Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ - ตอนที่ 28.5 [Side story] The decisions of the staff bearers
- Home
- Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~
- ตอนที่ 28.5 [Side story] The decisions of the staff bearers
โทนุคาโปลีกลับมายังเมืองเครสเซนท์มูน เมืองหลวงของฟอว์นคาเวน
เธอเรียกประชุมเหล่าผู้ครองคทาทันทีที่กลับมาถึงฟอว์นคาเวน เธออธิบายทุกอย่างให้พวกเขาฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่นิดเดียว
ตอนแรกเหล่าผู้ครองคทาคนอื่นต่างก็ตกตะลึง แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงส่วนของอิระ ทาคุโตะ ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ บรรยากาศกลายเป็นน่าอึดอัด มีเพียงแค่เสียงของโทนุคาโปลีดังออกมา
สีหน้าของทุกคนราวกับกลืนแมลงเข้าไป เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเต็มไปด้วยความขมขื่นและสับสน
จนในที่สุด เรื่องของโทนุคาโปลีก็มาถึงส่วนสุดท้าย ที่พวกเธอจับมือเป็นพันธมิตรกับไมน็อกกราห์ โทนุคาโปลีปล่อยเปเป้ไว้ที่เมืองมังกร และเธอกลับมายังเมืองหลวงเพื่อรายงานให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆทราบ
บรรยากาศไม่พึงประสงค์ตลบอบอวนไปทั่ว
เหล่าผู้อาวุโสต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเองเงียบๆ
ถึงแม้ว่าโทนุคาโปลีจะเตรียมรับมือกับคำบ่นและด่าทอแล้ว แต่ความเงียบนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
ในที่สุด ความเงียบที่ดูเหมือนจะคงอยู่ตลอดกาลก็ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อผู้ครองคทาเผ่ามนุษย์ได้กล่าวขึ้น
“ข้าไม่รู้จะพูดยังไงดี”
หลังจากที่เขาเอ่ยออกมา เหล่าผู้ครองคทาคนอื่นๆต่างก็พึมพำประโยคคล้ายๆกัน
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวก “แย่แล้วสิ” หรือไม่ก็ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
ต่อให้เป็นผู้ครองคทาที่อาวุโส และมีประสบการณ์มากที่สุด ก็ยังไม่สามารถตัดสินใจเรื่องสถานการณ์นี้ได้ในทันที
“ข้าไม่เคยคาดหวังอะไรกับเจ้าโง่เปเป้นั่นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เจ้า…รีบตัดสินใจเกินไป”
“หือ? รีบตัดสินใจเกินไปอย่างนั้นรึ? นี่ท่านเข้าใจสถานการณ์ของพวกเราหรือเปล่า? พวกเราไม่มีทางเลือกแล้วนะ ถ้าไม่ขอให้พวกเขาช่วย เมืองมังกรจะต้องล่มสลายในเร็วๆนี้แน่”
“อึก…”
บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขาต่างก็แก่กันแล้ว หรือไม่ก็มีสิ่งที่ต้องปกป้องมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม โทนุคาโปลีรู้ดีว่า ในฐานะผู้นำแล้ว พวกผู้ครองคทาเหล่านี้วิเคราะห์สถานการณ์ และตัดสินใจกันได้ช้าเกินไป
เธอวางแผนที่จะยกระดับตำแหน่งของตนเองขึ้นในที่แห่งนี้ทันที
โทนุคาโปลียังเข้าใจดีด้วยว่า ในสายตาของพวกเขาแล้ว การกระทำของเธอไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม เธอตัดสินใจทำแบบนี้เพื่อความอยู่รอดของบ้านเกิด และมั่นใจด้วยว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
เมื่อได้รับการตัดสินใจแล้ว สิ่งต่างๆก็จะเริ่มขับเคลื่อนไป
ถ้าเธอมัวแต่กังวลเรื่องรายละเอียดยิบย่อย เธอคงจะทำพลาดครั้งใหญ่ และทำให้อาณาจักรแห่งนี้ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่มากกว่าที่เป็นอยู่
“นี่เจ้าถูกล้างสมองมารึเปล่า? ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับพวกปีศาจพวกนี้จากท่านทวดที่ตายไปแล้ว”
ผู้ครองคทาเผ่าหมาป่าถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
แม้ว่าเขาจะอารมณ์ร้ายเหมือนพวกสัตว์กินเนื้อ แต่เขาก็ยังเป็นผู้ครองคทา ที่มีสัญชาตญาณเฉียบคม
โทนุคาโปลีฉีกยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ข้าไม่เห็นรู้สึกแบบนั้นเลยนะ และการจัดการประชุมนี้ขึ้นก็ถือว่าแสดงความจริงใจมากพอแล้ว พวกท่านคิดว่ายังไงล่ะ?”
“อยู่นิ่งๆสักครู่แล้วกัน”
ผู้ครองคทาเผ่าลิซาร์ดชูคทาของเขาขึ้นมาเงียบๆ
ที่ปลายคทาส่องแสงออกมาเล็กน้อย และในขณะเดียว โทนุคาโปลีก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรมาปกคลุมร่างของเธอ และกลิ่นสาปของสัตว์ก็ลอยออกมา
ว่ากันว่าสัตว์กินเนื้อขนาดเล็กที่มีประสาทสัมผัสดีเยี่ยมสามารถตรวจจับกลิ่นอายของศัตรูได้ เวทมนตร์ตรวจจับนี้ก็เป็นการยืมหลังจากบรรพบุรุษเช่นกัน
“…………”
สายตาทุกคู่มองไปยังผู้ครองคทาเผ่าลิซาร์ด
แม้แต่โทนุคาโปลีเองก็ยังกลัวว่าสิ่งที่พวกเขาคิดจะเป็นจริง และรอคอยคำตอบของเขาอยู่เช่นกัน
ผู้ครองคทาเผ่าลิซาร์ดสำรวจโทนุคาโปลีอย่างระมัดระวัง
ฟอว์นคาเวนเชื่อในจิตวิญญาณแห่งผืนดินและธรรมชาติ
ผู้ครองคทาระดับสูงในประวัติศาสตร์ของพวกเขาเองก็ใช้เวทมนตร์นี้
ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงถ้าจะบอกว่ามันคือเวทมนตร์ตรวจจับระดับสูงสุดที่พวกเขาใช้ได้แล้ว
“ข้าจับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย หรือไม่ก็ มันเป็นเวทย์ที่ซับซ้อนเกินกว่าที่พวกเราจะตรวจพบ…”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนต่างก็รู้สึกโล่งอก
ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าโทนุคาโปลีโดนควบคุมจริงๆล่ะก็ ทั้งเมืองมังกรและเปเป้ที่อยู่ที่นั่นคงจะหมดหวังแล้ว
ทุกคนตรงนี้ต่างรู้สึกโล่งอกที่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไม่ได้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากอยู่ดี ความจริงที่ว่าโทนุคาโปลีไม่ได้โดนควบคุมยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นไปอีก
“คงจะรับมือได้ง่ายกว่านี้ถ้าพวกนั้นพยายามควบคุมพวกเรา ราชาแห่งความพินาศอยากร่วมมือกับพวกเราเนี่ยนะ ข้ารู้สึกเวียนหัวชะมัด ไม่รู้จะรับมือยังไงเลย”
“ราชาแห่งความพินาศ….ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง มันต้องน่ากลัวมากแน่ๆ”
ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยยกมือกอดอกและเหม่อมองไปบนเพดาน
ในโลกใบนี้มีตัวตนเหนือธรรมชาติอยู่มากมาย
พวกเขาไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาให้พบเห็นบ่อยนัก แต่เมื่อพวกเขาแสดงตัวขึ้นมา มักจะทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในความปั่นป่วน
ดังนั้น เหล่าผู้ครองคทาจึงไม่สงสัยเกี่ยวกับตัวตนพวกนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อโทนุคาโปลีบอกพวกเขาเกี่ยวกับราชาแห่งความพินาศ พวกเขาไม่อาจจินตนาการ หรือคาดเดาการกระทำของเขาได้เลย
“เมื่อเจ้าได้เห็นมัน คงยืนไม่อยู่เป็นแน่ คนแก่ๆอย่างพวกท่านจะตกใจจนตายเอาน่ะสิ!”
“ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกแย่จังนะ”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดี? การเจรจามาถึงขั้นนี้กันแล้ว คงจะกลับคำไม่ได้หรอกนะ”
ผู้ครองคทาเผ่าหมาป่าดึงบทสนทนากลับมาที่ประเด็นหลัก
ไม่มีใครคิดว่าโทนุคาโปลีต้องรับผิดชอบการกระทำนี้
คงเป็นการโกหก ถ้าจะบอกว่าพวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันยังมีความเห็นอกเห็นใจกันในหมู่ผู้ครองคทาอยู่ เพราะพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจยังไง หากตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันนี้
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีเวลามาเถียงเรื่องนี้กัน คนที่เป็นผู้นำจะต้องแยกความรู้สึกส่วนตัวเอาไว้ก่อน
“ถ้าพวกเราไม่ไว้ใจพวกไมน็อกกราห์ เราก็ยังสามารถบอกเรื่องนี้ให้ควอเลียรู้ และขอความช่วยเหลือจากพวกนั้นได้อยู่”
“โฮ่ยโฮ่ย ต่อจากไมน็อกกราห์ก็ควอเลียอย่างนั้นรึ นี่เจ้าอยากจะถูกพวกนั้นจูงจมูกสักกี่ครั้งกันถึงจะพอใจน่ะ ฮึ?”
พร้อมๆกับที่หัวเราะออกมา ผู้ครองคทาสัตว์ร้ายตอบกลับโทนุคาโปลีด้วยมุขตลก
“การที่เหล่าอมนุษย์จะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้มนุษย์ได้มีแต่ต้องทำตามกฎเทพของพวกมันเท่านั้น”
“พวกผู้เผยแผ่คำสอนที่หยิ่งยโสของควอเลียพวกนั้นอย่าบังอาจ สะเออะมาเรียกพวกเราว่าเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนเชียว เจ้าควรจะสรรเสริญข้าซะนะ ที่ยังไม่ฉีกกระชากคอหอยของพวกนักบวชที่เน่าเฟะพวกนั้นน่ะ”
“ถ้าเราไม่หยุดเจ้าเอาไว้ล่ะ เจ้าจะกินพวกนั้นให้หมดเลยรึ? นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมถึงถูกเรียกว่าเป็นพวกป่าเถื่อนไงล่ะ”
“ฮึ! ถึงบรรพบุรุษของข้าจะเป็นสัตว์กินเนื้อ แต่พวกเราก็ไม่กินเนื้อเน่าๆแบบนั้นหรอก!”
ขณะที่มองดูผู้ครองคทาทั้งสองกัดกันไปมา ผู้ครองคทาที่เป็นกลางก็ถอนหายใจออกมา
เป็นที่รู้กันดีว่าควอเลียนั้นเป็นพวกที่เลือกปฏิบัติกับเผ่าอื่นๆที่ไม่ใช่มนุษย์และเอลฟ์
พวกเขาไม่คิดว่ามันเป็นการเลือกปฏิบัติซะด้วยซ้ำไป
พวกเขาเชื่อจากใจจริงเลยว่า พวกอมนุษย์เป็นเผ่าที่น่าสงสารและโง่เขลา ซึ่งควรได้รับกาารช่วยเหลือ
แล้วแบบนี้จะจับมือเป็นพันธมิตรกันอย่างเท่าเทียมได้ยังไง?
ฟอว์นคาเวนรู้สึกได้เลยว่าพวกเขาจะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน ไม่สิ คนทั้งฟอว์นคาเวนเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
“ท่านไม่เข้าใจเรื่องนี้งั้นหรอ? มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ท่านมองเห็นอนาคตอันสดใสเมื่อพวกเราร่วมมือกับควอเลียไหมล่ะ? พวกนั้นมีแต่จะปฏิบัติกับพวกเราเหมือนปศุสัตว์ และใช้ประโยชน์จากพวกเราเท่านั้นแหละ”
“นั่นก็จริง”
“ใช่ ใช่”
สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาทำได้
มีเพียงการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลเท่านั้น ที่จะสามารถมองเห็นประโยชน์จากการร่วมมือกันระหว่างไมน็อกกราห์ได้
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
ถ้าพวกเขาคิดให้ดีๆ การยอมรับความร่วมมือกับไมน็อกกราห์มีแต่จะได้ประโยชน์
อีกอย่าง เปเป้เองก็คิดว่านั้นคือความคิดที่ดี
ถ้าแยกอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวออกไป ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่านี่เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลมากที่สุดแล้ว
“เอาล่ะๆ เลือกพูดเรื่องควอเลียกันก่อน มาคุยเรื่องไมน็อกกราห์กัน การได้พวกเขามาช่วยคงจะดีไม่น้อยเลย”
ในที่สุดการประชุมก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง
พวกเขาทั้งหมดยอมรับความคิดในการร่วมมือกับไมน็อกกราห์
ภายใต้สถานการณ์ปกติ มันคงจะซับซ้อนมากกว่านี้ เรื่องที่โทนุคาโปลีเล่าออกมามันน่าตกตะลึงเกินไป
แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ความเชื่อแปลกๆได้ก่อตัวขึ้นในใจของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่ามันจะต้องออกมาดี
จนท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าได้เกิดปรากฏการณ์แปลกๆขึ้นรอบๆตัว
………..
……
…
“ข้าจะสรุปให้นะ”
ผู้ครองคทาที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางปรบมือของเขา
การประชุมนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็สรุปข้อตกลงระหว่างไมน็อกกราห์และฟอว์นคาเวนได้
ในอนาคต ผู้ครองคทาคนอื่นๆอาจจะเข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจาต่อรองกับไมน็อกกราห์ แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต
ปัจจุบันพวกเขายังคงยุ่งอยู่กับการป้องกันเมือง
แต่มันก็ยังมีความหวังในเรื่องนี้ ถ้าพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากไมน็อกกราห์ในการคุ้มกันเมืองมังกร พวกเขาก็สามารถหันมาจดจ่อกับการป้องกันฟอว์นคาเวน และสามารถเริ่มมาตรการโต้กลับได้
อีกอย่าง พวกเขายังมีหลุมชีพจรมังกรอยู่
แม้จะน่าหดหู่ที่ไมน็อกกราห์ค้นพบเรื่องนี้ แต่มันก็ยังมีประโยชน์
ดูเหมือนไมน็อกกราห์จะรู้วิธีดึงเอามานาจำนวนมหาศาลของหลุมชีพจรมังกรออกมาใช้งาน
ถ้าเป็นแบบนั้น มันจะกลายเป็นไพ่ตายอันทรงพลังของทั้งสองอาณาจักรเมื่อเตรียมการเสร็จ
สาเหตุที่พวกคนเถื่อนแตกฮือยังไม่เป็นที่ล่วงรู้ แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถตรวจสอบต้นตอ และเตรียมมาตรการรับมือได้แล้ว
สิ่งเดียวที่น่ากังวลก็คือ เจตนาที่แท้จริงของไมน็อกกราห์คืออะไรกันแน่?
“สุดท้ายแล้วพวกเราทำได้แค่ไหลตามน้ำไปสินะ”
“ข้าเป็นห่วงเปเป้ เขาจะเป็นอะไรรึเปล่านะ?”
“ข้ากลัวว่าเจ้าเด็กนั่นจะป่วนคนอื่นไปทั่วซะมากกว่า…”
“แต่ข้ามั่นใจว่าเปเป้จะต้องไม่เป็นอะไรแน่”
โดยไม่ทันรู้ตัว พวกเขาก็เอาแต่คุยกันเรื่องเปเป้ซะแล้ว
ผู้สืบทอดที่พวกเขาภาคภูมิใจ เปเป้คือว่าที่ผู้นำของพวกเขาในอนาคต
ถ้าเป็นเปเป้ เขาน่าจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ด้วยความโง่เขลา และการที่อ่านสถานการณ์ไม่ออกตามปกตินั่นแหละ
นั่นคือสิ่งที่ทุกคนซึ่งอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเห็นพ้องต้องกัน…
………
……
…
“ยังไงก็เถอะ โทนุคาโปลี”
“หืม? ว่ายังไงรึ?”
“ผิวพรรณของเจ้าดูเปล่งปลั่งขึ้นนะ พวกเขาเอาอาหารดีๆให้เจ้ากินงั้นหรือ?”
“เอ่อ…”
โทนุคาโปลีกลัวว่าเธอจะโดนสอบปากคำเรื่องอาหารการกินตอนอยู่ที่ไมน็อกกราห์
ระหว่างการประชุม เธอพยายามเบนความสนใจของพวกเขาด้วยการทำหน้าเคร่งขรึมตั้งแต่เริ่มจนจบ
แต่เธอก็ยังไม่สามารถปิดบังมัน จากสายตาของทหารผ่านศึกผู้มากประสบการณ์ไปได้
//แปลไว้นานแล้วแต่ลืมลง เลยเอามาเกลาคำใหม่
เห็นมังงะโดน LC ไปแล้ว นิยายจะโดนไหมหว่า ถ้าโดนก็กระซิบบอกกันได้ที่นี่ เด้อ