Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ - ตอนที่ 3 Dark Elf
หัวหน้าของดาร์คเอล์ฟ ไกอา-นากีฟ-มาซาราม กำลังเดินไปบนเส้นทางที่ไร้ร่องรอยอย่างช้าๆ
เขา ผู้ที่ถูกอาณาจักรรอบข้าง เรียกว่าเป็นดั่งเหล็กกล้า ตอนนี้กลับผอมซูบ จนบอกได้เลยว่าแม้แต่เด็กก็ยังดูแข็งแรงกว่า ผู้ติดตามของเขาเองก็ไม่แตกต่างกันนัก
ในป่าลึกอันมืดมนที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดและความหนาวเหน็บที่ไร้ซึ่งชีวิต
“อย่างที่คิดไว้ ไม่มีอะไรเลย…”
“ท่านไกอาขอรับ บางทีเราอาจจะไม่ควรเข้ามาในดินแดนต้องสาป….”
ไกอาสั่นศรีษะตอบกลับคำแนะนำที่พวกเขาพร่ำบอกมาหลายครั้ง
เขาอยากจะบอกเหลือเกินว่า อย่าบังคับให้เขาพูดคำเดิมซ้ำๆ แต่เขาเข้าใจความรู้สึกของลูกน้องดี และเขาเองก็เห็นด้วย
แต่ด้วยสถานการณ์รอบๆตัวพวกเขานั้น มันเป็นไปไม่ได้
“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราออกจากไปที่นี่ตอนนี้? พวกเราไม่มีที่ไปแล้ว และข้าเองก็ไม่คิดว่าจะเดินทางไปกับเด็กๆได้ด้วยพืชผักเพียงเท่านี้ ในนี้จะต้องมีอาหารอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพื่อประโยชน์ของทุกๆคน มาทำให้เต็มที่กันเถอะ”
รอยยิ้มของเขานั้นไม่เคยน่าดู
อย่างไรก็ตาม ลูกน้องเขาทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบกลับไป
“แต่เราเข้ามาในป่าผีสิงนี่พอสมควรแล้ว อย่างที่คิด นี่มันเริ่มน่าขนลุกขึ้นเรื่อยๆ”
การสำรวจเชิงลึกนี้ อาจจะทำให้พวกเขากดดัน
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมีแรง แต่ไกอาก็ยังเปิดปากออกมา
เขาคงจะเป็นบ้า ถ้าไม่พูดอะไรสักคำ
ความเงียบ และป่าลึกเป็นหนึ่งในเหตุผลนั้น
“สุดขอบทางใต้ของทวีป ไฮดราเกีย เป็นป่าต้องสาป ในหนังสือโบราณกล่าวว่า ในดินแดนนั้นถูกปิดผนึกด้วยบางสิ่งที่ชั่วร้าย บางสิ่งที่จะไม่ยินยอมให้ชีวิต….”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นมันแค่ความเชื่องมงายเท่านั้นแหละ แล้วยังไงล่ะ ทำไมต้นไม้พวกนี้ถึงได้หนาแบบนี้ แค่เดินไปไม่กี่ก้าว สุดสายตาที่เจ้าเห็นก็มีแต่ต้นไม้ นี่มันไม่ใช่สัญญาณที่บ่งบอกว่าที่นี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตรึ”
คนที่บอกเรื่องเล่าที่น่ากลัวพวกนี้ให้พวกเขาฟังก็คือผู้ช่วยของไกอา ในหมู่พวกเขา เธอคือคนที่เข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดของตำนาน เรื่องเล่ามากที่สุด
ในยุคทองของเธอ เธอเป็นคนที่หลงใหลในการอ่านมาก รายได้ทั้งหมดของเธอถูกใช้ไปกับหนังสือ ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อเธอ
แต่ไกอาตัดสินใจที่จะหัวเราะให้กับคำพูดนั้น
ทุกคนภาวนาให้ความกังวลของเธอไม่เป็นจริง ในฐานะหัวหน้านักรบ เขาไม่สามารถบ่นเรื่องนี้ได้
“อย่ายอมแพ้ ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด จิตวิญญาณอันสูงส่งและเหล่าบรรพบุรุษของเรา จะชี้ทางพวกเราให้ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”
ไกอาได้รับความเคารพอย่างสูง ในฐานะหัวหน้านักรบ ไม่ใช่เพราะความสามารถของเขาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะความแข็งแกร่งของจิตใจเขาด้วย
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเป็นหัวหน้านักรบของเผ่า
ถึงแม้ว่าเผ่าของพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะติดตามไกอา
เมื่อลูกน้องของเขา ได้รับกำลังใจจากคำพูดอันทรงพลังของไกอา พวกเขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีพลัง
ข้ามผ่านความมืดมิดที่พวกเขาเคยพบเจอ
เชื่อว่าเขาจะเป็นผู้เบิกทาง และช่วยพวกเขาจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี่
และ–
โลกได้เปิดกว้างขึ้น
บางทีพวกเขาอาจจะคาดหวังถึงปาฏิหาริย์บางอย่าง
สถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ ทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาคาดหวังถึงบางสิ่งที่ต่างออกไป
บางทีอาจจะเป็นนักปราชญ์ผู้ที่อาศัยอยู่ในความมืดมิด บางทีอาจจะมีพืชมากมายที่พวกเขาสามารถกินได้ บางทีอาจจะมีสัตว์ป่ามากมาย หรือบางที พระเจ้าอาจจะช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของพวกเขาได้บ้าง
แต่ความหวังทั้งหมดก็ได้พังทลาย
ที่นั่นมีเพียงแค่ซากปรักหักพัง
(ทุกอย่างมันสูญเปล่า…..!)
เมื่อเขาเห็นสายตานั้น ความเสียใจก็แล่นผ่านร่างกายของไกอา
ในแวบแรก สายตาลึกลับนั้นอาจจะสื่อความหมายอะไรบางอย่าง แต่การดำรงอยู่ของ ‘สิ่งนั้น’ นั่นแหละคือปัญหา
อย่างแรกเลยก็คือ เด็กสาวผู้ยืนอยู่ข้างแท่นหิน ที่กำลังมองมาทางนี้
ผมของเธอเป็นสีเทา และสวมเสื้อคลุมที่มีขลิบโค้ง
แต่เด็กสาวนั้นไม่ใช่ปัญหา
สิ่งที่เป็นปัญหาคืออีกคนหนึ่ง
ไม่สิ ไกอาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า สามารถเรียก ‘สิ่งนั้น’ ว่าคนได้หรือไม่
การดำรงอยู่ของมันปลดปล่อยบรรยากาศที่ดูไม่สมจริง เหมือนกับว่าออกมาจากหนังสือโบราณที่ผู้ช่วยของเขาได้กล่าวถึง
มันมีรูปร่างเหมือนคน อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจทราบได้
เหมือนกับว่าโลกใบนี้ปฏิเสธมัน ผู้ที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด เปรียบเสมือนดั่งศูนย์รวมความชั่วร้ายที่ถูกเล่าขานกันมาหลายชั่วอายุคน
ราวกับว่ากฏของโลกใบนี้ผิดพลาด การทำลายล้างได้เริ่มขึ้น และโลกกำลังพังทลาย
ตัวตนของมันทำให้เขารู้สึกแบบนั้น
(ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่สัญชาตญาณข้ากำลังร้องเตือนไม่หยุด นี่มันแย่มาก)
เด็กสาวยังคงจ้องมองไปยังไกอา และบางทีเจ้าตัวตนชั่วร้ายก็กำลังจ้องมองมาเช่นกัน
ลูกน้องของเขาทุกคนแทบหยุดหายใจ
จากนั้นเขาจึงตระหนักได้ว่า การกระทำที่โง่เขลาของเขา อาจจะส่งผลต่อชะตากรรมของเผ่า ดังนั้นเขาจะต้องเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง
“ขะ-ข้า คือดาร์คเอล์ฟ หัวหน้านักรบแห่งเผ่า มาซาราม ไกอา นากีฟ! ข้าเข้าใจว่าท่านคือตัวตนอันสูงส่ง! ก่อนอื่น ข้าอยากขออภัยที่เข้ามาในป่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาต!”
เขาคุกเข่าและก้มหัวลง พยายามจะไม่ทำให้อีกฝ่ายโกรธ
ถึงแม้ว่าในความหมายของมนุษย์นี่คือท่าโดเกสะ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความหมายของเขาหรือไม่
เขาดีใจที่ลูกน้องของเขาทำตามทันที เมื่อได้เห็นการกระทำของเขา
ไกอารอคอยคำตอบ อย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณของเขาเรียกร้องให้แสดงความเคารพอย่างถึงที่สุด
“….หืมม ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจความหมายของการเข้ามาในพื้นที่นี้ดีนะ ดาร์คเอล์ฟ ทำไมพวกเจ้าถึงทำลายข้อห้ามนั้น?”
อีกฝ่ายใช้เวลาคิดเพียงไม่กี่วินาที
ไกอาและคนอื่นๆยังกังวลอยู่ แต่พวกเขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายเข้าใจคำพูดของเขา
อย่างน้อยเจตนารมณ์ของพวกเขาก็ส่งไปถึง
“พวกเราคือ มาซาราม เผ่าของดาร์คเอล์ฟ ที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่ภายในดินแดนแห่งเอล์ฟที่อยู่ใจกลางทวีปไฮดราเกีย
อย่างไรก็ตาม อดีตผู้นำสูงสุดของเอล์ฟ ได้ตัดสินใจสร้างสภา สภาแห่งเททราลูเซีย….”
“เล่ามาสั้นๆก็พอ”
“พวกข้าถูกขับไล่ออกจากดินแดน และไม่มีที่ไป จนกระทั่งมาถึงป่านี้…. ”
ไกอาเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว เพราะเขารู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดของเด็กสาว มันคือความผิดพลาดที่พยายามจะอธิบายสถานการณ์ของพวกเขา
แม้จะเป็นแค่ความผิดพลาดเล็กน้อย แต่ชีวิตของพวกเขาอยู่ในมือของอีกฝ่าย เขาคอยย้ำเตือนตัวเองถึงเรื่องนั้น
ข้าควรจะทำยังไง จะพูดอะไรออกไปดี? หรือพวกเราควรจะรอให้เขาพูดก่อน?
ความคิดของเขาหมุนเคว้ง และหัวใจของเขาก็เต้นแรงเสียจนทำให้เขารู้สึกเจ็บ
การปรากฏตัวที่ทำให้ลมหายใจขาดห้วง และเหงื่อตก ความมืดมิดดั่งป่าลึก และความชั่วร้ายที่เอ่อล้นออกมา
ไกอาที่มิอาจทนไหว เกือบจะเอ่ยปากร้องขอความเมตตา แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำมัน….
“แย่เลยสินะ”
สิ่งนั้น ที่นั่งอยู่บนแท่นหินได้เอ่ยออกมา
ความรู้สึกน่าขนลุกได้แล่นขึ้นมาตามสันหลังของไกอา
ถึงแม้ว่าร่างกายพวกเขาจะสั่นเทา เหงื่อตกด้วยความไม่สบายใจ แต่พวกเขาก็ยังตระหนักได้ว่าเสียงที่ออกมานั้นเหมือนกับเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอารมณ์อยู่ในน้ำเสียงนั้น และในทางตรงกันข้ามเขาไม่รู้สึกถึงเจตจำนง หรือจิตวิญญาณในนั้นด้วยซ้ำ
กระทั่งคนตายในนรกยังมีน้ำเสียงที่น่าฟังกว่า
มันแปลก แปลกพอที่จะทำให้เขาคิดแบบนั้น
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมปฏิกิริยาของเขาถึงได้ช้าลง และหยุดคิดโดยไม่รู้ตัว
“ราชาของข้ากำลังถามอยู่”
น้ำเสียงของเด็กสาวเต็มไปด้วยความโกรธ
“พวกเราหนีจากการไล่ล่าจนมาถึงที่นี่!! อาหารของเราหมดลงระหว่างทาง และข้าไม่สามารถหาอาหารให้กับเหล่าผู้ติดตามได้…. ข้าเอง ก็ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว”
ไกอารู้สึกหวั่นใจที่เขาได้เมินเฉยต่อคำถามจากเจ้านายของเด็กสาวคนนั้น เขาได้อธิบายด้วยเสียงคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร
“หืมม”
เห็นได้ชัดว่าตัวตนนั้นเชื่อคำอธิบายของไกอา
นั่นคือการยืนยัน เมื่อเด็กสาวได้พยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ
เขาสามารถข้ามแผ่นน้ำแข็งมาได้แล้ว
แต่แน่นอน ว่านี่ยังไม่จบ
(ทำไมกัน! ทำไมพวกเราต้องมาพบกับอะไรแบบนี้! พวกเราทำอะไรลงไปกัน!? ข้าแค่ต้องการสถานที่ ที่ที่พวกเราจะได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข!)
มันไม่ได้ผิดอะไร แต่เป็นเพราะเขาได้เข้ามาในป่านี้ เขาจึงต้องก้มห้วและร้องขอความเมตตาอย่างสิ้นหวัง
จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา? มันไม่สำคัญหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ที่สำคัญกว่านั้นคือ จะเกิดอะไรขึ้นกับเหล่าผู้ติดตามและผู้คนในเผ่ากัน?
นี่อาจจะเป็นชะตากรรมที่ผู้คนในเผ่าของเขา ถูกครอบงำและเล่นงานโดยตัวตนที่ชั่วร้ายนี้
ขณะที่สั่นกลัวกับความคิดที่เลวร้ายที่สุด หัวใจของไกอาเต็มไปด้วยความโกรธและโศกเศร้า
(ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของพวกเรา นี่มันเป็นบาปงั้นรึ?)
และ
ขลุก ขลุก ขลุก — บางอย่างกลิ้งมาอยู่ตรงหน้าเขา
ร่างของเขาสั่นเทา เพราะนึกว่านั่นอาจจะเป็นเสียงหัวของตนเองที่แยกออกมาจากร่าง
ใครจะตำหนิไกอาที่กลัวจนหลับตาปี๋ได้ลง?
ชั่วขณะนั้น ไม่มีนักรบแห่งเผ่ามาซารามอีกต่อไป เขา ผู้ที่ถูกเกรงกลัวในฐานะวีรบุรุษ ตอนนี้เป็นเพียงแค่ชายคนหนึ่งที่ตัวสั่นด้วยความกลัวเท่านั้น
แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา
ส่วนคอยังอยู่ดี นั้นหมายความว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ยิ่งกว่านั้น กลิ่นหอมหวานได้โชยมาแตะที่จมูกของเขา
เบื้องหน้าเขา มีผลไม้สดใหม่สีแดงกลิ้งอยู่บนพื้น
“นะ-นี่คือ?”
“ฉันให้นาย”
ตัวตนนั้นตอบมาเพียงสั้นๆ
อึก…..ไกอากลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว
ผลไม้ที่มีรูปทรงแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ถ้าให้พูดถึงผลไม้ที่พวกเขารู้จัก พวกมันทั้งเล็กและแข็ง มันอาจจะมีความหวานอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีรสขมมากกว่า
ในบางพื้นที่ ผู้คนสามารถกินผลไม้ดิบๆได้ แต่ในขั้นต้นแล้ว พวกเขาจะกินมันหลังจากปรุงนิดหน่อยแล้ว
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขามันต่างออกไป
กลิ่นหอมอ่อน ๆ แสดงให้เห็นถึงความหวาน รูปร่างของมันเป็นสีแดงสดและน่าดึงดูดราวกับว่ามันบอกให้เขารีบกินมันให้เร็วที่สุด
เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมา ก็พบว่ามีน้ำหนักค่อนข้างมาก และมวลภายในแน่นหนา ไม่มีช่องว่าง
ดูราวกับว่าเป็นสิ่งที่มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่กินได้ ไม่สิ พวกเขาแค่ไม่เคยกินมันมาก่อน–ผลไม้ที่เหมือนดั่งอัญมณี
“รู้ไหมว่าปลอกเป็นกระต่ายก็ได้นะ”
เขาเข้าใจคำพูดของตัวตนนั้นไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
เขารู้เพียงแค่ว่าผลไม้นี้มีชื่อว่า แอปเปิ้ล และมันสามารถกินได้
“แอปเปิ้ล? ไม่ มันไม่เหมือนกับผลไม้ใดที่ข้ารู้จัก….”
ตัวตนนั้นกล่าว “ฉันจะให้นาย”
ถึงเขาอาจจะรับมันไว้ แต่ไกอายังสับสนว่าเขาจะสามารถกินมันได้หรือไม่
เขากังวลว่าการกินในสถานที่นี้อาจจะเป็นการเสียมารยาท
เพิ่มเติมก็คือ เขาคิดถึงเหล่าผู้คนที่หิวโหย ที่แคมป์ รอคอยพวกเขาให้หาอาหารกลับไป
“อร่อยมากกก!!!”
“นี่มันหวานมาก!! แถมยังชุ่มฉ่ำสุดๆ”
หลังจากได้ยินประโยคนั้น ไกอาตระหนักได้ว่าคนของเขากินผลไม้นั่นก่อนที่เขาจะตัดสินใจซะอีก
แต่ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจยังไง เขาก็ไม่สามารถหยุดความหิวโหยของผู้คนได้
เขามองไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว เพื่อดูว่าพวกเขาทำอะไรอยู่ พวกเขากัดผลไม้ที่ถูกมอบให้ ผลไม้ที่มีกลิ่นหอมหวานและเต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำ
เขากลืนน้ำลาย ในใจเขาอยากจะทำเช่นเดียวกัน แต่มันมีอย่างอื่นที่เขาทำได้อีก
ทันใดนั้น เขาก็จ้องไปยังตัวตนนั้น
โชคดีที่เขาเห็นตัวตนนั้นพยักหน้า บางทีการกระทำของลูกน้องเขาอาจจะไม่เสียมารยาท แต่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ในขณะที่ความรู้สึกโล่งใจพุ่งขึ้นมา ไกอาคิดว่าเขาควรจะต้องเตือนลูกน้องที่กินผลไม้อย่างน่าเกลียดให้สุภาพกว่านี้หรือไม่
แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ ในเมื่อเบื้องหน้าเขาคือภาพที่ลูกน้องของเขากำลังเคี้ยวผลไม้ทั้งน้ำตา
ไกอาเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานและหิวโหยของพวกเขายิ่งกว่าใครทั้งนั้น
“มีลูกแพร์ด้วยนะ”
ขลุก ขลุก—บางสิ่งกลิ้งมาข้างหน้าเขา
คราวนี้ มันเป็นผลไม้สีเขียว
มันคือลูกแพร์ที่เขาไม่รู้จักอีกเช่นกัน
ดูเผินๆแล้ว สีเขียวนั่นอาจจะหมายความว่ามันยังไม่สุก แต่มันก็มีกลิ่นหอมหวานที่แตกต่างไปจากแอปเปิ้ล ทำให้ในหัวของไกอามีคำถามเพิ่มขึ้นมาอีก
แน่นอนว่าสิ่งนี้เองก็อร่อยพอๆกัน
เขาหยิบขึ้นมา และมองมันอย่างคลุมเครือ
ถึงแม้ว่านายท่านจะใจดีซะจนช่วยหมอนี่ก็ตามเถอะ แต่เขามัวทำอะไรอยู่?
เด็กสาวแสดงออกว่าไม่อยากจะเชื่อ และไม่ค่อยสบายใจ
เขาไม่รู้ว่าตัวตนอันชั่วร้ายนั่นคิดอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนเด็กสาวนั้นสามารถรู้ถึงความคิดของตัวตนนั้นได้ในระดับหนึ่ง
จากข้อเท็จจริงนั้น ไกอาถ่ายทอดความคิดของเขาให้เด็กสาวและเจ้านายของเธอฟัง
“ยังมีผู้คนอีกมากที่อพยพมาที่นี่ ในกลุ่มของพวกเขามีทั้งเด็กเล็ก…. เหล่าเด็กๆของพวกเรากำลังหิวโหย พวกเขาไม่ได้กินอาหารมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว ข้าอยากจะนำผลไม้นี่ไปให้เด็กๆ ได้โปรด….”
เขารู้สึกได้ถึงรสชาติของเหล็กในปาก มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากเขาโดยไม่รู้ตัว
ความรู้สึกไร้ค่าและทรมานได้สะสมมากเสียจนเขากัดปากตัวเองโดยไม่ทันรู้ตัว
เสียงเคี้ยวผลไ้มได้หายไปจากลูกน้องของเขา บางทีคำพูดของไกอาทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงภารกิจของตัวเอง
เหล่าพวกพ้องของเขากำลังต่อสู้กับความหิวโหยอยู่
หลายๆคนไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งลุกขึ้นยืน และมีเพียงเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะทำได้
แต่นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา
เขารู้ดีว่าเด็กสาวไม่ได้สนใจสถานการณ์ของพวกเขา
ไกอาก้มหัวลงต่ำ นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาทำได้
จะต้องนำอาหารกลับไปให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ตอนนี้ ตัวตนชั่วร้ายอันน่ารังเกียจที่เคยปรากฏอยู่ในตำนาน ผู้ซึ่งทำลายทุกสรรพสิ่ง กำลังอยู่เบื้องหน้าเขา
แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า เขาถ่ายทอดความในใจและจิตวิญญาณออกไป มุ่งมั่นที่จะทำจุดประสงค์ของเขา แม้ว่าจะต้องตายก็ตาม
และในที่สุดความปรารถนาของเขาก็ส่งไปถึง
“น่าสงสารจังเลยนะ”
ตัวตนนั้นกล่าว
“ดะ- เดี๋ยวก่อนค่ะ ท่านทาคุโตะ!?”
เด็กสาวที่ได้ยินประโยคนั้น พุ่งเข้าไปหาเจ้านายของเธอ และกระซิบบางด้วยความตื่นตระหนก
ตัวตนอันดำมืดนั้นไม่สนใจ
จากนั้น ไกอาได้ยินเสียงของบางอย่างตกลงมายังพื้นอย่างต่อเนื่อง
ไกอาอ้าปากค้างให้กับปาฏิหาริย์ตรงหน้า
มันมีทั้งผลไม้ที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ มันฝรั่งขนาดยักษ์ และรวงข้าวสาลี
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น มันยังมีขนมปังที่นุ่มซะจนเปลี่ยนรูปเมื่อตกลงมา
อย่างสุดท้ายเป็นพวกถั่วและพืชผัก พริกและเกลือ
อาหารซึ่งกลายเป็นภูเขาปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า โดยมีจุดศูนย์กลางคือตัวตนนั้น
“ฉันให้”
จากที่เข้าใจในประโยคนั้น ไกอาถึงกับมึนงง และไม่สามารถซ่อนน้ำตาที่ไหลออกมาดั่งน้ำตกได้
นี่คือความสงสาร
ตัวตนนั้นรับรู้ถึงสถานการณ์ของพวกเขา และกล่าว “น่าสงสาร…”
จากนั้นจึงสร้างอาหารกองเป็นภูเขา เพื่อช่วยเหลือเขาและเหล่าพวกพ้อง
พวกเขาได้รับความช่วยเหลือมากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าตัวตนนั้นจะยังไม่ได้ทำอะไรกับเผ่าของพวกเขาเลยก็ตาม
ดาร์คเอล์ฟคือสิ่งมีชีวิตที่หลบหนีจากแสง ได้รับอนุญาตให้อยู่รอดได้ด้วยความเมตตาจากเอล์ฟแห่งแสง
ด้วยวิธีนี้ ทำให้พวกเขาถูกเหยียดหยาม และอาศัยอยู่ในที่แสงไม่สามารถส่องถึง
ไม่มีใครเห็นใจเมื่อไกอาถูกเนรเทศ
ในทางตรงกันข้าม มีคำกล่าวที่ว่าการที่ดาร์คเอล์ฟสกปรกหายไปจะทำให้โลกบริสุทธิ์ขึ้นด้วยซ้ำ
ไม่ต้องพูดถึงว่าทั้งเอล์ฟ มนุษย์ คนแคระ และทุกเผ่าต่างก็หลีกเลี่ยงพวกเขา
ไกอาคิดว่านี่คือชะตากรรมของเขา และเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องทนรับมัน
เขาคิดว่าการใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติการอยู่รอดในโลกที่โหดร้ายและโดดเดี่ยวเป็นภารกิจของเผ่าพันธุ์ของเขา
สำหรับพวกเขา มันไม่มีพระเจ้า ชีวิตของพวกเขาจะอยู่อย่างสั่นกลัวไปกับพวกพ้องในโลกที่หนาวเหน็บและโดดเดี่ยว เขายอมรับในเรื่องนั้น
อย่าไรก็ตาม นี่มันต่างออกไป
ตัวตนนั้นยื่นมือออกมาช่วยพวกเขา
บางทีมันอาจจะกำลังหลอกลวง หรือแค่เล่นกับความรู้สึกของพวกเขา
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม
ไม่มีใครสักคนที่จะสงสารพวกเขา โดยเฉพาะการแสดงความสงสารออกมา
“นี่มันปาฏิหาริย์!!”
“ด้วยทั้งหมดนี่!”
“อ๊ะ! นายท่านผู้ยิ่งใหญ่! ขอบคุณ!”
เขามองเห็นลูกน้องของตนเองตื่นเต้นกันมาก
“นายท่าน ได้โปรด…. บอกชื่อของท่านแก่เรา….”
เขากล่าวออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
เขาจำได้ว่ายังไม่เคยได้ยินชื่อของตัวตนนั้น
เขาเข้าใจว่าประโยคที่เด็กสาวพูดก่อนหน้านี้น่าจะเป็นชื่อของตัวตนนั้น
แต่นั้นไม่ใช่
ไกอาอยากจะได้ยินจากปากเขาโดยตรง
นามอันสูงส่งของตัวตนที่สร้างปาฏิหาริย์ด้วยมือเพียงข้างเดียว
นามของสิ่งมีชีวิตอันสูงส่งที่มอบความอบอุ่นให้แก่เผ่าพันธุ์ของพวกเขาเป็นครั้งแรก
“ฉันให้”
ตัวตนนั้นตอบอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ไม่รู้สึกถึงอารมณ์และความตั้งใจ
=Eterpedia============
[การผลิตฉุกเฉิน] คำสั่งอาณาจักร
การผลิตฉุกเฉิน เป็นคำสั่งพิเศษที่จะใช้ทรัพยากร “พลังเวทย์” ในการสร้างสิ่งต่างๆ
คุณสามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างและยูนิตได้ แต่มันจะสิ้นเปลืองพลังเวทย์อย่างมาก
พลังเวทย์สามารถสร้างสิ่งจำเป็นได้
ทรัพยากร <<วัสดุ>><<อาหาร>>
คุณสามารถสร้าง “วัสดุ” และ “อาหาร” ได้โดยใช้การผลิตฉุกเฉิน แต่คุณไม่สามารถสร้างทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ได้
การพัฒนาเทคโนโลยี และสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะสามารถลดการใช้พลังเวทย์ได้