันกว้างใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะสำรวจมันทั้งหมด ทั้งในแง่ของเวลาและกำลังพล
แต่ครั้งนี้เป็นเพียงการสำรวจคร่าวๆ และถ้ามีปัญหาใดๆ พวกเขาจะส่งหน่วยสำรวจขนาดใหญ่กว่านี้ออกมา
นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาส่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์ออกมา และโรนิอัสเองก็รู้เรื่องนี้ดี
นี่ควรจะเป็นภารกิจง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม…เบื้องหน้าป่าที่กว้างใหญ่นี้ พวกเขารู้สึกสะพรึง ราวกับว่าเป็นรังของสัตว์ร้าย
โรนิสยังคงจ้องไปยังป่าที่อยู่ตรงหน้าเขา
………
……
…
“ทุกคน หยุด!”
พวกเขาทั้งหมดหยุดเดิน ตามคำสั่งของอัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดล
ดินแดนต้องสาปอยู่ตรงหน้าพวกเขา และตามที่คุยกันไว้ พวกเขาควรจะเริ่มสำรวจ
พวกเขาถกกันในหลายๆเรื่อง ขณะที่มองไปยังทางเข้าป่า
คำพูดของเวอร์เดลทำให้พวกเขาทั้งหมดชะงัก
อะไรอยู่ตรงนั้น?
ทุกคนรู้สึกถึงสายตาของเวอร์เดลที่จ้องมองเข้าไปในป่า และมองไปตามแนวสายตาของเขา
พวกเขาเห็นร่างๆหนึ่ง เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
“นั่นมันอะไร…?”
เป็นเด็กสาว
ผิวเธอเป็นสีขาวอย่างน่าขนลุก ผมของเธอเป็นลอนและมีสีเทาหม่น
เธอแต่งกายด้วยผ้าขาดๆที่ทำจากผ้าลินิน
ดวงตาสีแดงของเธอให้ความรู้สึกแปลกๆ และเมื่อรวมกับสถานการณ์นี้ เธอจึงสร้างความประทับใจที่ไม่ธรรมดา
“เป็นสิ่งที่พบได้ยากในสถานที่แบบนี้ เจ้าคิดว่ายังไง โรนิอัส?”
“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ยินมาว่าพวกดาร์คเอลฟ์ได้ถูกขับออกมาจากสหพันธ์เอลนาร์ครับ”
“เราได้รับข่าวว่าพวกเขามุ่งหน้ามายังทวีปทางตอนใต้ บางทีเธออาจจะเป็นผู้รอดชีวิตสินะ?”
“หืม ผู้รอดชีวิตสินะ….เฮ้”
เวอร์เดลตะโกนออกไปด้วยสายตาที่แสดงความสงสัยอย่างเปิดเผย
เวอร์เดลเป็นคนรับผิดชอบปฏิบัติการนี้
โรนิอัส และกองกำลังทหารรับจ้างกำลังสับสนว่าควรจะทำอะไร แต่พวกเขาตัดสินใจปล่อยทุกอย่างให้เวอร์เดลจัดการ
เวอร์เดลกอดอกและจ้องไปยังเด็กสาวอย่างมุ่งมั่น
จนในที่สุด เมื่อเด็กสาวคนนั้นเข้ามาใกล้มากพอ เวอร์เดลจึงส่งเสียงดังถามเกี่ยวกับตัวตนของเธอ
“เฮ้! สาวน้อย! เจ้าเป็นใครกัน? พวกเรามีธุระในป่าแห่งนี้ แต่ทำไมเจ้าถึงเดินออกมาจากดินแดนต้องสาปนี่กันล่ะ!”
“โอ้ ข้าเดาว่าท่านคืออัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งควอเลียสินะคะ ข้าคือหนึ่งในดาร์คเอลฟ์ที่หลบหนีมายังป่าแห่งนี้ ไม่ทราบว่าจะขอทราบจุดประสงค์ที่ท่านมาเยือนที่แห่งนี้ได้หรือไม่?”
ประโยคแรกนั้นค่อนข้างธรรมดา
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความทะนงนั้นช่างไพเราะ ตรงกันข้ามกับภาพที่เขาเห็น ความแปลกประหลาดนี้ทำให้เวอร์เดลไม่เชื่อเธอ
“ข้าไม่สามารถบอกเหตุผลได้ นั่นเป็นข้อมูลลับ เจ้าจะต้องตอบคำถามข้ามาก่อน สาวน้อย เหตุใดเจ้าจึงเดินออกมาจากป่า?”
“พวกเราถูกบังคับให้ละทิ้งบ้านเกิด และไม่มีที่ใด้ให้กลับไป ดินแดนต้องสาปนี่จึงเป็นเพียงสถานที่เดียวที่พวกเราจะพบกับความสงบ จะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาที่นี่”
“การใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนต้องสาปเป็นเรื่องแปลก เอาล่ะ อย่างที่เจ้าพูด พวกเราคืออัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งควอเลีย เรามีธุระในป่านี่ เจ้าจะว่าอะไรมั้ยถ้าพวกเราจะเข้าไป?”
“ท่านไม่สามารถเข้าไปได้ ได้โปรดอย่าเข้าไปในป่า ท่านอัศวินศักดิ์สิทธิ์”
“เจ้า! สิ่งนี้คือประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ข้าไม่ยอมรับการปฏิเสธ….”
“เฮ้ ข้าพูดอยู่นะ หุบปากซะ โรนิอัส!”
“…ข้าขออภัยด้วย ท่านอัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดล”
การตำหนิอย่างรุนแรงของเวอร์เดลทำให้โรนิอัสตัวสั่น
ถึงจะผิดจริงที่เขาเข้าไปขัด แต่จำเป็นที่จะต้องตำหนิเขารุนแรงขนาดนั้นด้วยหรือ?
อย่างไรก็ตาม เขาและเธอกำลังเจรจากันอยู่
หลังจากตัดสินใจที่จะรายงานความหยาบคายของชายคนนี้ในภายหลัง โรนิอัสจับตาดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆ พยายามจะไม่เข้าไปขัดอีก
เด็กสาวคนนั้นจ้องไปยังโรนิอัสและเหล่าทหารรับจ้าง
ดวงตาสีแดงของเธอมองมาที่พวกเขาอย่างน่าขนลุก
เธอคือดาร์คเอลฟ์จริงๆหรือ?
ขณะที่มองไปเด็กสาว พวกเขาต่างก็มีคำถามเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาในใจ เด็กสาวเงียบไปสักพัก
จนในที่สุด หลังจากเธอแน่ใจแล้วว่าโรนิอัสจะไม่เข้ามาขัดการพูดคุยอีก เธอจึงมองไปยังเวอร์เดลอีกครั้ง และตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์
“ดาร์คเอลฟ์ ผู้ที่หลบหนีมาด้วยความหวาดกลัว เราทุกคนรอดชีวิตจากการเดินทางที่ยากลำบากและเจ็บปวด ในที่สุดพวกเราก็พบสถานที่สำหรับอยู่อาศัยอย่างสงบ พวกเราขอร้องท่าน ได้โปรดมีเมตตา….”
“พวกข้าเองก็มีงานต้องทำเช่นกัน ถ้าทำได้ พวกเราก็อยากจะกลับบ้าน แต่ด้วยคำสั่งจากเบื้องบน ทำให้เป็นไปไม่ได้….”
“พวกเราหวังว่าท่านจะเข้าใจ และลืมความปรารถนาที่จะเข้าป่านี้ไปเถิด”
คำพูดของเด็กสาวนั้นสุภาพและเต็มไปด้วยความเคารพ
ยกเว้นส่วนที่ไม่สบายใจ มันสามารถอธิบายได้ว่า นี่เป็นข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบ
แต่นี่คือดินแดนต้องสาป ป่าทั้งหมดนี้ล้วนถูกสาปแช่ง
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นตัวตนแปลกประหลาด ที่ดูไม่เหมือนคนของสถานที่แห่งนี้
ไม่ได้เกินจริงไปเลย ที่จะบอกว่าอาจมีบางอย่างในป่าที่ทำให้เธอปฏิเสธพวกเขา
ยกตัวอย่างเช่น ภัยพิบัติที่ถูกทำนายโดยนักบุญ
“มีอะไรอยู่ในป่างั้นรึ?”
“มีเพียงความเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดคุกคามพวกท่าน เหตุใดท่านจึงหมกมุ่นอยู่กับป่าเล็กๆที่มืดสลัวเช่นนี้?”
“ชิ! พวกเรามาที่นี่ด้วยคำพยากรณ์ที่ว่ามีภัยพิบัติบนดินแดนแห่งนี้ พวกเราคงจะตอบว่า ‘ได้ เข้าใจแล้ว’ แล้วก็กลับบ้านไม่ได้หรอกนะ….”
“ทะ-ท่านเวอร์เดล! นี่มันภารกิจลับสุดยอด! ทำไมท่านถึงบอกคำทำนายให้ดาร์คเอลฟ์นั่น!”
“หุบปากซะ! ข้าบอกให้เจ้าหุบปากไม่ใช่เรอะ โรนิอัส! ต้องให้ข้าบอกอีกกี่ครั้งกัน!”
คำพูดนั้นถูกกล่าวออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และโรนิอัสก็ถูกทำให้เงียบลงด้วยความโกรธอีกครั้ง
การเปิดเผยความลับสุดยอดของอาณาจักรแก่ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ทราบ
ในขั้นต้น การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมที่ละเมิดความไว้วางใจ แต่เวอร์เดลอาจจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วและยังคงพยายามขัดการเจรจา
เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวแสดงท่าทางประหลาดใจ เธอแสดงท่าทางงุนงง และเอามือป้องปาก
“คำทำนายจากนักบุญ…? อัศวินศักดิ์สิทธิ์หวาดกลัวภัยพิบัติ แต่ไม่มีผู้ใดบนดินแดนนี้ที่ต้องการทำร้ายท่านแม้แต่น้อย”
“แล้วเจ้ามีอะไรมาพิสูจน์มัน?”
“ข้ามีเพียงคำพูดเท่านั้น”
“พวกเราสามารถเข้าไปในป่าได้หรือไม่? แค่นิดเดียว นั่นคงจะเพียงพอสำหรับเราแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ ได้โปรดท่านละเว้นด้วย”
“แล้วถ้ามันเกิดภัยพิบัติขึ้นต่ออาณาจักรและผู้คนของข้าล่ะ?”
“ไม่มีหรอกท่าน พวกเราต่างหากที่หวาดกลัว”
“แม้ว่าเจ้าจะยังเด็ก แต่พูดซะคล่องเชียว ดูเหมือนเจ้าจะคุ้นเคยกับการเจรจา แถมยังกล้าหาญมากอีกด้วย”
“ขอย้ำอีกครั้ง พวกเราไม่ใช่ผู้ที่จะทำร้ายท่าน”
มันเป็นการตอบอ้อมๆ
เธอไม่เปิดเผยตัวตนของตนเอง เพียงขอให้เขาจากไปเพื่อที่เธอจะได้อยู่อย่างสงบ
ทุกคนที่นี่เข้าใจแล้วว่าเด็กสาวคนนั้นไม่ใช่ดาร์คเอลฟ์
ไม่สิ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดาร์คเอลฟ์อยู่หรอก
ยิ่งสนทนากันมากเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น และความรู้สึกชั่วร้ายที่ล่องลอยมาในอากาศ
พวกเขาไม่แน่ใจว่าหญิงสาวที่ปลดปล่อยกลิ่นอายของความชั่วร้ายนี้กำลังคิดอะไรอยู่ และหยุดพวกเขาจากการเข้าไปในป่าแห่งนี้ ไม่มีทางที่เวอร์เดล และหน่วยของเขาจะรู้
ดูเหมือนเด็กสาวคนนี้เองก็ไม่ต้องการจะบอกเช่นกัน
ดังนั้นเวอร์เดลจึงตัดสินใจ และถามคำถามสุดท้ายเพื่อหยุดการเผชิญหน้านี้
“เจ้ากล้าสาบานต่อพระเจ้าหรือไม่?”
“ข้าขอสาบานต่อพระเจ้าของข้า”
เด็กสาวได้สาบานต่อพระเจ้า
ไม่ว่าจริงๆแล้วมันจะเป็นพระเจ้าที่พวกเขานับถือ หรืออะไรอื่นก็ตาม เวอร์เดลไม่รู้
แต่เขาหยุดอยู่พักหนึ่ง และจากนั้นลืมตาขึ้นมา และบอกกับพวกพ้องของเขา
“เรากำลังจะกลับ”
“อะไรนะ!!”
โรนิอัสจ้องไปยังเวอร์เดลอย่างประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดที่กะทันหันนั่น
เห็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้าย
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์อาวุโสอย่างเวอร์เดลจะกล่าวคำเช่นนี้ออกมา
ราวกับว่าเขาถูกกลืนกินด้วยความกลัวและก้มหัวให้กับปีศาจ
แม้แต่โรนิอัสผู้เคร่งครัดศาสนา ก็ยังตะโกนให้กับเรื่องนี้
“ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ท่านอัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดล? สิ่งนั้นมันมีกลิ่นอายที่น่ารังเกียจอย่างชัดเจน! ท่าน! ผู้ที่เป็นถึงอัศวินศักดิ์สิทธิ์ สัมผัสไม่ได้ถึงจิตวิญญาณชั่วร้ายของหญิงสาวผู้นี้งั้นรึ!?”
“ข้าไม่สนเรื่องจิตวิญญาณชั่วร้ายนั่นหรอกโว้ย! ข้าจะกลับบ้าน นางบอกแล้วว่าพวกเขาต้องการอยู่อย่างสงบ และข้าเห็นด้วย มันก็แค่นั้น ข้าเหนื่อย แล้วก็หิวมากด้วย”
เวอร์เดลดูเหมือนจะตัดสินใจแล้ว เขาเกาหลังและแสดงท่าทีเฉื่อยชาแบบเดียวกับก่อนมาที่นี่อีกครั้ง
เปล่าประโยชน์ที่จะพูด โรนิอัสและทหารรับจ้างยังคงสับสนอยู่ และเขาก็เดินเข้าหาเวอร์เดลอีกครั้ง
“ท่านจะมองข้ามตัวตนชั่วร้ายนี่ไปอย่างนั้นรึ?”
“ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องมองข้ามมันหรืออะไรทั้งนั้น ไม่มีปัญหาใดๆ นั่นแหละผลของการสำรวจ”
“แล้วหากนางหลอกพวกเราล่ะ? หากท่านกลายเป็นสาเหตุของภัยพิบัติสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ควอเลียของเรา ท่านจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร?”
“อย่ามัวแต่จับจ้องไปที่ความกลัวโรนิอัส หลักคำสอนของเราเริ่มด้วยความเชื่อ กลับไปอ่านพระคำภีร์อีกครั้งซะ เจ้าคนไร้ศรัทธา”
คำถามของโรนิอัสไม่ได้รับคำตอบ
ดูเหมือนเวอร์เดลตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ ต่อให้โรนิอัสกดดันเขาก็ตาม
ตลอดการเดินทางนี้ โรนิอัสรู้จักนิสัยที่น่ารังเกียจของเขาเป็นอย่างดี เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะกดดันเวอร์เดลด้วยคำพูด
ในที่สุด โรนิอัสได้งัดไพ่ตายที่เขาเตรียมไว้ออกมา
“ท่านถูกกล่าวหาว่าลักพาตัวหญิงบริสุทธิ์ และกระทำการต่ำช้า หรือว่าท่านถูกล่อลวงโดยปีศาจสาวตนนั้น?”
คิ้วของเวอร์เดลขมวดชนกัน และความหงุดหงิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาทันที
“นี่แกโง่รึเปล่า? นั่นเป็นเพียงข้อกล่าวหามิใช่รึ? นั่นไม่ใช่แม้แต่ประเด็นหลักของเรื่องนี้เลยนะ อย่ามาแต่งเรื่องให้เข้าทางตัวเองสิวะ ข้าจะต่อยแกให้คว่ำเลย”
ชายคนนี้ต้องสงสัยว่ากระทำอาชญากรรม อิงจากการกระทำที่ราวกับไม่ใช่อัศวินและสถานะของเขา แต่เหนือสิ่งอื่นใดด้วยความขี้ขลาดของเขาในการเผชิญหน้ากับความชั่วร้าย โรนิอัสปล่อยให้ความยุติธรรมในหัวใจนำพาเขา
“อัศวินศักดิ์สิทธิ์อาวุโส เวอร์เดล ข้าเสียใจที่ต้องแจ้งว่าท่านไม่ใช่ผู้บัญชาการอีกต่อไป เนื่องจากละทิ้งหน้าที่ นับแต่นี้ต่อไป ข้า อัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัส จะเป็นผู้นำการสำรวจครั้งนี้”
“อะไรนะ? เฮ้ นี่แกต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ! แกคิดว่าตัวเองสูงส่งแค่ไหนกัน? นั่นคือเหตุผลว่าทำไมแกถึงเป็นแค่อัศวินชั้นต่ำยังไงเล่า เข้าใจไหมวะ!”
“ท่านอัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัส ได้โปรดอย่าโกรธเกรี้ยวนักเลย การทะเลาะไม่ก่อให้เกิดสิ่งใดทั้งนั้น เรายังสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการพูดคุย”
นับประสาอะไรกับเวอร์เดล แม้แต่เด็กสาวผู้ที่เฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบๆ ยังพยายามจะเตือนโรนิอัสไม่ให้ทะเลาะกัน
นี่มันไม่ถูกต้อง
ด้วยเหตุผลนี้ มันยิ่งกว่าพอซะอีกที่จะจุดโทสะ และความยุติธรรมของโรนิอัสให้ลุกโชน
“หุบปากซะ เจ้าปีศาจ!”
โรนิอัสชักดาบออกมา และชี้ไปยังเด็กสาว
สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ความขัดแย้งระหว่างเวอร์เดลและโรนิอัสเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และปัญหาที่ใกล้จะจบไปก่อนหน้านี้ได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
“เฮ้! ทหาร! พวกแกต้องหยุดไอ้นี่นะเว้ย!”
“ขอโทษทีนะ ท่านเวอร์เดล พวกเราถูกจ้างโดยท่านอัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัส ดังนั้นต่อให้ท่านมีตำแหน่งสูงกว่าเขา พวกเราก็ไม่อาจรับคำสั่งท่านได้”
“บัดซบ!”
เวอร์เดลที่ไม่ชอบงานเอกสาร และการเจรจากับเหล่าทหารรับจ้าง ได้รับผลจากการกระทำที่ฝากทุกอย่างไว้กับโรนิอัส
ไม่มีใครเห็นด้วยกับเขาอีกต่อไป คนเดียวที่เห็นด้วยกับเขาคือหญิงสาวคนนั้น แต่ตอนนี้เธอเป็นผู้ต้องสงสัย ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถทำอะไรได้
“ข้าจะจัดการกับท่านทีหลัง ท่านเวอร์เดล แกก่อน! เจ้าสิ่งชั่วร้าย! และข้าจะสอบปากคำเจ้า เพื่อให้รู้ว่าทำไมเจ้าถึงมาอยู่ในป่าต้องสาปแห่งนี้! จับเธอซะ แล้วเราจะสอบสวนเธอในเมืองหลวงเพื่อให้สารภาพต่อหน้าพระเจ้า เฮ้ ทหารรับจ้าง! มัดมันซะ!”
หญิงสาวดูประหลาดใจ
เธอส่ายหัวอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าลำบากใจ และแสดงท่าทีปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม ท่าทีนั้นส่งไปไม่ถึงโรนิอัส ไม่สิ เขาคงไม่มีเจตนาฟังคำพูดของเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
กัปตันทหารรับจ้างมองไปยังโรนิอัสเพื่อยืนยันคำสั่งของเขา
พวกเขาชักดาบออกมาแล้ว และแต่ละคนก็อยู่ในท่าพร้อมต่อสู้
แม้ว่าเธอจะดูเหมือนเด็กสาวธรรมดาๆ แต่เป็นที่แน่ชัดว่าบรรยากาศที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาไม่ใช่มนุษย์แต่อย่างใด
หากเธอขัดขืน มันจะต้องกลายเป็นการต่อสู้อย่างแน่นอน
ทหารรับจ้างประมาณห้าสิบนาย ต่อสู้กับเด็กสาวเพียงคนเดียว ในเรื่องของพลังต่อสู้ พวกเขาเหนือกว่า
แต่เธอคือปีศาจ และพวกเขาไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“ข้าไม่สน! จัดการซะ! หากเธอขัดขืน เจ้าก็ใช้กำลังได้เลย แค่ระวังตัวไว้ด้วย!”
“เฮ้! หยุดนะ! อย่าลงมือกับคนไม่มีทางสู้สิโว้ย!”
เวอร์เดลตะโกน
แต่ไม่มีใครทำตามคำสั่งของชายคนนี้ เขาได้ถูกโรนิอัสยึดอำนาจไปแล้ว และคำพูดของเขาได้แต่ดังก้องไปในความว่างเปล่า
และจากนั้น…..
“เฮ้อ ไม่ได้ผลสินะ”
หญิงสาวเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ชิ! บ้าเอ๊ย!”
“เอ๊ะ!?”
โรนิอัสไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
เขาได้ยินเสียงอะไรกระทบ จากนั้นภาพก็ไหลย้อนกลับ
จนกระทั่งเขาเห็นท้องฟ้าสีคราม จึงรู้สึกตัวว่าตนเองล้มลง
“โรนิอัส! เป็นอะไรรึเปล่า?!”
“เอ๋ ไม่….แต่ อะไรกัน?”
“ไม่ต้องมา ‘อะไรกัน?’ เลยโว้ย! แกพูดเองไม่ใช่เรอะ! มันเป็น ‘ตัวตนชั่วร้าย’! แกรู้เรื่องที่ตัวเองพูดใช่มั้ย ไอ้โง่เอ๊ย! ทีนี้ลุกขึ้นมาได้แล้ว!”
พร้อมกับเสียงหึ่งๆ หนวดที่ดูน่าสะพรึงซึ่งบิดเบี้ยวอยู่ข้างบน ได้เข้ามาสู่สายตาของเขา
หนวดผิวลื่นๆที่มีปลายคล้ายหอก
มีรอยตัดอยู่บนผิวของมัน
ก่อนที่โรนิอัสจะรู้ตัว ปลายดาบของเวอร์เดลที่ถูกชักออกมา เปียกไปด้วยของเหลวสีม่วง
เวอร์เดลผลักโรนิอัสหลบการโจมตี และทำการป้องกันเขาที่ไม่รู้ตัว โรนิอัสรีบพยุงร่างตัวเองขึ้นมา พร้อมกับที่เข้าใจแล้วว่าเขาถูกช่วยชีวิตเอาไว้
ทุกๆอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี แต่ชีวิตมักจะคาดเดาอะไรไม่ได้เสมอ
หญิงสาวเบนสายตาลงไปยังพื้นดิน ถอนหายใจเสียงอีกครั้ง เงยหน้าขึ้น และจ้องมายังพวกเขา
“เฮ้! ทหารรับจ้าง! ใครก็ได้! ส่งข่าวกลับไปที่เมือง! –แม่มด! แม่มดปรากฏตัวออกมาแล้ว!”
“ขออภัยด้วย ท่านอัศวินศักดิ์สิทธิ์…….เธอมุ่งเป้าไปที่พลส่งสารของเรา”
เสียงของกัปตันดังมาจากด้านหลังพวกเขา และทันทีที่โรนิอัสหันกลับไป เขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พลส่งสารและม้าถูกทะลวงโดยหนวดที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน
ทหารรับจ้างนิรนามกระอักเลือดจำนวนมากออกจากปากขณะที่ไอและกระตุกไปมา ในที่สุด เขาก็ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยเสียงดังก้อง ขณะที่หนวดนั้นหดกลับลงไปในพื้น
ถ้าพวกเขาดูดีๆ จะพบว่าไม่ใช่แค่พลส่งสาร ม้าที่ใช้สำหรับเกวียนเองก็พบกับชะตากรรมเช่นเดียวกัน
ในภารกิจนี้ พวกเขานำม้ามาไม่มากนัก เพราะพวกเขาไม่ต้องการขนเสบียงมาเป็นจำนวนมาก
ดูเหมือนม้าที่พวกเขาเตรียมมาจะถูกกำจัดหมดแล้ว ทีนี้พวกเขาจะต้องส่งข่าวนี้ไปที่ศูนย์กลางด้วยตนเอง
แต่พวกเขาแน่ใจว่าหญิงสาวจะไม่ปล่อยให้พวกเขาหนีหรือถอยทัพไปแน่นอน
ที่จริงแล้ว หนวดพวกนั้นกำลังแกว่งไปมาอยู่ด้านหลังเธอ ราวกับว่ามันกำลังมองหาเหยื่อตัวใหม่
“ชิ! แม่นซะจริงนะ!”
“แกเห็นรึยัง นั่นใช่มอนสเตอร์ที่แกหาอยู่รึเปล่า? มันคือตัวตนชั่วร้ายยังไงล่ะ ความมืดมิดที่แกต้องการ ตัวตนแห่งความมืดที่เป็นส่วนนึงของพระเจ้า ได้ปรากฏขึ้นแล้ว”
“ทะ-ท่านเวอร์เดล”
“อย่ากลัวไป โรนิอัส พวกเราต้องจัดการมัน…เตรียมตัวเข้าปะทะ! อย่าลดการป้องกันลง! จงเสี่ยงชีวิตซะ!”
ด้วยคำพูดของเวอร์เดล ทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นในแววตาของทุกคน
ทุกๆคนเข้าใจดีว่า ถ้าพวกเขาไม่อาจผ่านสถานการณ์ตรงหน้านี้ไป คงไม่มีวันพรุ่งนี้เป็นแน่ ดังนั้นทุกคนจึงทำการตัดสินใจ
“ใช่แล้ว เจ้ากำลังจะได้เผชิญหน้ากับมัน เหล่าผู้ศรัทธา ชายผู้โง่เขลาที่ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ไม่อาจย้อนคืน ด้วยการสอบสวนที่ไร้ซึ่งความจำเป็น และความยุติธรรมในหัวใจ เจ้าจะเผชิญกับภัยพิบัตินี้อย่างไรรึ?”
เครื่องแต่งกายของเธอที่ทำจากลินินเริ่มละลาย
บรรยากาศรอบๆตัวหญิงสาวที่ราวกับกลุ่มก้อนของจิตมุ่งร้ายได้ทะลักออกมาจากร่างของเธอ เครื่องแต่งกายได้ก่อตัวเป็นรูปร่างอย่างรวดเร็ว
เสื้อคลุมสีดำที่เต็มไปด้วยความมืดมิด
ผมสีขี้เถ้าของเธอ และดวงตาที่น่าสะอิดสะเอียนราวกับนรกอเวจี
หนวดหลายเส้นผุดขึ้นมาด้านหลังของเธอ และกวัดแกว่งไปมา ราวกับกำลังไล่ตามเหยื่อของมัน
ดวงตาสีแดงสดจับจ้องมาที่พวกเขา จากนั้นเธอจึงกรีดร้อง
“เข้ามาเลย เหยื่อของข้า”
“พระองค์! โปรดมอบพลังให้แก่ลูก เพื่อฟาดฟันความชั่วร้าย!”
เวอร์เดลและโรนิอัส ร่ายปาฏิหาริย์ลงบนร่างของพวกเขาพร้อมๆกัน
เหล่าทหารรับจ้างขึ้นสายธนูและเล็งไปยังหญิงสาว
หญิงสาวเผยรอยยิ้มอันน่าหวาดหวั่นและทำการก้าวออกไป
อาโทวแห่งโคลนเลน ฮีโร่แห่งไมน็อกกราห์
ด้วยความไว้วางใจที่เต็มเปี่ยมของราชาแห่งความพินาศ เธอกำลังจะได้ปลดปล่อยความกราดเกรี้ยวของเธอเป็นครั้งแรกบนโลกใบนี้