Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ - ตอนที่ 32.5 [Side story] People who come from far away
- Home
- Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~
- ตอนที่ 32.5 [Side story] People who come from far away
มันเป็นดินแดนที่ว่างเปล่า
พื้นดินที่ขรุขระในแนวราบ ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง และมีเพียงฝุ่นที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว
ดินแดนอันบิดเบี้ยวที่ปราศจากกาลเวลาและชีวิต
ดินแดนที่ตั้งอยู่ทางใต้ของทวีปไฮดราเกีย ไกลออกไปยิ่งกว่าไมน็อกกราห์และฟอว์นคาเวน
ดินแดนที่ว่ากันว่ายังไม่ได้รับการบุกเบิกที่ว่างเปล่าและไร้ซึ่งสรรพชีวิต ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่
ภายในดินแดนที่ไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆนี้ มีชายคนหนึ่งยืนมองผืนดินอย่างเงียบงัน
เขาเป็นชายที่แปลกประหลาด
ไม่มีใครทราบอายุของเขา แต่จากรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนังทำให้เขาดูเหมือนชายชรา
เขาสวมใส่ผ้าคลุมสีดำที่ขาดวิ่น ทำให้ดูราวกับขอทาน
อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ของเขาแสดงให้เห็นว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา
เขามีผมสีดำที่ตัดสั้น และดวงตาอันเฉียบคม
จากร่างกายที่สามารถมองเห็นได้ผ่านรูของผ้าคลุมแล้ว ราวกับว่าเขามักจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในการต่อสู้เสี่ยงตายอยู่เสมอ แต่ดวงตาของเขาก็ยังส่องประกายแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาอันชาญฉลาด
ชายคนนั้นมองไปที่ผืนดิน ยืนอยู่เงียบๆ
“อ๊ะ! ท่านจอมมาร! กำลังมองอะไรอยู่หรือคะ?”
มีใครบางคนทำลายความเงียบงันนั้น
มันเป็นหญิงสาวที่มีผิวซีดขาว และแต่งกายด้วยชุดสีเขียวอ่อน ผู้ซึ่งเรียกชายคนนั้นว่า “จอมมาร”
ปัจจุบัน เหล่าคนเถื่อนได้ทำการบุกโจมตีจากทางใต้ของไมน็อกกราห์
ชายคนนี้คือสาเหตุของการกระทำนั้น
ปราการด่านสุดท้ายที่รอคอยผู้เล่นในฉากจบของเกม RPG ชื่อดังอย่าง “Brave Quest”
ตัวตนนั้นถูกเรียกว่าจอมมารเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีชื่อเรียกอื่นๆเลย
และนั่นคือชื่อของชายผู้นั้น
“กำลังดูพื้นดินอยู่น่ะ”
จอมมารตอบคำถามของหญิงสาวคนนั้นอย่างเงียบๆ
สายตาของเขายังจับจ้องไปยังพื้นดิน และไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หญิงสาวคนนั้นก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดของจอมมารได้
ใบหน้าของเธอแสดงให้เห็นถึงความงุนงง
“พื้นดินงั้นหรือคะ? ท่านกำลังกังวลเกี่ยวกับแผ่นดินบนโลกใบนี้รึเปล่าคะ?”
“ไม่ใช่ ข้าแค่ประทับใจที่มันมีแผ่นดินที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้อยู่ด้วย”
กลิ่นของพืชพรรณซึ่งลอยมาจากที่ไกลๆ นกที่กำลังโบยบินอยู่บนฟ้า สายลมที่พัดมาเป็นครั้งคราว และดินแดนอันอบอุ่นได้เติมเต็มประสาทสัมผัสทั้งห้าของจอมมาร
เมื่อเขาสูดลมหายใจเบาๆ อากาศอันสดชื่นได้ไหลเข้าสู่ปอดและแผ่กระจายไปทั่วร่างของเขา
มันต่างไปจากโลกที่เขาเคยรู้จัก ซึ่งมีแต่ผืนดินที่มอดไหม้ ท้องฟ้าอันดำมืด และหมอกพิษที่สูดดมเข้าไปในปอด
มันเป็นประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจจอมมารอย่างมาก
เขาที่เคยเอาแต่นั่งอยู่ในส่วนลึกของปราสาทจอมมาร และไม่เคยได้ก้าวเท้าออกมายังโลกภายนอก
ตั้งแต่เกิดจนตาย จอมมารไม่เคยได้ออกมานอกปราสาทของเขามาก่อน
แน่นอนว่าเขารู้ถึงการดำรงอยู่ของพื้นดิน และท้องฟ้า แต่ว่าการรู้ว่ามีกับการได้สัมผัสของจริงมันต่างกันมาก ข้อแตกต่างนั้นทำให้เขารู้สึกประทับใจอย่างลึกล้ำ
อาจจะฟังดูน่าขัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมายังโลกภายนอก
เขาจะรู้สึกยินดีขนาดไหน…
จอมมารอยากจะลืมพวกสามัญสำนักพื้นฐานไป และเอ่ยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา แต่เขาก็ยังเลือกที่จะปิดปาก เนื่องจากรู้ดีว่าพวกราชาสวรรค์ของเขาคงจะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้
“โอ้! เยี่ยมไปเลยค่ะ ดูเหมือนท่านจอมมารจะชอบที่นี้สินะคะ! ใช่แล้ว เพียงแค่ท่านเอ่ยปาก พวกเราจะรีบยึดครองดินแดนนี้และนำมามอบให้แก่ท่านตอนนี้เลยค่ะ! ท่านสามารถสั่งการมาได้เลยค่ะ!”
ราชาสวรรค์เพศหญิงตนนี้กางมือของเธอออกมาด้วยท่าทีเกินจริง คว้าไปยังอากาศรอบๆ ราวกับว่าเธอกำลังโอบอุ้มโลกทั้งใบ และทำให้มันกลายเป็นโลกของพวกเขา
ในฐานะที่เป็นลูกน้องของจอมมาร ท่าทีเทิดทูนของเธอนั้นเป็นที่น่าพึงพอใจ แต่โชคร้ายที่มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถสั่นคลอนจิตใจของจอมมารได้ในเวลานี้
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเบื่อกับท่าทีเดิมๆพวกนี้เต็มทน และเมินมันด้วยซ้ำไป
เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นคำถามก็ผุดขึ้นมาว่าจะทำอย่างไรกับโลกใบนี้ดี
“เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำยังไง?”
ประโยคที่ทำให้หญิงสาวผู้นั้นกะพริบตาไปมาอย่างหวาดกลัว
“อะไรนะ? อ๊ะ ไม่สิ ไม่ใช่! ขออภัยด้วยค่ะ! ข้าประหลาดใจกับประโยคนั้นเล็กน้อย ใช่แล้ว ใช่แล้วล่ะ”
เขารู้ดีว่ามันเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสมในฐานะจอมมาร
อย่างไรก็ตาม จอมมารตัดสินใจที่จะถามมันออกมา ดังนั้น ต่อให้หญิงสาวคนนี้จะแสดงท่าทีเสียมารยาทออกมา เขาก็ไม่ได้ถือสา
บางทีเขาอาจจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าลูกน้องจะมีท่าทีตอบกลับยังไง…
ถึงอย่างนั้น เขาก็ได้ถามออกไปแล้ว สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือรอคำตอบกลับมา
จอมมารรอคำตอบจากหญิงสาวพร้อมกับไปมองไปยังพื้นดินเงียบๆ
ในที่สุด หลังจากที่ช่วงเวลาอันน่าอึดอัดผ่านพ้นไปแล้ว หญิงสาวคนนั้นก็ตอบกลับมา
“จากคำถามเมื่อสักครู่ของท่าน–แน่นอนเลยค่ะ! ถ้านั่นคือสิ่งที่ท่านปรารถนา! ไม่ว่าท่านจะปรารถนาสิ่งหากท่านต้องการที่จะยึดครองโลก มันก็จะตกเป็นของท่านอย่างแน่นอน! ใช่แล้วค่ะ! นั่นคือสิ่งที่ท่านปรารถนาใช่ไหมคะ?”
พูดจาใหญ่โต อลังการ และประจบอีกนิดหน่อย
–เหมือนที่คิดไว้ เป็นคำตอบที่น่าเบื่อเสียจริง
“งั้นหรือ…? ไม่สิ แบบนั้นแหละ”
และจอมมารก็เงียบไปอีกครั้ง
หญิงสาวเป็นกังวลมาก เธอคิดว่าตัวเธอทำอะไรผิดพลาดหรือเปล่า แต่เธอก็ไม่กล้าเปิดปากขออภัยในความผิดพลาดของตนเอง
มันไม่เหมือนกับการเข้าใจผิดทั่วไป บางทีการขออภัยนั้นอาจจะทำให้จอมมารหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมอีก
“เจ้าไปเถอะ ข้าจะมองดูแผ่นดินนี้อีกสักพัก”
หลังจากนั้น ดูเหมือนจอมมารจะนึกอะไรได้ และมอบคำสั่งให้แก่หญิงสาวคนนั้น
ความกังวลของเธอได้หายไป เธอรู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา เธอทำความเคารพเขาด้วยน้ำเสียงขึงขังตามปกติ และรีบพาตัวเองออกมา
….จอมมารจมดิ่งอยู่กับความคิดของตนเอง
แม้ว่าหญิงสาวที่เป็นราชาสวรรค์คนนั้นจะจากไปแล้ว เขาก็ยังคงเอาแต่มองไปที่แผ่นดิน และครุ่นคิดอยู่กับตัวเองอย่างเงียบๆ
ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าที่เรียบสงบของเขาคืออะไร ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่หลังจากที่สัมผัสเหนือมนุษย์ของเขาบอกว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้ว จอมมารก็หลุดประโยคที่ราวกับเป็นการถามตัวเองออกมา
“—เพื่อความแน่ใจ…”
นั่นหมายความว่ายังไงกันแน่?
ดูเหมือนจะเป็นคำถาม และการยืนยันอะไรบางอย่างกับตนเอง
ถ้าราชาสวรรค์ทั้งหมดอยู่ตรงนี้ หนึ่งในพวกเขาคงตั้งคำถามถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของจอมมารเป็นแน่
แต่ที่ตรงนี้มีเพียงแค่จอมมารยืนอยู่
เป็นเพราะไม่มีผู้ใดอยู่ที่แห่งนี้ ก่อนหน้านี้จอมมารจึงเอ่ยประโยคนั้นออกมา
ราวกับว่าเขาอดไม่ได้ที่จะพูดความลับซึ่งไม่มีใครรู้ออกมา
“นี่คือความสงบ ที่ข้าตามหาสินะ”
คำพูดได้หลุดออกมาอีกครั้ง
สายลมได้พัดพาประโยคอันน่าเศร้าออกไป
ไม่มีใครได้ยินและเข้าใจมัน
เขาได้ยินเสียงของปีศาจมาจากระยะไกล
แม้ว่ามันจะเป็นเสียงที่มีแต่พวกที่ไม่ใช่มนุษย์ – หรือปีศาจได้ยินก็ตาม
มันเป็นเสียงกรีดร้องของปีศาจที่เข้าจู่โจมมนุษย์จากระยะไกล
เห็นได้ชัดเลยว่า ตอนนี้การยึดครองโลกได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
มันคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยาวไกล ยาวออกไปอย่างไม่รู้จบ…
จอมมารเหม่อลอยไปอีกครั้ง
ช่วงเวลาแห่งสงครามได้มาถึงแล้ว