Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 83 นี่ท่านกำลังขอข้าแต่งงานหรือคะ
“ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดมาแล้วเพคะ ฝ่าบาท”
แม้แพทริเซียไม่ได้พูดอะไร ประตูก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ ขณะนั้นแพทริเซียกำลังเรียบเรียงความคิดพลางจิบชาเปเปอร์มินต์ที่นางชอบอยู่ในห้องรับรองชั้นสูงที่เก็บเสียงได้ดีที่สุด
“ถวายบังคมพระจักรพรรดินี จันทราแห่งจักรวรรดิ” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกล่าวแสดงความเคารพ
“…มาแล้วหรือ ดยุก เชิญนั่งทางด้านนี้”
แพทริเซียปฏิบัติต่อดยุกวีเธอร์ฟอร์ดอย่างสุภาพกว่าปกติ เห็นสีหน้าของจักรพรรดินีดูคล้ายคนมีอะไรในใจ ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็นึกกลัวไปล่วงหน้าและเอ่ยถาม
“มีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ดยุก” แพทริเซียเริ่มกล่าว “เราขอถามตรงๆ เลยก็แล้วกัน ท่านคิดอย่างไรกับดยุกเอเฟรนี”
“…”
เมื่อถูกถามอย่างกะทันหันย่อมเป็นธรรมดาที่จะมิอาจตอบได้ในทันที นางจึงพูดต่ออย่างใจเย็น
“เรื่องที่ท่านกับดยุกเอเฟรนีไม่ถูกกันเป็นเรื่องที่ใครต่อใครต่างก็เล่าลือ เราพูดผิดหรือไม่”
“ฝ่าบาท แม้จะน่าละอาย แต่เป็นเช่นนั้นจริงพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสินะ” แพทริเซียถามอย่างจริงจัง “ดยุก หากเรามีวิธีที่สามารถโค่นดยุกเอเฟรนีลงได้”
“…”
“ท่านจะทำอย่างไร”
“ฝ่าบาท นั่นมันเรื่องอันใด…”
“ตอบเรา เราหมายความตามที่พูด”
นางเสนอทางเลือกให้อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่สูงไม่ต่ำ
“เราให้ท่านเลือก ตอนนี้มีโอกาสที่จะทำลายเขาแล้ว เรามีไพ่ตายอยู่ในมือ”
“…”
“เราต้องการผู้ช่วย หากเป็นไปได้เราก็ไม่อยากให้มือเราต้องแปดเปื้อน”
“เช่นนั้น พระองค์กำลังจะบอกกระหม่อมว่ามีไพ่ตายที่ใช้ทำลายดยุกเอเฟรนีได้…” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกลืนน้ำลายอย่างลำบาก “จึงให้กระหม่อมเลือกใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้ว คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตายมิใช่หรือ” นางหัวเราะเบาๆ พลางกล่าว “ความหมายของเราก็คือแม้ท่านจะปฏิเสธ แต่ความตั้งใจของเราก็ไม่เปลี่ยน”
“…ฝ่าบาท” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยกยิ้ม “เพื่อกำจัดคนผู้นั้นกระหม่อมยินดีทำทุกวิถีทางพ่ะย่ะค่ะ”
ดยุกเอเฟรผู้นี้เกิดในตระกูลบารอนแต่กลับตกถังข้าวสาร[1] เพียงเท่านั้นก็ทำให้ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดผู้ซึ่งเกิดในตระกูลดยุกโดยแท้ไม่ชอบใจแล้ว
แท้จริงแล้วปัญหาที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายเกิดขึ้นหลังจากนั้น ในอดีตดยุกเอเฟรนีได้ลอกเลียนธุรกิจของดยุกวีเธอร์ฟอร์ดและประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ นั่นสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับดยุกวีเธอร์ฟอร์ด ด้วยเหตุนั้นดยุกวีเธอร์ฟอร์ดจึงเกลียดดยุกเอเฟรนีอย่างมาก
“ฝ่าบาท รับสั่งมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสามารถถวายความช่วยเหลืออันใดได้บ้าง”
“…”
แพทริเซียยื่นจดหมายทั้งสิบเจ็ดฉบับให้ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดโดยไม่เอ่ยคำพูดใด เขาถามทางสายตาว่ามันคืออะไรก่อนจะเริ่มอ่านจดหมายช้าๆ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ตกใจมือสั่นเทา
“ฝ่าบาท นี่มัน…”
“ท่านทราบเรื่องในอดีตของฝ่าบาทหรือไม่”
“ทราบพ่ะย่ะค่ะ…”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดตอบอย่างระมัดระวัง ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็พูดขึ้นอีกครั้งอย่างนิ่งขรึม
“ท่านทราบใช่หรือไม่ว่าเรื่องนั้นจะส่งผลกระทบอย่างไร”
“แน่นอน…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เขาเสนอความเห็นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ทว่า แค่จดหมายพวกนี้เกรงว่าจะไม่พอพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“เรารู้ แต่…” แพทริเซียเอ่ยเนิบช้า “ที่จริงแค่จดหมายพวกนี้ก็พอแล้ว ดยุก จักรพรรดินีอลิซาก็ถูกประหารไปแล้ว ดยุกออสวินไม่มีทางออกมาพูดเรื่องนี้ และไม่มีอะไรรับประกันว่าเขารู้เรื่องอย่างละเอียด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงสองคนที่ปรากฏในจดหมายและดยุกเอเฟรนีเท่านั้น การหาหลักฐานคงเป็นเรื่องยาก”
“วิธีที่ดีที่สุดคือกราบทูลต่อองค์จักรพรรดิและนำจดหมายนี้เข้าที่ประชุม…”
“ไม่ใช่แบบนั้นสิ ดยุก” แพทริเซียส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ดูเหมือนท่านกำลังเข้าใจผิดไป นี่มิใช่โทษกบฏ และมิใช่การจาบจ้วงราชวงศ์ จะนำจดหมายนี้ไปให้ฝ่าบาททอดพระเนตรก็ย่อมได้ แต่หากฝ่าบาททรงตัดสินโทษดยุกเอเฟรนีด้วยเรื่องนี้มันก็จะกลายเป็นเพียงการแก้แค้นส่วนพระองค์เท่านั้น ฝ่าบาทจะกลายเป็นทรราช ท่านอยากให้เป็นเช่นนั้นหรือ”
“เช่นนั้นพระองค์อยากให้เรื่องดำเนินต่อไปอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“วิธีที่ดีที่สุดคือให้ดัชเชสเอเฟรนีเป็นคนจัดการดยุกเอเฟรนี แทนที่จะเป็นฝ่าบาท ที่จริงเพียงเท่านี้ก็กำจัดเขาได้อย่างสิ้นซากแล้วมิใช่หรือ” แพทริเซียยิ้มและพูดต่อ “และหากมันกลายเป็นที่โจษจันในหมู่ชนชั้นสูงด้วยก็ไม่เลว จริงหรือไม่”
“เช่นนั้นกระหม่อมจะถวายความช่วยเหลือพระองค์ได้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เราได้ยินมาว่าดัชเชสวีเธอร์ฟอร์ดเป็นคนกว้างขวางในวงสังคม”
“เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ…”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย แพทริเซียฉีกยิ้มแช่มช้า จุดเริ่มต้นของความวิบัติคือข่าวลือ
“นำเรื่องนี้ไปสร้างข่าวลือ ท่านเองก็น่าจะรู้ ยิ่งลือกันไปไกลเท่าใด เรื่องราวย่อมถูกบิดเบือนให้รุนแรงยิ่งขึ้นเท่านั้น”
“กระหม่อมเข้าใจในพระราชประสงค์ ทว่า พระองค์จะกราบทูลองค์จักรพรรดิและบอกดัชเชสเอเฟรนีอย่างไร…”
“เลดี้โกรเชสเตอร์จะจัดการเรื่องดัชเชสเอง ส่วนฝ่าบาท…”
ข้าจะบอกเขาด้วยตัวเอง เรื่องทั้งหมดจะต้องจบ ใครเป็นคนผูกปม คนนั้นก็ต้องเป็นคนแก้
“ให้เป็นหน้าที่ของเราเถอะ ดยุกวีเธอร์ฟอร์ด”
ใช่แล้ว ตอนนี้ดูเหมือนจะถึงเวลาที่มันจะต้องจบลงจริงๆ เสียที
***
“หมู่นี้เราพบกันได้ยากขึ้นหรือเปล่าครับ”
รอธซีกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เปโตรนิยาหัวเราะเบาๆ นางรู้สึกว่าปฏิกิริยาของเขาดูน่ารักอย่างประหลาด
“ขอโทษค่ะ โร ช่วงนี้ข้ามีงานสำคัญ…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ แต่…” รอธซีจุมพิตที่หน้าผากเปโตรนิยาเบาๆ และกระซิบ “ช่วงนี้ข้าคิดถึงนิลมากจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยครับ”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
เมื่ออีกฝ่ายแสดงความรักอย่างตรงไปตรงมา เปโตรนิยาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา นางส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่านางห้ามผู้ชายคนนี้ไม่อยู่จริงๆ
“คำพูดแบบนั้นไปเรียนมาจากไหนคะ”
“ท่านพ่อท่านแม่ท่านชอบบอกกันแบบนี้น่ะ”
ใช่แล้ว ถ้อยคำหวานหูของชายคนนี้ล้วนมาจากคู่สามีภรรยาเบรดิงตันทั้งหมด ทั้งสองท่านนั้นช่างเป็นคู่แต่งงานที่อยู่ร่วมกันอย่างรักใคร่ปรองดองจริงๆ นางคิดเช่นนั้นและพึมพำ
“ในอนาคตข้าเองก็อยากเป็นแบบนั้นบ้างจัง”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ นีย่า” รอธซียิ้มหวานที่สุดในโลกพลางกระซิบกับเปโตรนิยา “ข้าก็เหมือนกับท่านพ่อและท่านแม่ ข้าสามารถพูดให้ฟังได้ทั้งวันเลย”
“นี่ท่านกำลังขอข้าแต่งงานหรือคะ”
ท่านจะเนียนขอแต่งงานเช่นนี้หรือคะ? เปโตรนิยาหัวเราะกระเซ้า รอธซีจึงกล่าวอย่างมีเลศนัย
“ข้าไม่คิดจะของ่ายๆ แบบนี้แน่นอนครับ”
คาดหวังอยู่หรือครับ? เขาถาม และเปโตรนิยาก็ตอบอย่างจริงใจ
“อืม…ที่จริงก็นิดหน่อย”
“อ้าว” แย่แล้วสิ เขาพูดต่อ ฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาว “แบบนี้ไม่ใช่การขอแต่งงานหรอกนะครับ นิล ตั้งตารอได้เลยครับ”
“ข้ายังไม่ได้บอกเลยนะคะว่าจะตกลง มั่นใจเกินไปหรือเปล่าคะ”
“ถ้าไม่ตกลง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าก็จะขอจนกว่านิลจะตกลงครับ”
“…”
ความจริงใจในคำพูดของเขาทำให้วินาทีนั้นเปโตรนิยารู้สึกตื้นตัน ตัวนางในตอนนี้มีความสุขมากอย่างที่ตัวนางในอดีตมิอาจเทียบได้ นางพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลพลางกระซิบ
“ขอบคุณนะคะ”
ขอบคุณจริงๆ
***
สองวันต่อมา แพทริเซียขึ้นรถม้าที่จะมุ่งหน้าไปบ้านของนางอย่างร่าเริง นางไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านหลายเดือนแล้ว แพทริเซียพึมพำด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“นานแค่ไหนแล้วนะ”
“ดีใจขนาดนั้นเชียวหรือ ริซซี่”
ราฟาเอลามาเป็นผู้ร่วมทางเพื่อคอยอารักขา ส่วนมีร์ยาอยู่รอที่ตำหนักจักรพรรดินี แพทริเซียพยักหน้าพลางยิ้มสดใสอย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน
“ไม่ได้เจอท่านพ่อท่านแม่มานานแล้ว ตื่นเต้นจัง”
“นั่นสิ เจ้าก็ลำบากมานาน” ราฟาเอลาพยักหน้าอย่างเห็นใจ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความหวัง “อยู่จนถึงค่ำให้หายคิดถึงแล้วค่อยกลับแล้วกันนะ”
กลับไปวันนี้แล้วก็ไม่รู้จะได้กลับไปอีกเมื่อใด พูดง่ายๆ ก็คือนี่เป็นการจากลาอย่างไม่มีกำหนด แพทริเซียพยักหน้าเห็นด้วย
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่เจ้าจะไม่เบื่อหรือ”
“นีย่าก็อยู่ เจ้าก็อยู่ มาร์ควิสกับมาร์เชอเนสก็อยู่ แล้วข้าจะเบื่อได้อย่างไร ถ้าไม่มีอะไรทำข้านอนก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“เช่นนั้นก็โล่งอก”
แพทริเซียยิ้มอ่อนโยนและเอนกายไปด้านหลัง ราฟาเอลาเห็นดังนั้นก็พูดอย่างรู้ใจ
“นอนพักหน่อยเถอะ ฝ่าบาท หมู่นี้เจ้านอนน้อยนัก”
นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะแพทริเซียมีงานล้นมือ แพทริเซียยิ้มบางๆ คล้ายจะขอความเห็นใจก่อนจะหลับไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อแพทริเซียลืมตาขึ้น รถม้าก็เดินทางมาถึงหน้าคฤหาสน์มาร์ควิสโกรเชสเตอร์แล้ว ราฟาเอลาเปิดประตูให้แพทริเซียค่อยๆ ก้าวลงจากรถ ผู้ที่นางเห็นเป็นคนแรกก็คือสองสามีภรรยาโกรเชสเตอร์ แพทริเซียยิ้มกว้างและเดินเข้าไปให้บิดามารดากอด
“ท่านแม่ ท่านพ่อ”
“ถวายบังคมพระจักรพรรดินี จันทราแห่งจักรวรรดิ”
ทว่า แทนที่จะได้รับอ้อมกอด มาร์ควิสและมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์กลับทักทายบุตรสาวด้วยคำกล่าวถวายความเคารพ ใจหนึ่งนางก็เข้าใจแต่อีกใจนางก็อดผิดหวังและเสียใจไม่ได้ นางเบะปากโดยไม่รู้ตัว
“ข้ามาในฐานะบุตรีตระกูลโกรเชสเตอร์นะคะ มิใช่จักรพรรดินีแห่งมาวินอส”
“ทรงอย่าเสียพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท นี่เป็นสิ่งที่พึงกระทำในฐานะข้าราชบริพารของพระองค์”
“รีบเข้าไปข้างในเถอะค่ะ ท่านแม่ ท่านพ่อ”
แพทริเซียยิ้มซุกซนก่อนจะเข้าไปในบ้านพร้อมกับทั้งสองคน เมื่อเข้ามาแล้วนางก็เห็นเปโตรนิยากำลังวิ่งมาสมทบ
“ริซซี่?”
“นิล”
แพทริเซียยิ้มกว้างก่อนจะทักทายพี่สาว นานแล้วที่ไม่ได้เจอกันที่บ้านแบบนี้ไม่ใช่ที่วัง
“ทำไมรีบร้อนแบบนั้น” แพทริเซียเอ่ยถาม
“เมื่อคืนนอนดึกน่ะ”
แพทริเซียพอจะเข้าใจเหตุผลว่าพักนี้นางอยู่กับลอร์ดเบรดิงตันจนดึก นางเอาแต่ยิ้มก่อนจะถาม
“จะมีข่าวดีเร็วๆ นี้ไหม”
“พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นเสียหน่อย!” เปโตรนิยาตกใจรีบปฏิเสธ
อีกฝ่ายต้องเข้าใจคำพูดของตนผิดไปเป็นแน่ แพทริเซียพอจะคาดเดาได้จึงหัวเราะคิกคัก
“ข้าหมายถึงเรื่องแต่งงานนะ”
“…ข้ารู้”
เปโตรนิยาหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยและก้มหน้ามองพื้น นางเอ่ยปากอย่างเขินๆ ว่า
“เอาล่ะ เรื่องพูดคุยเอาไว้ทีหลัง…พวกเรากินข้าวกันก่อนไหมคะ”
มื้อเที่ยงแพทริเซียต้องยัดอาหารปริมาณมากลงท้อง ตอนอยู่ในวังนางก็ไม่ได้อดอยากแต่มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ก็ป้อนนางไม่หยุด โชคดีที่นางไม่ใช่คนอ้วนง่าย นางจึงกินได้อย่างสบายใจ แต่ถึงกระนั้นปริมาณอาหารก็ยังคงมากเกินไป ช่วงท้ายของมื้ออาหารแพทริเซียถึงกับหายใจลำบาก
แพทริเซียจิบชาหวานเป็นของว่างเพื่อผ่อนคลาย หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็ใช้เวลาร่วมกับบิดาสองคนในห้องรับรอง
“เป็นอย่างไร ริซซี่ ชีวิตในวังราบรื่นดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำถาม แพทริเซียก็ตอบด้วยสีหน้าเป็นทุกข์เล็กน้อย
“สงสัยเรื่องนั้นแต่กลับไม่เคยมาเยือนตำหนักจักรพรรดินีเลยนะคะ”
“พ่อนึกว่าลูกจะเข้าใจเสียอีก” มาร์ควิสยิ้มอย่างอารีและพูดต่อ “เจ้าก็รู้ ตอนนี้หากเจ้ากับพ่อไปมาหาสู่กันก็รังแต่จะตกเป็นที่ครหา พ่อไม่อยากทำให้เจ้าลำบาก ไหนจะราชวงศ์และฝ่าบาท พ่อมิบังควรทำอะไรให้ระคายเบื้องพระยุคลบาท”
“ถึงอย่างนั้นก็มาเยี่ยมเยียนได้ค่ะ ท่านพ่อไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย”
“สิ่งสำคัญคือคนภายนอกหาได้มองเช่นนั้น” มาร์ควิสยิ้มกว้างและถามบุตรสาวอีกครั้ง “สรุปแล้ว ชีวิตในวังเป็นอย่างไรล่ะ แม้พ่อจะพอได้ยินได้ฟังอะไรมาบ้างก็เถอะ”
“รู้แล้วไยจึงต้องถามล่ะคะ” แพทริเซียยิ้มมุมปากและบอกกล่าวตามตรง “ความสัมพันธ์กับฝ่าบาทค่อนข้างห่างเหินค่ะ ส่วนกับมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ก็เอาแต่เขม่นเข่นเขี้ยวกัน”
แม้นางจะแสร้งพูดอย่างเบิกบาน แต่มาร์ควิสโกรเชสเตอร์ก็รับรู้ได้ในทันทีว่าความนัยที่แฝงอยู่หาได้เบิกบานเหมือนภายนอก เขารีบเก็บซ่อนสีหน้าอึดอัดใจและเอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พ่อช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย พ่อขอโทษ”
“ขอโทษอะไรกันคะ ท่านพ่อ ข้าเป็นบุตรีของตระกูลโกรเชสเตอร์นะคะ” นางส่ายหน้าอย่างเยือกเย็นและพูดแย้ง “เพียงได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านพ่อ ลูกก็รู้สึกขอบคุณอย่างมากแล้ว”
“ว่าแต่เจ้ากับฝ่าบาทยังไม่คุ้นเคยกันอีกหรือ” เขาเอียงคอ สีหน้าคล้ายไม่เข้าใจ “แต่พ่อได้ยินว่าพระองค์มิได้โปรดปรานมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์แล้ว…”
“…”
สีหน้าของแพทริเซียในตอนนี้คล้ายว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องเหลวไหล
[1] ตกถังข้าวสาร หรือหนูตกถังข้าวสาร เป็นสำนวนไทย หมายถึงผู้ชายที่มีฐานะไม่ค่อยดีได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ร่ำรวย