Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ - ตอนที่ 13 Omen (1)
เขตทางตอนใต้ของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ควอเลีย
เมืองใหญ่แห่งนี้คือศูนย์กลางการปกครอง
เมืองนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำเนื่องจากผืนดินมีความอุดมสมบูรณ์มาก
อัศวินศักดิ์สิทธิ์เดินเข้าไปในโบสถ์ด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“เฮ้ โรนิอัส! โรนิอัส! อยู่หรือเปล่า??”
“ครับ ท่านอัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดล”
เวอร์เดลเปิดประตูและเข้าไปในห้องสวดมนต์อย่างเร่งรีบ ใบหน้าของเขาดูหยาบกระด้าง ในทางกลับกันเครื่องแต่งกายของเขากลับดูสวยงามและหรูหราอย่างมาก
มันมีตำแหน่งที่เรียกว่า ‘อัศวินศักดิ์สิทธิ์’ อยู่ภายในอาณาจักร ผู้ที่สถานะสูงกว่าทหารทั่วๆไป
ผู้ก่อตั้งศาสนจักรกลายมาเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แห่งควอเลีย และชี้นำอาณาจักร ประชาชนทั้งหมดต่างก็นับถือศาสนาเดียวกันและสวดมนต์ต่อพระเจ้าของพวกเขาในทุกๆวัน
อันที่จริง ประชากรประมาณ 30% ได้กลายมาเป็นพระหรือบาทหลวง
ตั้งแต่ระดับบนสุดไปจนถึงระดับล่าง พวกเขาล้วนเป็นชนชั้นสูงที่ได้รับการคัดเลือกซึ่งผ่านการฝึกฝนและการทดสอบอย่างเข้มงวด
พวกเขาเรียนศิลปะการต่อสู้ ศิลปะ และวิชาอื่นๆ แต่ภูมิหลังทางครอบครัวของพวกเขาคือสิ่งสำคัญที่สุด
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับนักบุญ เป็นบุคลากรชั้นยอดและมีความสำคัญต่ออาณาจักร
โดยปกติพวกเขาจะประจำการอยู่ทั่วอาณาจักรเพื่อแก้ปัญหาภายในต่างๆ พลังของพวกเขาถูกใช้เพื่อกำจัดสัตว์ประหลาดและเหล่าผู้ร้ายเป็นครั้งคราวและเพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่ระดับสูง
นั่นคือการดำรงอยู่ของอัศวินศักดิ์สิทธิ์
ชายผู้นี้มีบุคลิกที่ผ่านการฝึกมาอย่างเข้มงวด และจิตใจที่แข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า เขาควรจะมีคุณธรรมมากพอที่จะชี้นำผู้คนร่วมกับบาทหลวงคนอื่นๆ แต่การกระทำของเขาไม่เหมาะสมเป็นผู้ที่ได้รับการอวยพรโดยพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย
เขาคืออัศวินศักดิ์สิทธิ์อาวุโสที่มีนามว่าเวอร์เดล
อัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัส ผู้ที่กำลังสวดภาวนาอยู่หน้าแท่นบูชา เงยหน้าขึ้นมาเงียบๆ และมองไปยังเวอร์เดลที่เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงกระทบของชุดเกราะที่ดังไปมา
“สถานที่แห่งนี้เป็นที่สำหรับสวดภาวนาต่อพระเจ้า ผมอยากให้ท่านเงียบหน่อยนะครับ ท่านเวอร์เดล”
“เมืองทางใต้เนี่ยนะ! ถึงจะเป็นภาคเหนือของทวีปตอนใต้ก็เถอะ! ทำไมฉันต้องไปที่ที่ไอ้พวกคนเถื่อนมันอยู่กันเล่า!?”
“แต่ถ้าเราทำภารกิจนี้สำเร็จ เราจะได้รับการจดจำโดยสภานะครับ ยิ่งไปกว่านั้น คำสั่งถูกส่งมาจากสตรีศักดิ์สิทธิ์บุปผาฝังศพ โซรีน่าโดยตรง มันไม่มีสิ่งใดเป็นเกียรติมากไปกว่าสิ่งนี้แล้ว”
“หืม ไม่รู้สินะ…”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์เวอร์เดลส่งเสียงด้วยความไม่พอใจ
ไม่เหมือนกับเวอร์เดลที่ทำตัวสบายๆไม่เหมาะกับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ โรนิอัสนั้นสง่างามอย่างแท้จริง ในความสงบของเขา จะรู้สึกได้ถึงจิตใจอันแข็งแกร่ง ด้วยรูปลักษณ์ของเขาเมื่อสวมเครื่องแบบพิเศษ เขาคือชายผู้ที่เหมาะจะเป็นตัวอย่างของอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
อัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัส ฟังคำบ่นของเวอร์เดลเงียบๆ
ป่าต้องสาปที่ตั้งอยู่ในทางตอนใต้ของทวีปไฮดราเกีย ดินแดนต้องสาป
เรื่องราวที่สตรีศักดิ์สิทธิ์โซรีน่าได้รับคำพยากรณ์ และคำสั่งให้ไปตรวจสอบสถานที่นั้นถูกส่งมาให้โรนิอัสเมื่อวันก่อน
เวอร์เดลถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับข่าวลือแย่ๆมากมาย ที่ไม่อาจยอมรับในฐานะอัศวินศักดิ์สิทธิ์ การที่เขามาประท้วงที่นี่หมายความว่าเขามีเจตนาอื่นแอบแฝง
ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มีเจตนาแอบแฝง
แม้จะนักบวชที่ดูดี และแม่ชีที่ดูใสซื่อก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าข้างในใจของพวกเขาคิดอะไรอยู่ อาจจะเป็นเพราะว่าองค์กรมันใหญ่เกินไป หรือว่านั่นเป็นแค่สัญชาติญาณของมนุษย์กันนะ…?
เมื่อพิจารณาว่า หากพวกเขาทำภารกิจสำเร็จ เวอร์เดลจะได้รับความดีความชอบทั้งหมดไป
แต่หากมีอะไรผิดพลาด หรือพวกเขาล้มเหลว แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นความรับผิดชอบของเขา
โรนิอัสเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำที่ไม่ได้มีพื้นหลังครอบครัวใหญ่โตนอกไปจากความสามารถของเขา เขากัดฟันกรอดอยู่ภายในใจ
(การที่ท่านเวอร์เดลเข้าร่วมกับพวกเรามันคงไม่แย่นัก)
การมีส่วนร่วมของเวอร์เดลจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของเขา เวอร์เดลเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์อาวุโส ถ้าไม่นับเรื่องมารยาททรามของเขาแล้ว ความสามารถของเขาเป็นที่ยอมรับ
นี่เป็นครั้งแรกที่โรนิอัสได้รับภารกิจตรวจสอบพื้นที่ภายนอกอาณาจักร ข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นคำสั่งจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย
ความปลอดภัยของเขาสำคัญที่สุด ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งในการเร่งรีบเลื่อนขั้น ภาพของภรรยาอันเป็นที่รักและลูกสาวที่เพิ่งเกิดได้แวบเข้ามาในจิตใจของเขา
นี่จะต้องเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเขาเป็นแน่ ในเมื่อเขาเป็นผู้ที่ศรัทธาอย่างแรงกล้า
“แล้วพวกเราจะเตรียมกำลังพลไปสำรวจเท่าไหร่ครับ? หากท่านเวอร์เดลให้ความร่วมมือล่ะก็ ผมเชื่อว่าเราสามารถยืมทหารจากเขตทางใต้ได้เป็นจำนวนมาก….”
“ไม่ พวกนั้นบอกว่าเรามีกันเท่านี้นี่ล่ะ และเจ้าพวกระดับสูงในสภายังแนะนำมาอีกว่าให้แทนที่พวกนั้นด้วยทหารรับจ้าง”
“…อะไรนะครับ? ทำไมพวกเขาถึงทำอย่างนั้นล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้เฟ้ย! บ้าเอ๊ย! พวกทหารรับจ้างไม่มีพลส่งสารอีก! แถมตอนนี้พวกนั้นก็กำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้ทางตอนเหนือ แล้วนายอยากให้ฉันทำยังไงล่ะฮะ?”
น่าแปลกที่พวกเขาทั้งสองคนมีความเห็นไปในทางเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกับเวอร์เดล โรนิอัสมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลมากกว่า
มันแค่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่โรนิอัสจะพบหนทางที่ดีที่สุด
“ปล่อยให้ผมจัดการเอง ท่านเวอร์เดล ผมพอจะมีเพื่อนเก่าที่มีเส้นสายกับพวกทหารรับจ้างอยู่ ผมจะลองถามดูว่าเขาจะช่วยพวกเราได้หรือเปล่า”
“เอ๋? โรนิอัส นี่แกมีเส้นสายกับเขาด้วยเรอะ? เยี่ยมไปเลยนี่นา! นั่นช่วยได้มากเลย ฝากด้วยล่ะ!”
“ได้เลยครับ ปล่อยให้ผมจัดการเอง”
โรนิอัสโดนตบหลังอย่างแรงจนเขาสำลัก
เวอร์เดลเดินออกไปด้วยท่าทีสบายๆ และหัวเราะออกมาเสียงดัง
‘ถึงจะเป็นคนมีปัญหา แต่ก็ไม่ใช่คนเลวสินะ’
โรนิอัสคิดว่าเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเหล่านักบวชถึงชอบเวอร์เดล
แต่…โรนิอัสคิดเกี่ยวกับภารกิจ
(สตรีศักดิ์สิทธิ์โซรีน่ากำลังอยู่ระหว่างการชำระล้างเขตทางตอนเหนือของควอเลีย หากคำสั่งที่ให้ไปตรวจสอบมาจากคำพยากรณ์ มันน่าจะถูกส่งมาจากเขตทางเหนือ อย่างไรก้ตาม จุดหมายของเขา ดินแดนต้องสาป ตั้งอยู่ในดินแดนทางใต้ของไฮดราเกีย ที่เป็นที่รู้จักกันในทวีปทางใต้ เข้าใจล่ะ…การเตรียมตัวนี้จะตกอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของเขตที่ใกล้ที่สุด เขตทางใต้ของควอเลียสินะ)
เขานั่งสมาธิพร้อมๆกับสวดภาวนาเงียบๆ
(ด้วยการที่ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์เข้าไปจัดการเหตุฉุกเฉินทางตอนเหนือ ทำให้นักบุญคนอื่นๆไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ในขณะที่อีกฝั่งเองก็มีข่าวลือว่า ‘สตรีศักดิ์สิทธิ์ไร้หน้า’ จะถูกส่งไปเสริมกำลังให้กับพวกเขา…นี่ไม่ใช่เวลามามัวชิงดีชิงเด่นภายในกันสักหน่อย)
ความวุ่นวายทางตอนเหนือนั้นเพิ่มขึ้นทุกๆวัน
ทั้งกึ่งมนุษย์ สัตว์อสูร และอื่นๆอีกมากมาย มันไม่ใช่เรื่องปกติถ้าดูจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
บอกได้เลยว่ากองกำลังหลักของภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์นั้นโง่เขลา และนักบุญสองในสี่ ที่ถูกครอบครองโดยควอเลียเองก็เป็นที่ต้องการเช่นกัน
โรนิอัสวิตกกังวลจนสุดจะเอ่ยเกี่ยวกับเรื่องนั้น
(อ้างอิงจากคำพยากรณ์แล้ว มันจะเกิดหายนะขึ้น นี่เป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่านะ? ของให้ฉันได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยทีเถอะ)
อัศวินศักดิ์สิทธิ์โรนิอัสเริ่มสวดภาวนาต่อพระเจ้าอีกครั้ง พร้อมๆกับจมอยู่ในความวิตกกังวลภายในอก
◇ ◇ ◇
“ต้นเนื้อมนุษย์เสร็จสิ้นตามกำหนดการณ์ พวกเรามีโรงเก็บอาหารแล้วเช่นกัน ดังนั้น บนแผ่นดินนี้….ในเมืองหลวงของอาณาจักรไมน็อกกราห์แห่งนี้ เราจะสามารถจัดการกับอาหารทั้งหมดได้แล้วค่ะ”
เอมัลเป็นดาร์คเอลฟ์หญิง และเป็นรองหัวหน้านักรบไกอา
เบื้องหน้าต้นไม้ที่น่าขนลุก เธอรายงายความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างให้แก่อาโทว
หลายเดือนผ่านไปตั้งแต่การประชุมครั้งล่าสุด
ต้นเนื้อมนุษย์ได้ทำการปลูกเสร็จสิ้น การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างราบรื่น หลักฐานก็คืออาหารภายในโรงเก็บ อาคารบริหาร และคนงานที่กำลังเดินไปมา
สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาก็คือ ต้นไม้น่าขนลุกที่รบกวนบรรยากาศ ทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขากินเนื้อมนุษย์เข้าไปจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตสามารถปรับตัวได้อย่างง่ายดาย ถึงตอนแรกจะมีความสับสนอยู่บ้าง จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
เพิ่มเติมจากรายงานสถานการณ์ปัจจุบัน เอมัลยังถามความเห็นของเธอเกี่ยวกับรายละเอียดของการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ หลังจากที่พูดคุยและรับการรายงาน อาโทวพยักหน้าซ้ำๆอย่างพึงพอใจ
“เยี่ยมมาก ดูเหมือนการผลิตอาหารบนพื้นที่เพาะปลูกจะเป็นไปด้วยดี ดังนั้นการผลิตอาหารอย่างต่อเนื่องไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เช่นนั้น เมื่อการก่อสร้างส่วนที่พักอาศัยเสร็จสิ้นตามกำหนดการแล้ว ช่วยสร้างพระราชวังทีนะ”
โดยปกติแล้วทาคุโตะที่เป็นราขา และอาโทว มักจะติดต่อกันอยู่เสมอ
ราชาสามารถมองเห็นทั้งอาณาจักรได้โดยตรง และสามารถติดต่อสื่อสารในแต่ละส่วนได้ถ้าเขาต้องการ
แต่อาจจะเป็นเพราะพวกเขาทั้งคู่พลัดหลงมายังโลกใบนี้พร้อมๆกัน ทำให้ทาคุโตะมีสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับอาโทว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ไกลกัน แต่พวกเขายังสามารถเชื่อมจิตและแบ่งปันข้อมูลกันได้
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมอาโทวจึงเป็นบุคคลหลักในการตรวจสอบ และให้คำแนะนำต่างๆ
เหล่าดาร์คเอลฟ์เองก็คิดว่าแค่ถามเธอก็สามารถแก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้แล้ว การเข้าเฝ้าถามปัญหาต่อราชาโดยตรงถือเป็นการลบหลู่
ท้ายที่สุดแล้ว อาโทวคือผู้ดูแลที่สมบูรณ์แบบที่สุด ผู้ที่สามารถเข้าใจความต้องการขององค์ราชา แต่เธอค่อนจะซุ่มซ่าม
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
หลังจากที่มองไปรอบๆ เอมัลก็ตัดสินใจถาม
เธอคือรองหัวหน้านักรบ
เนื่องจากความรู้และตำแหน่งของเธอ เธอยังควบอีกตำแหน่งคือ ผู้รับผิดชอบด้านข้อมูลข่าวสาร
เธอถามคำถามที่สงสัยมาได้สักพักอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ทะ…ท่านอาโทวคะ?”
“ว่ายังไง มีอะไรให้ข้าช่วยรึ เอมัล?”
“ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน…”
เธอชี้ไปยังเมืองที่มีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นจากหมู่บ้านกลายเป็นอาคารที่มั่นคง
กลุ่มสิ่งปลูกสร้างที่ลอยอยู่บนอากาศเหมือนรังผึ้งโดยใช้กิ่งก้านของต้นไม้ขนาดใหญ่ไขว้ไปมา
พื้นที่เพาะปลูกที่ถูกจัดสรรปันส่วนอย่างดี มีทั้งผักและผลไม้โตอยู่บนนั้น
รั้วและกำแพงที่ทำขึ้นมาอย่างดี ดังนั้นพื้นที่บริเวณนั้นจึงกลายมาเป็นอะไรที่คล้ายกับเมือง แต่มีบางอย่างแปลกๆ
ใช่แล้ว ผืนป่าแบบเก่าได้หายไปแล้ว
ในทางกลับกัน มันเป็นฉากที่อธิบายได้ว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย
ต้นไม้ขนาดยักษ์ ที่อยู่ด้านหลังอย่างบิดเบี้ยว
ใบของมันเป็นสีที่ผสมกันอย่างน่าหวาดกลัวด้วยเหตุบางอย่าง
ผืนดินยังเหมือนเดิม ทั้งพืชและต้นไม้อยู่ในรูปลักษณ์ที่น่าขยะแขยง และหมอกบางๆที่ปกคลุมไปทั้งเมือง
สีของน้ำที่ไหลออกมาจากบ่อ เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะกับการดื่มกิน
เธอแทบจะยืนไม่อยู่เมื่อเห็นดาร์คเอลฟ์ตัวเล็กๆ อาบน้ำอยู่ใกล้ๆ
กล่าวได้ว่าบ้านของพวกเขาได้กลายเป็นบางสิ่งที่น่าสยดสยองไปแล้ว
“เอ๋? งั้นหรอ? ฟุฟุฟุ ข้าต้องขอโทษเรื่องนั้นด้วยนะ”
อาโทวทำได้เพียงหัวเราะและพยายามจะเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย
เอมัลไม่ประหลาดใจกับผู้ติดตามขององค์ราชาที่ไม่ค่อยระมัดระวังอะไรคนนี้แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับผืนป่า
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ทำไมป่าถึงตกอยู่ในสภาพนี้? ฉันหมายถึง นี่มันไม่เป็นอะไรจริงๆหรือ…..”
“ใช่แล้ว เจ้ากลายเป็นพลเมืองของไมน็อกกราห์แล้วนะ พูดตามตรง ข้าพนันได้เลยว่าเจ้าไม่รู้สึกแตกต่างสักเท่าไหร่ แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นจากพลังขององค์ราชา ซึ่งไม่ได้ส่งผลแค่ประชาชนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผืนดินด้วย”
“ท่านหมายความว่า สิ่งที่เห็นนี้มัน….”
นั่นคือคำอธิบายโดยสรุป
กล่าวอีกนัยนึงก็คือ ถ้าผู้คนกลายเป็นปีศาจ ผืนแผ่นดินนั้นก็จะเสื่อมโทรมลงไปด้วย
เอมัลผู้ที่ไม่เคยคิดว่าพวกเขาจะตกลงสู่ความชั่วร้ายมาก่อน ตกตะลึง แต่ก็สามารถยอมรับได้
“มันเรียกว่า ‘ดินแดนต้องสาป’ โดยปกติแล้วมันส่งผลดีต่อสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะชั่วร้าย มันส่งผลเสียต่อพวกที่คุณสมบัติเป็นกลางและฝ่ายดี มันเป็นพื้นที่ที่ยอดเยี่ยม เหมาะสำหรับการป้องกัน”
“ว้าว…..นั่น? แต่…ส่งผลดีต่อพวกปีศาจ ใช่มั้ยคะ?”
ที่เธอสงสัยมันเป็นเรื่องปกติ ถ้าตัวเธอเองกลายเป็นปีศาจแล้ว ดินแดนนี้จะต้องส่งผลดีต่อเธอ
อย่างไรก็ตาม ความประทับใจของเธอที่มีต่อสิ่งนี้คือ “น่าขนลุก” และตามจริงแล้ว เธอไม่รู้สึกประทับใจเลย และแน่นอน เธอไม่ได้รู้สึกถึงผลในเชิงบวกใดๆ เช่นกัน
“ลองสูดหายใจเข้าลึกๆดูสิ”
“เอ๋? ค่ะ! ซู้ดดดดด…..ฮ่า!”
“เจ้ารู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”
“บรรยากาศค่อนข้างสดชื่น….นี่เป็นอะไรอย่างพวกเสริมพลังรึเปล่าคะ?”
“นั่นคือสิ่งที่บอกว่าเจ้าเป็นปีศาจยังไงล่ะ เจ้าไม่รู้เลยสินะว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน”
เอมัลจับมือตัวเองด้วยสีหน้าประทับใจ
เมื่อพูดถึงผลจากต้นเนื้อมนุษย์ที่เธอกินไปเมื่อวันก่อน น่าแปลกที่เธอไม่ได้รู้สึกขยะแขยงอย่างที่คิดไว้ กลับกัน เธอคิดว่า ‘นี่มันแข็งไปหน่อย เอาไปปรุงน่าจะดีกว่า’
อาโทวบอกว่าเธอไม่รู้เลยว่าตัวเองได้กลายเป็นปีศาจ
นั่นคงเป็นเรื่องจริง
ถ้าเธอลองมาคิดดู ทิวทัศน์ที่เห็นอยู่นี้ ดีอย่างน่าประหลาดใจ ในอีกมุมนึง บรรยากาศเงียบๆที่ไม่มีอะไรมารบกวนก็เป็นสิ่งที่เธอชอบ
เอมัลเชื่อว่านี่คือวิถีที่มันเป็น
“แต่เห็นได้ชัด…..ว่ามันมีปัญหาอยู่…..”
เมื่อเธอเชื่อมั่นแบบนั้น ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น นั่นคือสิ่งที่หลุดมาจากปากของอาโทว
จิตใต้สำนึกของเอมัลอยากจะบอกว่า ‘ใช่แล้วค่ะ’ แต่เธอก็กลืนประโยคนั้นลงไป
หากสิ่งปลูกสร้างใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนเลยว่ามันจะต้องดึงดูดความสนใจจากภายนอก
โชคดีที่สถานที่นี้คือดินแดนต้องสาป แม้ว่าจะมีผืนป่าที่กว้างใหญ่ปกคลุมอยู่ แต่เมื่ออาณาจักรยังคงขยายอาณาเขตและพัฒนาต่อไป มันก็ไม่อาจจะปิดบังได้มิด
การเปิดเผยตัวตนของพวกเขาสู่โลกภายนอกเท่ากับเป็นการเชื้อเชิญภยันตรายเข้ามาเช่นกัน
แถมจะยิ่งเพิ่มมากกว่าเดิมอีกในเมื่อพวกเขาเป็นปีศาจ
“อย่างไรก็ตาม การที่ตัวตนของพวกเราจะถูกโลกภายนอกล่วงรู้ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตามที แทนที่จะมัวกังวลเรื่องยิบย่อย มาสนุกกับชีวิตตรงหน้ากันดีกว่า!”
เอมัลไม่สามารถพูดออกไปได้ว่า ‘เพราะทำอะไรไม่ได้ ก็เลยช่างมันสินะคะ’
เพราะอีกฝ่ายที่เธอคุยด้วยคือตัวตนที่สูงกว่า ผู้ติดตามที่องค์ราชาเชื่อใจ
แค่เพราะพวกเขาคุยกันสบายๆ ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเสียมารยาทได้
สุดท้าย ไม่ว่าเอมัลจะขัดแย้งกับคำพูดของอาโทวมากแค่ไหน ตัวเธอเองก็ไม่สามารถหาทางออกได้อยู่ดี
ถ้าเป็นแบบนั้นคงดีกว่าที่จะโยนมันทิ้งไป เหมือนที่อาโทวบอก เอาเวลาไปสนใจเรื่องอื่นดีกว่า
อย่างที่พูดก่อนหน้านี้ ในที่สุดตัวตนของพวกเขาจะถูกเปิดเผย
ตัวตนของราชาผู้ยิ่งใหญ่อย่าง อิระ ทาคุโตะ ไม่ใช่สิ่งที่จะเก็บเป็นความลับไว้ได้ตลอดอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เอมัลไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย
อิระ ทาคุโตะ ราชาแห่งความพินาศ ผู้ที่จะทำลายโลก
ตัวตนของเขาทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ
ผู้ติดตามขององค์ราชา อาโทว ได้แสดงให้เห็นถึงภาพของอนาคตที่ศัตรูทั้งหมดของไมน็อกกราห์ถูกทำลายสิ้น
เผ่าของพวกเขาช่างโชคดีเสียจริง!
ที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขา คือเหล่าเด็กๆที่กำลังวิ่งไล่จับกันและหัวเราะอย่างสนุกสนาน
เหล่าหนุ่มสาวที่กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง เหล่าทหารที่กำลังฝึกฝน
ขณะที่มองไปยังผู้คนของเธอ เธอได้ยอมจำนนต่อความรู้สึกไว้วางใจอันไร้ขอบเขตนี้
แต่เธอยังมีงานอีกมากมายที่ต้องทำ เพื่ออาณาจักรและราชาของเธอ
เอมัลจินตนาการถึงวันที่จะมาถึงในอนาคต และให้สัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ดีที่สุด
=สารานุกรม = = = = = = = = = = = = = = = =.= = = = = = = = = = = = = = = =.
[การกร่อน] จุดประสงค์ระดับชาติ
・อาณาเขตของชาติเปลี่ยนเป็น ‘แดนต้องสาป’
・■■■■■■■■■■■■■■■■
~~โลกได้มาถึงจุดจบ และในที่สุดทุกอย่างจะถูกปกคลุมไปด้วยความชั่วร้าย
การกร่อนเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายที่ผู้นำของเผ่าประเภทชั่วร้ายมักจะทำกัน
เป้าหมายหลักของมันคือการเปลี่ยนอาณาเขตของตนเองให้กลายเป็น ‘แดนต้องสาป’
ดินแดนต้องสาปจะส่งผลลบต่อพวกยูนิตที่เป็นฝ่ายดี และเสริมพลังให้กับฝ่ายชั่วร้าย
ตรงกันข้ามกับความชั่วร้าย มันมุ่งไปที่การป้องกันและกิจการภายในมากกว่า
—————————————————————————-