Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ - ตอนที่ 41 Sin and Punishment
- Home
- Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~
- ตอนที่ 41 Sin and Punishment
บรรยากาศที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ราวกับโลกทั้งใบรวมตัวเข้าด้วยกันและกระจายออก
ความรู้สึกนั้นกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
บางอย่างที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น สัญญาณเตือนที่ดังออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ เธอสัมผัสถึงมันได้ แต่เธอไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น
(เกิด…อะไรขึ้นกันแน่?)
ความเงียบสงัดเข้าปกคลุม
ไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่สัญชาติญาณที่กำลังร้องเตือน และการที่เธอไม่สามารถติดต่อเจ้านายได้ ทำให้อิสลารู้สึกกังวลแบบที่ไม่เป็นมาก่อน
“…เอ๋?”
“นี่มันที่ไหน?”
เสียงเล็กๆที่ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อม และไม่ควรมาอยู่ที่นี่อย่างยิ่ง
“พวกเธอ–!? มาที่นี่ทำไม?”
“หนูเองก็ไม่ทราบ”
“หนูน่าจะอยู่กับฝ่าบาทนี่นา…ทำไมกัน?”
ฝาแฝดทั้งสองได้ปรากฎตัวขึ้น
ทั้งคู่คือสาวใช้ชาวดาร์คเอลฟ์ที่อยู่ข้างกายทาคุโตะ พวกเธอมีอดีตอันน่าเศร้าที่ทำให้อิสลารู้สึกสงสาร
ทั้งคู่น่าจะอพยพไปพร้อมกับประชาชนคนอื่นๆในเมืองหลวงแล้ว
พวกเธอไม่ควรมาอยู่ที่นี่
มีอยู่เสี้ยววิที่อิสลาคิดว่านี่อาจจะเป็นเวทมนตร์ หรือภาพลวงตาบางอย่าง แต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเธอบอกว่าฝาแฝดทั้งสองเป็นตัวจริง
ดูเหมือนพวกเธอจะถูกบังคับเคลื่อนย้ายมาที่นี่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในระบบ
อิสลาคิดถึงก้าวต่อไปอย่างรวดเร็ว
“เด็กๆ! มาตรงนี้! ปกป้องสองแฝดนั่นซะ!”
เธอพยาพยามเรียกแมลงเด็ก และแมลงขายาวที่รอดชีวิตจากการต่อสู้ และอยู่ใกล้มากที่สุด
ไข่ที่ยังไม่ฟักเองก็สามารถเร่งเวลา และสั่งให้ฟักตัวออกมาหาพวกเขาได้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไกอา! ดาร์คเอลฟ์! มีใครอยู่ใกล้ๆบ้างไหม!? รีบมาที่นี่ที!”
เธอเงยหน้าขึ้น และตะโกนออกมาเสียงดัง เพื่อเรียกเหล่าทหารดาร์คเอลฟ์ที่คอยสังเกตการณ์การต่อสู้ก่อนหน้านี้ หรือใครก็ตามที่เสียงเธอส่งไปถึง
แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่! ท่านทาคุโตะ! ได้โปรดตอบด้วย! ได้โปรดเถอะ ตอบดิฉันที!”
เธอพยายามส่งกระแสจิตถึงราชาของเธอ ทาคุโตะ ผู้ที่เธอเชื่อใจมากที่สุดเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ ผู้ที่สามารถชี้ทางให้แก่เธอ
–แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไมล่ะ! ทำไมถึงติดต่อไม่ได้!?”
“เป็นอะไรไหมคะ?”
“อา ซีเรียกับมีเรียควรทำยังไง…?”
“มานี่ อยู่ใกล้ๆฉันไว้นะคะ”
ความพยายามของเธอจบลงอย่างสูญเปล่า ราวกับสถานที่แห่งนี้อยู่ในมิติที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
เธอคิดถึงแผนการหลบหนีออกจากที่นี่โดยกอดสองแฝดไปด้วย แต่เมื่อเธอขยับแขน มีพลังที่มองไม่เห็นบังคับการกระทำของเธอไว้ ราวกับว่าเธอไม่เคยขยับ
สิ่งนั้นยิ่งทำให้เธอกังวลมากขึ้นไปอีก
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอสัมผัสได้ว่า หากเธอปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไป เธอจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน
ไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้ ทั้งหมดถูกบังคับให้รอ
ฝาแฝดมองที่เธออย่างกังวล
อิสลาลูบหัวพวกเธอด้วยแขนที่สองเพื่อปลอบโยน
“คุคุ! เคี้ยก ฮ่าฮ่า! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะได้ดังก้องออกมา และทำให้เวลาที่ถูกหยุดกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
เสียงนั้นดังมาจากทางด้านหน้า อิสลาจำได้ว่าเธอเพิ่งได้ยินเสียงนั้นเมื่อไม่นานนี้เอง
อิสลาประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
รวดเร็ว และว่องไวราวกับตั๊กแตนตำข้าวเมื่อล่าเหยื่อ เธอใช้เคียวแทงไปยังทิศทางของเสียงนั้น เสียงที่เป็นของเฟรไมน์
“แย่หน่อยนะ สิ่งนี้สังหารข้าไม่ได้หรอก”
ชายผู้ซึ่งควรจะตายไปแล้วตอบกลับมา
ที่จริง ร่างของมันถูกผ่าออกเป็นสองส่วนไปแล้ว และการโจมตีที่ตามมานั้นได้ทำลายกะโหลกของมันไปเรียบร้อย
แต่เฟรไมน์ยังคงพูดต่อไป
อิสลาขยับตัวถอยออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ทำไมกัน…ฉันแน่ใจว่าฆ่าคุณไปแล้วนะ!”
เธอตกตะลึงจนสูญเสียความเยือกเย็นไป
ในสถานการณ์ที่เธอไม่สามารถติดต่อทาคุโตะเพื่อนขอความช่วยเหลือได้ เธอจึงไม่มีแนวทางรับมือกับเหตุการณ์ตรงหน้า
มันทำให้เธอรู้สึกสับสน
มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ยูนิตของ Eternal Nations นั้นเปราะบางแค่ไหน เมื่อถูกตัดขาดและไม่ได้รับการสนับสนุน
“โอ้ ข้าตายแล้วอย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย เจ้าสัตว์ประหลาด”
ศพของเฟรไมน์เริ่มพูด
กะโหลกที่แตกออก สมองที่ไหลออกมา ดวงตาที่ล้นทะลักซึ่งจับจ้องไปในความว่างเปล่านั้น
ความตายคือเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
ต่อให้เป็นอันเดด ก็ยังต้องหยุดเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้ยังคงพูดต่อไป
“ไม่สิ…อย่างที่เจ้าพูดล่ะนะ โลกใบนี้มันคือบ่ออาจม โลกที่ราวกับขยะแห่งนี้ เศษซากที่เชื่อว่าพวกมันมีชีวิตอยู่ และใช้ชีวิตอยู่เช่นเศษสวะ”
โดยที่ไม่สนใจการพรรณนาของเขา อิสลาโจมตีซ้ำไปยังศพของเฟรไมน์อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ มันมีสนามพลังลึกลับบางอย่างป้องกันการโจมตีนั้นไว้
“ฮ่าฮ่า! เจ้าสังหารข้าซ้ำอีกไม่ได้หรอก…ก็ข้าตายไปแล้วนี่นา ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เฟรไมน์หัวเราะ ศพนั้นหัวเราะออกมา
เป็นครั้งแรก ที่อิสลาไม่รู้ว่าตนเองกำลังเผชิญกับสถานการณ์แบบไหนอยู่ เธอไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน….แม้กระทั่งตอนอยู่ใน Eternal Nations ก็ยังไม่เคย
ทาคุโตะอาจจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ แต่การติดต่อสื่อสารถูกปิดกั้น เธอจึงไม่สามารถทำอะไรได้
“แม่…”
“พะ พวกเราควรทำยังไง? ถ้ามีอะไรที่พวกเราช่วยได้…”
ฝาแฝดทั้งสองพูดกับอิสลาอย่างกังวล
ทั้งคู่ไม่ใช่นักสู้
พวกเธอไม่มีความสามารถในการป้องกันหรือฟื้นฟูแบบอิสลา
พวกเธอจะบาดเจ็บและตายไป พวกเธอคือสิ่งมีชีวิตที่เปราะบางขนาดนั้น
ข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งคู่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบางทำให้อิสลารู้สึกกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ในฐานะของผู้เป็นแม่แล้ว เธอเก็บความกลัวนั้นไว้ และพูดกับทั้งสองคนด้วยความอ่อนโยน
“โอ้ พวกเธอคงกังวลอยู่สินะ ไม่เป็นไรนะคะ ตราบใดที่พวกเธออยู่ตรงนี้ ฉันจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอเป็นอันขาด…”
แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้าย
ไม่ใช่สิ -คงแม่นยำกว่าถ้าบอกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมักเป็นโศกนาฏกรรม โศกนาฏกรรมที่น่าเศร้า
สถานการณ์เริ่มตึงเครียด
“โอ้! นี่มันแทบจะทำให้ข้าร้องไห้เลยนะ! ช่างงดงามเสียจริง! ความรักเหล่านี้! เอาล่ะ! ข้าตัดสินใจได้แล้ว! เอาเป็นสองคนนี้แหละ! ต้องออกมายอดเยี่ยมแน่ๆ ว่าไหม? ยัยสัตว์ประหลาด”
ตอนแรกเธอไม่เข้าใจคำพูดพวกนั้น
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นทำให้เธอเข้าใจในความหมายของคำพูดเหล่านั้น
เด็กหญิงทั้งสองผละออกจากอกของอิสลา และเคลื่อนที่ไปยังศพของเฟรไมน์
การกระทำของพวกเธอดูเป็นธรรมชาติมากซะจน อิสลาที่คอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลาถึงกับสูญเสียความคิดไปชั่วขณะ
“พวกเธอกำลังทำอะไรน่ะ?! รีบหลบออกมาเดี๋ยวนี้! ทำไมถึงมุ่งหน้าไปทางนั้น!?”
“เอ๋? ทางนั้น? ไม่ใช่..”
“ทำไมล่ะ!? เท้าหนูมันขยับไปเอง!”
อิสลาตะโกนและพยายามพุ่งออกไป
ฝาแฝดทั้งสองต่างพยายามขยับเท้าถอยกลับอย่างสุดกำลัง
มันไร้ประโยชน์
ขณะที่มองดูฝาแฝดทั้งสองที่กำลังขยับเข้ามาหาเขา เฟรไมน์ขยับคางที่แหลกเหลว และเยาะเย้ยอิสลา
“เจ้าต่อต้านไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? เจ้าต่อต้านมันไม่ได้ใช่ไหม? ข้าจะเล่าอะไรดีๆให้ฟังนะ –คนสำคัญที่สุดของเจ้าจะต้องตาย ตายแน่ๆ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน ยิ่งใหญ่เพียงใด หรือสำคัญมากเท่าไหร่ มันจะต้องตายอย่างแน่นอน ใช่แล้ว พวกมันจะต้องตาย เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ตอนนี้อิสลารู้แล้วว่าสาเหตุมาจากระบบของเกม
ตัวละครของไมน็อกกราห์ได้รับผลจากระบบของ Eternal Nations
มันสามารถส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้อยู่ในเกมได้ อย่างพวกดาร์คเอลฟ์ที่ถูกเพิ่มเข้ามา และแก้ไขคุณสมบัติของพวกเขาให้กลายเป็นเผ่าปีศาจ
ถ้าเป็นแบบนั้น ในทางกลับกัน
ชัดเจนเลยว่าใน Brave Quest ที่เฟรไมน์อยู่ สิ่งที่ปกคลุมสถานที่นี้อยู่คงจะเป็นกฏเกณฑ์บางอย่าง
แต่ว่า—
“เป็นไปไม่ได้! ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ! ไม่ใช่แล้ว! นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
อิสลาไม่สามารถยอมรับอะไรแบบนั้นได้
ในโลกของเธอพลังคือทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นพลังในการต่อสู้ กองทัพ หรือจะเป็นพลังที่มองไม่เห็นอย่างสติปัญญา และอำนาจทางการเงินต่างๆ
กฏข้อเดียวที่เธอเชื่อก็คือ ผู้ที่มีพลังจะได้ทุกๆสิ่งตามใจปรารถนา และผู้ที่ไร้ซึ่งพลังจะถูกช่วงชิง มันเป็นกฏง่ายๆแค่นั้นเอง
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอจึงไม่อาจยอมรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าได้
สามารถบอกได้เลยว่าการตายของเฟรไมน์ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
อย่างไรก็ตาม อิสลาคือผุ้ชนะในการต่อสู้ หากว่าเธอที่มีพลังอันยิ่งใหญ่ ตกอยู่ในวิกฤตแบบนี้ แล้วพลังมันจะมีความหมายอะไรล่ะ?
ถ้าโชคชะตาถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรก แล้วชัยชนะมันจะมีความหมายอะไรกัน?
“ข้าเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน ไม่มีอะไรที่เจ้าทำได้อีกแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะพยายามมากแค่ไหน เจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้หรอก”
อิสลาไม่สนใจการเยาะเย้ยอย่างมีความสุขของซากศพนั้น
ตอนนี้สิ่งนั้นไม่ใช่ปัญหา
เธอไม่สามารถติดต่อกับราชาของเธอ ทาคุโตะได้ มีเพียงอิสลาที่สามารถช่วยเด็กทั้งคู่ให้รอดพ้นจากความตายได้
เธอบังคับให้กล้ามเนื้อทุกส่วนขยับ และตอบโต้พลังที่มองไม่เห็นซึ่งควบคุมร่างกายของเธออยู่
อย่างไรก็ตาม มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย
“อุก! กว๊ากกก!! อย่าคิดว่าของแค่นี้จะหยุดอิสลาผู้นี้ได้!!”
“ก็ได้ๆ เจ้าสัตว์ประหลาด ข้าจะบอกเรื่องดีๆให้เจ้าฟังเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน ฟังให้ดีๆล่ะ ข้า…….ไอ้ระบบเฮงซวยนี่น่ะ–”
มันมีหลักการบางอย่างบนโลกที่ไม่สามารถลบล้างได้ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม
และนั่นก็คือ…เรื่องทั้งหมดนี้
“ข้าเรียกว่ามัน [เหตุการณ์บังคับ] น่ะ”
นั่นคือสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้
“…ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ามาจากโลกแบบไหนกัน แต่ที่ข้ารู้คือมันมีอิสระมากกว่าโลกของข้านัก”
เสียงของชายคนนั้นฟังดูเป็นปรัชญา
ท่ามกลางความกระวนกระวายนั้น เสียงของเขาดังก้องอยู่ในหัวของเธอ น่าแปลกที่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเห็นใจ ทำให้อิสลาต้องรับฟังอย่างช่วยไม่ได้
“เจ้ารู้อะไรไหม? มันมีสถานการณ์บางอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่บนโลกนี้นะ พวกเราที่เป็นหุ่นเชิดไม่อาจหลบหนีจากโชคชะตานั่นได้ สิ่งเดียวที่พวกเราทำได้ก็คือ—ยอมแพ้ให้กับมัน”
เธอไม่รู้ว่าเขาได้พบเจอกับอะไรมาบ้าง และเขาต่อสู้กับมันยังไง แล้วเขาได้ยอมแพ้มันหรือไม่
อย่างไรก็ตาม อิสลาไม่อาจยอมรับได้
ยอมรับชะตากรรมที่ว่า เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“แม่จ๋า…หนูควรทำยังไง?”
“แม่จ๋า! ช่วยด….”
ไม่มีทางที่เธอจะยอมแพ้ต่อหน้าพวกเขา
เธอคือแม่ และพวกเธอคือลูกสาวอันเป็นที่รักกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
“อ๊าาาาาาาาาาาา!!!”
กล้ามเนื้อของเธอฉีกขาด
พลังที่ผุดขึ้นมาจากไหนไม่ทราบได้พุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ผิวหนังที่แข็งยิ่งกว่าโลหะปริแตก เลือดสีเขียวไหลนองไปทั่ว
อย่างไรก็ตาม พลังของเธอไม่ลดลงแม้แต่น้อย
“โอ้! ใช่แล้ว! พวกนางสำคัญมากงั้นสินะ! เจ้าต้องการปกป้องพวกนางสินะ! เจ้าเลยปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้! พยายามเข้าสิ! พยายามให้ถึงที่สุด! อาจจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นก็ได้! ถึงข้าจะไม่เคยเห็นมันเกิดขึ้นมาก่อนก็เถอะ!”
ฉันจะปกป้องพวกเธอเอง!
ศพของเฟรไมน์ และฝาแฝดทั้งสอง
ระยะห่างของพวกเขาค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆ เวลาใกล้จะหมด เฉกเช่นนาฬิกาทรายของลานประหาร
ทุกๆก้าวที่เด็กๆย่างไป ส่งเสียงออกมาราวกับเข็มของนาฬิกาที่นับถอยหลัง ทำให้รู้สึกถึงอันตายที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าทำไม่ได้หรอก…. พอมาถึงตรงนี้แล้วก็ ตู้ม จบ ปกติแล้วข้ามักจะเล่นงานไปที่จุดอ่อนของพวกผู้กล้าล่ะนะ แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบนั้นน่ะช่างมันเถอะ”
ฝาแฝดทั้งสองหันหน้ากลับไปหาอิสลา และดวงตาของพวกเธอได้ประสานเข้าด้วยกัน
เหตุการณ์นี้ถูกกำหนดไว้แล้ว? หรือมันเป็นการกระทำสุดท้ายที่ทั้งคู่ทำเพราะรู้ว่ามีเพียงแค่ท่อนบนที่สามารถขยับได้กันแน่?
อย่างไรก็ตาม อิสลาส่งรอยยิ้มแสนอบอุ่นให้เด็กหญิงทั้งสองอย่าง
“ไม่เป็นไรนะ…ฉันจะต้องช่วยเธออย่างแน่นอน”
หลังจากที่ใช้ความพยายามอย่างมากในการขยับร่างกายนี้ และทดลองใช้สกิลต่างๆที่เธอมีอยู่
เธอใช้สมองคิดหาทางออกอย่างสิ้นหวัง แต่เธอก็มองไม่เห็นหนทางแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าเลย
“อ่าา เป็นแบบนี้กันทุกคน! พวกมันช่างโง่เขลา! ชอบเข้าใจผิดไปเองว่าถ้ามีพลังใจและความเชื่อแล้วทุกอย่างจะเป็นไปได้!”
อีกก้าว
“ทั้งผู้กล้า! จอมมาร! ทั้งหมดเลย! ไม่รู้ตัวกันเลยงั้นรึ! ว่าพวกเจ้าเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น! ถ้าไม่ยอมทำสิ่งที่ต้องการแล้วล่ะก็ มีแต่รอวันถูกเขี่ยทิ้งเท่านั้นแหละ!”
อีกก้าว
“ยังไม่พออีกรึ! ต่อให้มันง่ายขึ้น ข้าก็ทำดีที่สุดแล้ว! ข้าทำหน้าที่ของข้าได้อย่างสมบูรณ์!”
อีกหนึ่งก้าว
“บัดซบ! บอสระดับกลางอะไรกัน! ผู้เล่นอะไรกัน! เหลวไหลทั้งเพ! แล้วอะไรอีก? ทำไมข้าถึงต้องตายตามเรื่องราวของผู้กล้าอะไรนั่นด้วย? อย่ามาล้อกันเล่นนะ!”
ย่างก้าวของพวกเขากำลังจะสิ้นสุดลง
ไม่มีใครฟังคำพูดของเฟรไมน์อีกต่อไป
อิสลา ฝาดแฝดทั้งสอง และแม้แต่ทาคุโตะที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ณ ที่แห่งนี้ กำลังพยายามถึงที่สุดในการหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเขารู้ดีว่าไม่มีใครรับฟัง หรือเพราะความโกรธที่ทำให้เขาไม่สามารถใช้ความคิดได้อีกต่อไป เฟรไมน์สาปแช่งให้กับบางสิ่งที่ไม่รู้ว่าอยู่หรือไม่ด้วยซ้ำ
“เจ้าเองก็เช่นกัน! เจ้าได้ยินข้าแล้วใช่มั้ย?! เจ้ากำลังดูอยู่ใช่รึเปล่า? ‘หากสามารถกำจัดเกมทั้งหมดได้ เจ้าจะเป็นอิสระ’ โกหกทั้งเพ! เจ้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นตั้งแต่อยู่แล้วนี่!”
แน่นอนว่า ไม่มีใครมามัวฟังคำพูดเหล่านั้น
ไม่สิ…บางทีอาจจะมีใครสักคนฟังอยู่
อย่างไรก็ตาม ไม่มีทางยืนยันได้เลย
อย่างน้อยก็ไม่มีทางที่จะมีตัวตนอื่นปรากฏบนเวทีนี้
และอีกหนึ่งก้าว
“นี่แหละฉากจบแล้ว! พวกเจ้าทั้งหมดถูกลากลงมายังนรกแห่งนี้ บุตรอันล้ำค่าของพวกเจ้าก็ถูกพามาด้วย! เจ้ากำลังฟังอยู่ใช่มั้ย? ทาคุโตะ! เจ้าเองก็เป็นผู้เล่นสินะ? เจ้าได้อ่านเรื่องราวของพวกเรากับมันรึเปล่า? เจ้าคงจะคิดว่า ‘ถ้าปราบบอสตัวนี้เสร็จแล้ว ต้องไปซื้ออุปกรณ์ใหม่แล้วสิ’ งั้นสินะ คิดแบบนั้นอยู่ตอนที่กำลังดูข้าต่อสู้กับผู้กล้าอย่างสิ้นหวังอยู่รึเปล่าล่ะ ห๊าา!!?”
ไม่มีใครตอบกลับ
“อย่ามาล้อกันเล่นนะ! ข้าอยู่ที่นี่! ข้ามีชีวิตอยู่ตรงนี้! เพราะแบบนั้น! ข้าจะกำจัดสิ่งสำคัญของเจ้าซะ! เพราะนี่คือเหตุการณ์แบบนั้นยังไงล่ะ!”
เฟรไมน์หัวเราะออกมาราวกับคนบ้า
ไม่เหลือเค้าลางของชายผู้ได้รับการขนานนามเป็นจอมเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยมอีกต่อไป มีเพียงชายผู้น่าสงสารที่สาปแช่งโชคชะตาและชีวิตอันแสนสิ้นหวังของเขาเท่านั้น
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการกระทำนี้มาจากความตั้งใจจริงของตัวเองรึเปล่า
สิ่งเดียวที่เขารู้คือ ข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องราวกำลังดำเนินไปแบบที่เขาต้องการ
เด็กหญิงทั้งสองมาถึงด้านหน้าศพที่ตั้งอยู่
ใบหน้าของพวกเธอมีน้ำตาไหลออกมา และเต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อความตาย
ไม่ต้องพูดถึงซีเรีย กระทั่งมีเรียที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนักยังเป็นเช่นเดียวกัน
พวกเธอสาปแช่งต่อโชะตา เด็กหญิงทั้งสองที่เคยอยากตายเมื่อนานมาแล้ว ยืนอยู่ต่อหน้ามันและสั่นกลัวต่อความตาย
ไม่สิ…เป็นเพราะพวกเธอได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวใหม่ และได้พบกับความอ่อนโยนของมารดา พวกเธอจึงหวาดกลัวต่อความตาย
ตรงกันข้ามกับชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ที่สาปแช่งและไม่เคยยอมรับในโชคชะตาของตนเอง
ฟึบ เสียงของธงที่สะบัดลงดังออกมา
ไม่มีใครได้ยินเสียงนั้น ไม่มีใครเข้าใจเสียงนั้น มันเป็นแค่เสียงประกาศว่าจุดจบได้มาถึง และโชคชะตาสิ้นสุดลง
ความตายนั้นเท่าเทียม
ความสิ้นหวังที่มาอย่างเท่าเทียม
พวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างไม่แบ่งแยก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม
ไม่มีใครหลบหนีจากมันได้
“ไม่– อย่าเพิ่ง! เดี๋ยวก่อน!”
อิสลากรีดร้อง เสียงกรีดร้องของเธอราวกับกำลังอ้อนวอนต่อแสงแห่งความหวังอันริบหรี่
“เกลียด! ข้าเกลียดยิ่งนัก! โดยเฉพาะเจ้า! ข้าเกลียดชังเจ้า! พวกเจ้าทุกคน! นี่แหละของขวัญชิ้นสุดท้ายจากข้า! จงรับไปซะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!!”
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงช่างโหดร้าย
“แม่จ๋า–”
วินาทีนั้น เฟรไมน์ได้เปล่งแสงออกมา และเปลวเพลิงอันรุนแรงซึ่งเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างอานุภาพสูงได้เข้าปกคลุมทุกสิ่ง
พื้นที่ทั้งหมดกลายเป็นเถ้าถ่าน และลมร้อนได้กลายเป็นพายุที่พัดเอาทุกอย่างออกไป
ฝุ่นเข้าปกคลุมดวงอาทิตย์ และนำความมืดมิดลงมา
ชิ้นส่วนไม้ที่แตกหักร่วงลงมาราวกับห่าฝน และอากาศที่ถูกเผาไหม้โชยออกไปอย่างเงียบงัน
ในที่สุด ความเงียบที่แท้จริงได้ย่างกราย และไม่มีใครเป็นผู้ชนะ…
กงล้อแห่งโชคชะตาที่เริ่มหมุนได้หยุดลง…อย่างที่ถูกกำหนดเอาไว้
=================================================
สิ้นหวังสุดๆ แปลถึงช่วงท้ายตอนนี่หดหู่พอสมควรเลย