Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ - ตอนที่ 46 Last Scene
ชายคนหนึ่งผู้ยืนอยู่บนสนามรบ
ชายผู้ซึ่งไม่อาจทราบอายุได้ ผู้ซึ่งมีสายตาอันเฉียบคม และสวมใส่ชุดคลุมสีดำที่ขาดวิ่น
เขาจับจ้องไปยังเด็กหญิงทั้งสองผู้ยืนอยู่ตรงหน้า
เด็กหญิงผู้น่าสงสารซึ่งถูกโชคชะตาเล่นตลก พวกเธอผู้ที่เฝ้ามองและได้รับการอวยพรจากดวงจันทรา
ถ้าให้อธิบายเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ด้วยคำๆเดียวก็คือ มันช่างประหลาด
ดูเหมือนสถานที่แห่งนี้กำลังมีการก่อสร้างอะไรบางอย่าง เห็นได้ชัดจากดินและท่อนไม้ที่ถูกขนย้ายมา หรือนั่งร้านที่ตั้งทิ้งไว้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีสัญญาณของผู้ที่กำลังสร้างพวกมันอยู่ มีเพียงความว่างเปล่า ราวกับที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างระหว่างการทำงาน
ผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นี่
มันเป็นฉากที่แสดงถึงข้อเท็จจริงนั้นได้อย่างชัดเจน
――ชายคนนั้นพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“พวกเจ้า…เป็นคนจัดการลูกน้องทั้งหมดของข้างั้นรึ? ทำได้ถึงขนาดนี้ด้วยร่างกายที่เล็กจ้อยนั่น ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับข้าจริงๆ”
ชายคนนั้นพูดออกมาอย่างสนุกสนาน
เสียงทุ้มและนุ่มลึกของเขา ฟังดูราวกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินไปกับการสนทนา แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้แสดงถึงความเกลียดชัง หรือชื่นชมออกมา
“แต่… นั่นคือเหตุผลที่ข้าจะต้องให้พวกเจ้าตายลงที่นี่ เพราะนั่นคือข้อตกลง”
เกม RPG : Brave Quest
บอสตัวสุดท้าย: จอมมาร
ชายคนนี้คือจุดหมายปลายทางของการเดินทางแห่งความเศร้าโศกที่พี่น้องเอลเฟอร์ต้องแบกรับ
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ากำจัดพวกนั้นได้ยังไง แต่พวกเจ้าไม่สามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย”
โลกบิดเบี้ยวไปพร้อมกับประโยคนั้น
พลังเวทย์ที่ลอยอยู่ในอากาศได้เกิดการแปรปรวนและวนเวียนอยู่รอบกายของชายผู้นั้น
จากนั้นมันก็กลายเป็นเสื้อคลุมสีดำและสร้างการป้องกันที่สมบูรณ์แบบ
สีหน้าของชายคนนั้นที่เห็นได้ชัดก่อนหน้านี้เริ่มกลายเป็นเลอะเลือน
มันแสดงให้เห็นถึงสนามพลังที่ไม่อาจรุกล้ำซึ่งแข็งแกร่งมากจนทำให้แสงและช่องว่างบิดเบือน
=ข้อความ=============
จอมมารได้สร้างบาเรียแห่งความมืด!
―――――――――――――――――
แต่…….
=ข้อความ=============
พลังของผู้กล้าจะเอาชนะความมืด!
บาเรียแห่งความมืดหายไปแล้ว!
―――――――――――――――――
ร่างของแฝดสาว――พี่น้องเอลเฟอร์ปล่อยแสงจางๆออกมาทันที
และในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงที่ราวกับวัตถุแตกหักดังออกมา จากนั้นบาเรียที่อยู่รอบๆตัวจอมมารก็แตกสลายลงราวกับเศษแก้ว
ใบหน้าของชายผู้ที่ถูกปิดบังด้วยบาเรียสีดำได้แสดงออกถึงความประหลาดใจ
“เทคนิคนั่น…เป็นพลังที่ตื่นขึ้นของผู้กล้านี่? หมายความว่ายังไงกัน? มันไม่ควรจะมีผู้กล้าอยู่บนโลกนี้ไม่ใช่รึ….ถ้าตามสัญญานั่น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เป็นครั้งแรกที่จอมมารรู้สึกสับสน
ต่อให้เขานึกย้อนกลับไปในความทรงจำอันไร้ขีดจำกัดนั้น ก็พบว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ปลดปล่อยบรรยากาศแบบนี้ได้
คนคนนั้นก็คือ ผู้กล้า
บาเรียแห่งความมืดที่ปัดป้องการโจมตีได้ทุกประเภท
ต้องขอบคุณพลังนี้ ที่ทำให้เขาสามารถเขย่าขวัญคนทั้งโลกได้ และก็มีเรื่องเล่าขานกันมาว่า มีเพียงผู้กล้าเท่านั้นที่สามารถปราบจอมมารลงได้
เรื่องราวเหล่านั้น…กฎอันเด็ดขาดที่เขารู้จักได้พลังทลายลงต่อหน้าต่อตา
จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่จอมมารรู้สึกสับสน
“ใครให้พลังนั้นกับพวกเจ้ากัน? อะไรที่ให้พลังของผู้กล้ากับพวกเจ้า?”
เด็กหญิงทั้งคู่ไม่ตอบกลับ
เพียงแค่ก้าวออกมาอย่างเงียบงัน
พวกเธอไม่เข้าใจภาษาที่เขาใช้? หรือว่าแค่ไม่อยากจะเสียเวลาพูดคุยกันแน่?
จอมมารหัวเราะออกมาเล็กน้อย พร้อมกับจดจำได้ว่า ผู้กล้าที่เขารู้จักก็เป็นคนไม่ค่อยพูดเช่นกัน
“ไม่เป็นไร…ช่างมันเถอะ ข้าก็แค่ต้องทำลายมันให้หมด ตามที่ตกลงกันไว้เท่านั้น”
และบรรยากาศรอบๆตัวจอมมารก็เปลี่ยนไป
จากการคุยเล่นเปลี่ยนไปสู่โหมดต่อสู้ จากชายที่ดูซอมซ่อกลายเป็นจอมมาร
…ไม่ใช่แค่บรรยากาศที่เปลี่ยนไปเท่านั้น ร่างกายของเขาเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลง และเริ่มพองตัวขึ้น
ชุดของเขาฉีกขาด และดาบจำนวนนับไม่ถ้วนได้งอกออกมาจากร่างของเขา
ร่างของเขาค่อยๆขยายขึ้นจนแทบจะเท่ากับบ้านหลังใหญ่ และดูเหมือนมันจะไม่หยุดลงแค่นั้น
“…แปลกรึเปล่าที่เปลี่ยนร่างตั้งแต่เริ่ม? หรือพวกเจ้าอยากจะสู้กันเป็นขั้นๆแบบในเกมล่ะ? ในโลกใบนี้ พวกกฏเกณฑ์และข้อจำกัดต่างๆได้หายไปแล้ว ไม่มีใครมาบ่นได้ว่านี่มันไม่งดงามหรอกนะ”
เสียงแบบเดียวกับชายก่อนหน้านี้ได้ถูกเปล่งออกมาจากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ตรงหน้า และดวงตาสีแดงฉานของมันก็เปล่งประกาย
ร่างของจอมมาร….เป็นส่วนผสมของความขัดแย้งทั้งหมดบนโลก
มันไม่ใช่แค่การเปรียบเทียบ
ร่างกายของมันประกอบไปด้วยซากศพที่ขยับไปมา ดาบและขวานจำนวนนับไม่ถ้วน แม้แต่เกราะของมันก็ถูกสร้างขึ้นมาจากชุดเกราะและโล่ห์จำนวนมาก ทุกอย่างถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นชุดเกราะขนาดยักษ์
อสูรสี่ขาที่เป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้ง นั่นคือร่างที่แท้จริงของจอมมาร
ดวงตาขนาดใหญ่ที่โผล่ออกมาจากกองซากศพและโลหะ จับจ้องมายังพี่น้องเอลเฟอร์
ใบมีดและดาบจำนวนมากที่อยู่บนร่างของมันบิดเบี้ยวไปมาราวกับมีชีวิต
ข้อจำกัดที่อยู่ใน Brave Quests และข้อจำกัดของโลกใบนี้
จอมมารได้ทำการตรวจสอบยืนยันข้อจำกัดเหล่านั้นเรียบร้อย เขาตัดสินใจที่จะกำจัดเด็กหญิงทั้งสองด้วยพลังทั้งหมดที่มี
สัญชาติญาณและสัมผัสพิเศษของเขาในฐานะจอมมารกำลังบอกให้เขาระมัดระวัง
มันกำลังเตือนเขาว่า…อย่าประเมินเด็กหญิงพวกนี้ต่ำไป
พวกมันคือตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวในร่างของเด็ก…
“บางที…การฆ่าพวกเจ้าอาจจะเป็นบททดสอบของข้าก็ได้”
ดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยกันอีกแล้ว
การพูดคุยจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับ
โชคร้ายที่ดูเหมือนเด็กทั้งสองจะไร้ซึ่งหูไว้รับฟัง ทั้งคู่ต่างก็เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
ต่อให้เขาเข้าใจถึงเรื่องนั้นดี แต่จอมมารก็ยังจำได้ว่าเขามีบางสิ่งที่อยากจะเอ่ยออกมา
ในที่สุด ราวกับว่านี่เป็นสัญญาณเริ่มของการต่อสู้ จอมมารผู้โดดเดี่ยวได้ถามคำถามออกมา
“ก่อนจะสู้กัน…ข้าขอถามอะไรสักอย่าง”
—มอนสเตอร์ทั้งหมดต่างถูกเข่นฆ่า พวกมันลืมที่จะมีชีวิต และถูกกลืนกิน
และสุดท้าย ผู้เดียวที่เหลืออยู่ก็คือจอมมาร เขาถามถึงบางสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา
“พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?”
“ของแบบนั้นมันไม่มีจริงหรอก”
เด็กทั้งสองตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
=ข้อความ=============
จอมมารปรากฎตัว!
―――――――――――――――――
เหล่าผู้ที่ได้สูญสิ้นลง
เหล่าความทรงจำที่ได้ผ่านพ้นไป
การต่อสู้เพื่ออดีตที่ไม่อาจหวนคืนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
◇ ◇ ◇
คำที่ว่า ‘ต่อสู้อย่างดุเดือด’ อาจจะมีไว้เพื่ออธิบายการต่อสู้นี้ก็เป็นได้
มีเรียและซีเรียหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง และผสานการโจมตีใส่จอมมาร และจอมมารเองก็ทำการป้องกันด้วยพลังของเขา
“ใบมีดเอ๋ย! จงฆ่าพวกมันซะ!”
อาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากด้านหลังของจอมมาร
อาวุธพวกนั้นถูกยิงขึ้นไปบนฟ้า และตกลงมาใส่พี่น้องเอลเฟอร์
จากมุมมองของผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย การโจมตีนี้ราวกับเป็นความตายที่ตกลงมาจากฟากฟ้า
จำนวนของพวกมันมีมากเกินกว่า 100 เล่ม และทุกๆเล่มต่างก็มีความแม่นยำสูง
อย่างไรก็ตาม คู่ต่อสู้ไม่ได้มีถึง 100 คน
ในทางกลับกัน ต่อให้พวกเธอเพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้ แต่พวกเธอก็คือ…แม่มด
หนึ่งในภัยพิบัติของทวีปไฮดราเกีย
ณ จุดๆนี้ การยั้งมือนั้นไม่จำเป็น
“ฮ่าฮ่าฮ่า! สวยจังเลย!”
ดวงตาของมีเรียเปล่งประกาย เธอยิ่นมือขึ้นไปบนฟ้า
มีสัญลักษณ์เรืองแสงปราปฎขึ้นในตา ทำให้อาวุธทั้งหมดที่เล็งเป้ามายังทั้งคู่ต่างลืมเลือนตัวตนของมันเอง
“ซีเรีย!”
“…เข้าใจแล้ว พี่!”
และจากนั้น ดวงตาของซีเรียก็เรืองแสงออกมา
ในขณะเดียวกัน พื้นที่บริเวณเท้าของจอมมารก็เริ่มสั่นสะเทือน และทำให้เขาเสียสมดุล
“คึ– โอหัง!”
เลเวลกับพลังป้องกันของจอมมารสูงมาก ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถโจมตีเขาโดยตรงได้
สกิลของสองแฝดอย่าง <<แพร่โรคระบาด>> และ <<แพร่ความโง่เขลา>> เป็นสกิลที่ทรงพลัง แต่มันมีข้อเสียอยู่ก็คือ ถ้าอีกฝ่ายมีระดับสูงกว่า จะไม่สามารถใช้ความนี้ได้
ถึงแม้ว่ามันจะมีความสามารถในการสังหารศัตรูระดับต่ำได้ในทันที แต่การจะใช้กับศัตรูที่ทรงพลังก็ยังต้องใช้เวลา
กล่าวเพิ่มเติมก็คือ มันยังมีช่องว่างระหว่างความสามารถของพวกเธอกับความสามารถในการฟื้นฟูของจอมมารอยู่
จอมมารที่ได้เห็นความสามารถของฝาแฝดผ่านดวงตาสังเกตุการณ์ก่อนหน้านี้ ตัดสินใจที่จะใช้การโจมตีซึ่งอยู่นอกระยะของพวกเธอตั้งแต่เริ่ม
ยิ่งไปกว่านั้น พลังในการฟื้นฟูของเขายังสามารถฟื้นฟูความเสียหายที่เขาได้รับได้อีกด้วย
แน่นอนว่าการโจมตีทั้งหมดของจอมมารต่างก็ถูกสกิลของมีเรียหยุดเอาไว้ได้ จึงถือได้ว่าสถานการณ์การต่อสู้ตอนนี้ยังคงสูสี
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ซีเรียถึงทำให้บริเวณพื้นที่จอมมารยืนอยู่เน่าเปื่อยเพื่อทำให้เขาเสียสมาธิไปชั่วขณะ
ใช่แล้ว ทั้งหมดก็เพื่อบีบบังคับให้เขาต้องเข้ามาต่อสู้ในระยะประชิด
ทั้งคู่ซึ่งไม่มีอาวุธต่างก็คิดแบบเดียวกัน…
=ข้อความ=============
พี่น้องเอลเฟอร์ได้ครอบครองอาวุธของจอมมาร
…..อาวุธของจอมมารต้องคำสาป!
―――――――――――――――――
อาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนถูกยิงออกมาอีกครั้ง พวกเธอกลิ้งไปบนพื้น และรีบคว้าอาวุธที่ตกอยู่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
มีเรียหยิบได้ดาบคู่ ส่วนซีเรียได้ง้าว
จากนั้น…
=ข้อความ=============
มีเรีย 《แพร่ความโง่เขลา》!
อาวุธของจอมมารลืมว่าตัวเองต้องคำสาป!
―――――――――――――――――
กับดักอาวุธต้องสาปไร้ผล
“ควบคุมส่วนหนึ่งของข้าได้ด้วยสินะ? ช่างอวดดี! โอหังอะไรเช่นนี้! นั่นแค่การทดสอบดูเท่านั้นแหละ!”
พื้นดินได้แตกออก และเด็กหญิงทั้งสองต่างพุ่งไปด้านหน้า
เหล่าอาวุธที่ถูกยิงออกมาเพื่อขัดขวางพวกเธอต่างก็หายไปในพริบตาเดียว จอมมารเสียสมดุลระหว่างที่พยายามป้องกันการโจมตีของพวกเธอ
แต่จอมมารก็ยังไม่แพ้
เขาต้อนรับพวกเธอด้วยกรงเล็บที่สามารถฉีกกระชากโลหะได้อย่างง่ายดาย
การโจมตีที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
จอมมารไม่สามารถหนีไปไหนได้
ต่อให้มันเป็นไปได้ เขาก็ไม่มีเจตนาที่จะหลบหนี
การต่อสู้เริ่มเอนเอียงมาทางฝั่งพี่น้องเอลเฟอร์
ร่างของจอมมารได้เปลี่ยนไปเป็นขั้นสุดท้ายตั้งแต่เริ่มแล้ว
เขาไม่มีไพ่ตายเหลืออีกต่อไป และไม่มีทางที่จะพลิกสถานการณ์นี้กลับมาได้เลย
ต่อให้เขาจะได้เวทมนตร์ดีบัฟเพื่อลดความสามารถของศัตรู แต่มันก็เปล่าประโยชน์ การโจมตีของเขาไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ในทางกลับกัน การโจมตีระยะประชิดของอีกฝ่ายช่างเต็มไปด้วยการทำลายล้าง
ความพ่ายแพ้เริ่มเข้าครอบงำจิตใจของเขา นั่นหมายความว่าเขาจะตกลงสู่ความว่างเปล่าชั่วนิรันดร์
“ข้าจะไม่แพ้! พระเจ้าอยู่ข้างข้า! ข้าจะแพ้ในที่แบบนี้ไม่ได้! ข้าคือผู้ถูกเลือก!”
จอมมารตะโกนออกมา
เขาตะโกนร่ำร้องถึงพระเจ้าผู้ที่นำพาเขามายังโลกใบนี้ เพื่อเป็นการทำให้จิตใจสงบ
ช่างน่าขันที่ตัวตนผู้นำพาความมืดมิดมายังโลกใบนี้จะพร่ำเพ้อถึงพระผู้เป็นเจ้า
“มันช่างสงบสุข! ยิ่งกว่านั้น ความสงบสุขที่ข้าตามหาอยู่ที่นี่แล้ว! ข้าจะก้าวข้ามบททดสอบของพระองค์!”
กลับกลายเป็นว่าทั้งหมดที่เขาต้องการคือความสงบสุข นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน
อิสลา ราชาเพลิงสวรรค์ที่ตายตามกันไป และจอมมาร ต่างต้องการในสิ่งเดียวกัน
ทำไมพวกเขาถึงถูกเรียกตัวมายังโลกใบนี้? ทำไมพวกเขาถึงมีความรู้สึกนึกคิด?
จะมีความสุขแค่ไหนหากพวกเขาไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก และยังใช้ชีวิตโดยการที่เป็นเพียงแค่ข้อมูลในเกมต่อไป?
จอมมารจำเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเขามายังโลกใบนี้ได้
เขามองเห็นโลกสีขาวที่ไร้จุดสิ้นสุด และตอนนั้นเอง เขาก็ได้เห็นตัวตนผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง ผู้ที่ทำให้เขาตระหนักได้ว่าตนเองช่างเล็กจ้อยเพียงใด
จากนั้น ความจริงของโลกก็ได้บอกแก่เขา
ใช่แล้ว-พระเจ้ามีอยู่จริง
ตัวตนนั้นปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา และได้เอ่ยออกมา
ประโยคเหล่านั้นคือคำสัญญา…จอมมารจึงไม่ลังเลที่จะทำการยึดครองโลกใบนี้ เพราะพระเจ้าได้ให้คำสัญญาแก่เขา
ต่อให้รู้อยู่แล้วว่าเขาทำได้แค่ทำตามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้เท่านั้น แต่ครั้งนี้ เขาสามารถเลือกได้ด้วยตัวเอง
เพื่อความสงบสุขอันเป็นนิรันดร์ที่ตัวตนผู้เป็นพระเจ้าหยิบยื่นให้
เพื่อพิสูจน์ตนเอง ว่าเขา ผู้ที่เป็นเพียงตัวละครในเกม มีเจตจำนงเป็นของตนเอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า! พระเจ้ามีจริงหรอ? ไม่จริงหรอก! ที่ไหนก็ไม่มีพระเจ้าทั้งนั้น! โลกใบนี้มันโหดร้าย!”
“คำก็พระเจ้า สองคำก็พระเจ้า พูดมากจริงนะ ร้องโหวกเหวกโวยวายอยู่นั่นแหละ หุบปากไปซะ”
แม่มดทั้งสองต่างตอบกลับด้วยท่าทีขยะแขยงต่อความปรารถนาของจอมมาร
พวกเธอต่างไม่สนใจความปรารถนาของเขา
“พระเจ้า! พระเจ้ามีจริง! พระเจ้าจะมอบความสงบสุขให้! พระองค์เข้าใจความทุกข์ทรมานของพวกเรา! นั่นคือสัญญา! ข้ามาอยู่ตรงนี้เพื่อพิสูจน์มัน!”
จอมมารตะโกนออกมา
พระองค์มีเมตตา จงสารภาพบาปต่อพระองค์ ภาวนาต่อพระองค์ จงเผยพระวจนะของพระเจ้า
ภาพของช่วงเวลาเหล่านั้นได้แล่นไปมาในหัวของจอมมาร
ชายผู้ดูซอมซ่อ กับความทะเยอทะยานที่กำลังพังทลายลง
เพราะเด็กหญิงสองคนนี้ ความปรารถนาของเขากำลังจะหายไปเพราะพวกเธอ
“ข้าสามารถคว้าอิสรภาพมาไว้ในมือได้ ข้าจะเป็นอิสระ และไปยังโลกที่ไร้ซึ่งการต่อสู้! ออกไปจากโลกที่ถูกปิด! ออกไปนอกเกมบ้าๆนี่!”
จอมมารตะโกนออกมาอีกครั้ง
“จงภาวนาซะสิ หากเจ้าศรัทธา! พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่จักตอบรับ!”
–เด็กหญิงทั้งสองที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นต่างกลอกตา ราวกับมองขยะที่กองอยู่พื้น
พวกเธอรู้ดี
มันไม่มีทั้งความฝันหรือความหวังอยู่บนโลกใบนี้
ทุกๆคนต่างถูกเกลียดชัง เพราะยิ่งพวกเธอเชื่อมันมากเท่าไหร่ พวกเธอจะยิ่งถูกหักหลังโดยมันมากเท่านั้น
สิ่งเดียวที่เชื่อได้ก็คืออดีต
พวกเธอเชื่อเพียงว่า หากมีใครทำดีกับพวกเธอ พวกเขาจะถูกพรากไปเพราะความใจดีนั้น
จิตใจของพวกเธอ พละกำลัง ร่างกาย ความปรารถนา และแนวคิด ต่างก็เป็นเพราะอดีตที่ผ่านมา
ด้วยความเศร้าโศกเสียใจต่อผู้ที่ตาย และหายไป พวกเธอได้บ้าคลั่ง และพังทลายภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องกระทบ และก้าวเดินต่อไป
“หากเจ้าถวายโลกให้พระองค์ พระองค์จะบันดาลให้เจ้าได้ทุกสิ่ง! พระเจ้าของพวกเจ้าคือผู้ใด? พวกเจ้าเชื่อในอะไรงั้นรึ!?? จงเอ่ยนามของพระเจ้าที่พวกเจ้าบูชามาซะ!”
“พระเจ้าไม่มีจริง”
ทั้งคู่ตอบกลับไปอีกครั้ง พระเจ้าไม่มีอยู่จริง
ตัวตนที่สะดวกสบายอะไรแบบนั้นไม่มีจริงหรอก
มีชั่วขณะที่รอยยิ้มอันอ่อนโยนของราชาได้แวบเข้ามาในหัว แต่พวกเธอก็สลัดมันออกไป
ทั้งคู่รู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอก
ดวงจันทร์กำลังส่องแสงอย่างงดงาม
◇ ◇ ◇
ในที่สุด การต่อสู้ก็จบลงตามที่คาดไว้
ความสามารถในการต่อสู้ของจอมมารไม่อาจเทียบกับสองแฝดที่ได้รับการเสริมพลังจนถึงขีดสุดได้
มันคือข้อเท็จจริง ที่ไม่มีของอย่างปาฏิหาริย์ใดๆมาหักล้างได้
หากความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาไม่ห่างชั้นกันขนาดนี้ เรื่องราวคงจะต่างออกไป
แต่…นั่นไม่ใช่ประเด็น
เกมเองก็ถือได้ว่าเป็นโลกใบหนึ่ง
มันให้ความบันเทิงแก่ผู้คนมากมาย เรื่องราวที่พลิกผันไปมา สร้างความประทับใจและตื่นเต้นให้กับผู้คนจำนวนมาก
เกม RPG ‘Brave Quest’ ได้สร้างสถิติและตำนานมากมาย แถมยังถูกเรียกขานว่าเป็นเกม RPG ระดับมาสเตอร์พีซตลอดกาล มันยังคงถูกนำมาสร้างใหม่เรื่อยๆ และมีแฟนคอยตามอย่างเหนียวแน่น
จอมมารผู้เป็นบอสตัวสุดท้ายในตอนจบ
โชคไม่ดีที่จอมมารไม่เคยพบจุดจบที่ดีเลยสักครั้ง และยิ่งกว่านั้นคือ เขามักจะอยู่อย่างเดียวดาย
“อ่า มันกำลังสลายไป ทั้งความฝัน ความหวัง…ต่างก็หายไปจนหมด”
ร่างของเขาพลังทลาย อาวุธต่างเสื่อมสลาย แต่ถึงอย่างนั้น จอมมารก็ยังคงมีชีวิตอยู่
ฝาแฝดทั้งสองต่างหมดความสนใจในตัวของจอมมารแล้ว พวกเธอได้มองขึ้นไปยังดวงจันทร์
การต่อสู้จบลงแล้ว
พวกเธอไม่รู้สึกเสียใจให้กับผู้ที่พ่ายแพ้
แต่…ต่อให้พี่น้องเอลเฟอร์จะถือว่าการต่อสู้ได้จบลงแล้วก็ตาม แต่สำหรับจอมมาร มันยังไม่จบ
“ไม่ได้…ข้าจะไม่ตาย ตราบใดที่ความปรารถนานี้ยังอยู่ ขอสาบานในนามของพระองค์…ข้าจะไม่ตาย!”
บางครั้ง เจตจำนงที่แข็งแกร่งก็สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้
บางครั้ง เหตุการณ์ที่ไม่ควรพลิกผันก็อาจจะถูกบังคับให้เปลี่ยนไปได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามันถูกกำหนดโดย…เหตุการณ์เอง
เนื่องจากระบบไม่ได้พิจารณาว่ามันเป็นวัตถุ
=ข้อความ=============
เจตจำนงที่แข็งแกร่งได้สนับสนุนจอมมาร
บาดแผลของจอมมารหายในพริบตา!
―――――――――――――――――
พลังที่ตื่นขึ้นในยามคับขัน
อาจเป็นเรื่องที่ซ้ำซากและธรรมดาอย่างถึงที่สุด
อย่างไรก็ตาม เพราะปรากฏการณ์แบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ถึงโลกใบนี้จะโหดร้าย แต่ในขณะเดียวกันก็เท่าเทียม
หากเด็กหญิงผู้น่าสงสารได้รับพลังใหม่จากความเกลียดชังและเศร้าโศก
บางที จอมมารเอง ก็อาจได้รับพลังใหม่จากความปรารถนาและความหวังเช่นกัน
“โอ้! สุดท้ายแล้ว ข้าจะไม่จบลงตรงนี้สินะ! พระองค์ทรงรักข้า!”
พลังเวทย์แบบใหม่ได้เข้าห่อหุ้มรอบตัวของจอมมาร และเปล่งแสงออกมาอย่างรุนแรง
เป็นแสงที่ช่างรุนแรงและสูงส่ง
ดวงตาเฉียบคมของเขา จ้องไปยังเด็กหญิงทั้งสอง
“พระองค์เฝ้ามองข้าอยู่! พระองค์จะอวยพรให้ข้าได้รับชัยชนะ!”
จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมาเสียงดัง เอ่ยนามของพระเจ้าที่เชื่อ และมอบความฝันเหล่านั้นให้แก่เขา
“จงฟัง! พระเจ้าของข้ามีนามว่า —-”
=■■■■■============
ห้ามเอ่ยนามของพระเจ้าโดยเปล่าประโยชน์
―――――――――――――――――
“—-เอ๋?”
ทันใดนั้น มีใครบางคนบินลงมาจากบนฟ้า
ผู้ที่ไม่ใช่ทั้งฝ่ายของจอมมาร หรือพี่น้องเอลเฟอร์ ฝ่ายที่สาม ผู้ซึ่งไม่ได้รับเชิญ
แสงสีเงินพุ่งตรงมา พร้อมกับเสียงของโลหะที่ดังก้อง
เส้นแสงในแนวตั้งได้พุ่งผ่านร่างของจอมมารอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งกว่าเศษฝุ่นที่ปลิวอยู่ในอากาศ
ในเสี้ยววินาทีที่มันเกิดขึ้น พี่น้องเอลเฟอร์ต่างรีบเว้นระยะห่างออกมาจากฉากตรงนั้น พวกเธอใช้สายตาอันเฉียบคมจับจ้องไปยังจอมมารที่เริ่มจะเสียหลัก
““…………””
อดีตศัตรูของพวกเธอได้ถูกผ่าครึ่งออกเป็นสองส่วนจากตรงกลาง
รอยตัดนั้นดูเรียบอย่างไม่น่าเชื่อ
ร่างของเขาถูกตัดออกเป็นเส้นตรง จนราวกับใช้ไม้บรรทัดวาง โดยที่ไม่มีส่วนอื่นเสียหายเลยแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าการโจมตีนั้นจะพุ่งผ่านร่างกายที่แข็งแกร่งของจอมมาร แต่ไม่มีการใช้แรงไปอย่างสูญเปล่า และแทบจะไม่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมแม้แต่นิดเดียว
ที่จริง ร่างที่ราวกับสร้างจะเหล็กกล้า ศพๆนั้น ยังคงยืนอยู่ ณ จุดเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเริ่มเห็นได้ชัดเมื่อเวลาผ่านไป
จนในที่สุด ร่างของจอมมารก็ได้แยกออกจากกันไปทางซ้ายและขวา ค่อยๆล้มลงบนพื้น และกลายเป็นกองเหรียญทองคำ จำนวนนับไม่ถ้วน
=ข้อความ=============
จอมมารถูกกำจัด!
กองทัพจอมมารแห่ง Brave Quest ถูกทำลาย!
―――――――――――――――――
ทั้งคู่สบตากันเพื่อยืนยัน จากนั้นจึงมองกลับไปอีกครั้ง
เป็นการขัดจังหวะอย่างยิ่งใหญ่
ช่างสมบูรณ์แบบ
มาในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ
เขาบินเข้ามา และจัดการจอมมาร
น่าแปลก จังหวะเวลามันเหมาะเจาะซะจนราวกับว่ามีใครกำลังวางแผนสอดมือเข้ามา และสังหารจอมมารจากเบื้องหลัง
คนๆนั้นเป็นใคร? มีจุดประสงค์อะไร? และทำไปทำไม?
“…ใครกัน?”
“..ทำไมถึงมาขวางพวกเรา?”
เมื่อฝุ่นควันหายไป มีชายคนหนึ่งยืนอยู่บริเวณนั้น
เขาดู…มีอายุไม่มากนัก ดูเผินๆก็น่าจะแก่กว่าพวกเธอประมาณ 4-5 ปี เท่านั้น
เขาเป็นชายหนุ่ม ผู้ถืออาวุธโค้งคมเดียว ซึ่งส่องประกายงดงามภายใต้แสงจันทร์ และสวมใส่ชุดสีดำที่ดูต่างไปจากทุกอารยธรรมใดที่พวกเธอเคยเห็น
เขาดูไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงเหวี่ยงอาวุธเพื่อสะบัดเอาเลือดที่ติดอยู่ออก และเก็บมันเข้าไป
ดวงตาของสองแฝดต่างจับจ้องไปยังชายคนนั้น
นอกจากความสับสน และระมัดระวังแล้ว ยังมีความเกลียดชังอยู่ในดวงตาของพวกเธอด้วย
จอมมาร…คือศัตรูหลักของพวกเธอ
ทั้งคู่ต่างก็สูญเสียแม่คนที่สอง และตั้งจที่จะทำลายศัตรูทั้งหมดที่เป็นสาเหตุ
แต่เดิมพวกเธอเป็นเพียงคนธรรมดาที่ถูกดึงเข้ามาเพราะอีเว้นท์บังคับ ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเธอรู้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับกองทัพของจอมมารจาก Brave Quest
ถึงอย่างนั้น ด้วยสัมผัสในฐานะ 《ฮีโร่》ที่ได้รับการสืบทอดมาจากอิสลา ความสามารถ 《ผู้กล้า》ที่ได้รับการปลุกพลังขึ้น ทำให้พวกเธอค้นพบความจริงเบื้องหลังโศกนาฏกรรมที่ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น พวกเธอจึงเข้าใจว่าจอมมารคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
พวกเธอได้ใช้พลังนี้เพื่อเอาชนะการต่อสู้เพื่ออิสลาที่ตายไป
ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ไร้ซึ่งพลัง ตอนนี้พวกเธอมีพลังมากพอแล้ว
ไม่มีใครสามารถเข้ามาขวางได้ทั้งนั้น นี่คือพลังที่จะมากพอจะทำลายโลก และไม่มีใครจะสามารถหยุดมันได้
พวกเธอคิดว่า หากพวกเธอสามารถจัดการกับศัตรูของแม่ได้แล้ว ความว่างเปล่าและรูโหวงในจิตใจของพวกเธอจะได้รับการบรรเทา
แต่โลกใบนี้จะไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้นเชียวหรอ?
ความโกรธเกรี้ยวของพวกเธอกำลังปะทุขึ้น อารมณ์ของพวกเธอทำให้บรรยากาศรอบๆตัวบิดเบี้ยว ราวกับหมอกควันที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของปีศาจจากขุมนรก…
“อาเร้ะ…ผมทำอะไรผิดหรอ?”
มีเพียงประโยคเดียวที่ตอบกลับมา