Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 36 หม่อมฉันมีโทษสมควรตาย
บทที่ 36 หม่อมฉันมีโทษสมควรตาย
Ink Stone_Romance
“เดมราฟาเอลา เจ้ามีธุระอะไรหรือ”
สำหรับแพทริเซีย บุคคลที่เป็นดั่งข้อยกเว้นมีเพียงเปโตรนิยาและราฟาเอลาเท่านั้น เมื่อราฟาเอลารับรู้ถึงความจริงข้อนั้น นางก็ยิ่งพูดกับแพทริเซียด้วยท่าทางที่หวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิม
“พระอาญามิพ้นเกล้า ฝ่าบาท หม่อมฉันมีโทษสมควรตายเพคะ”
“ราฟาเอลา”
ตั้งแต่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกตน แพทริเซียก็พอจะคาดเดาได้ถึงสิ่งที่ราฟาเอลาจะพูด แต่ให้ตายเถอะ มันถึงขั้นนี้เชียวหรือ? แพทริเซียพูดกับราฟาเอลาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่จริงจัง
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า เป็นข้าเองที่บอกว่าอยากอยู่คนเดียว และในสถานการณ์เช่นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะหาข้าพบ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยสักนิด”
“แต่ว่า…หม่อมฉันควรจะแอบตามพระองค์ไป นั่นเป็นสิ่งที่อัศวินราชองครักษ์พึงกระทำ”
“นั่นมิผิด แต่ข้ากำชับหนักหนาว่าอย่าตามมา ส่วนเจ้าก็แค่ทำตามคำสั่งของข้าอย่างซื่อตรงเท่านั้น หากจะบอกว่าการกระทำของเจ้าเป็นความผิด ก็ต้องบอกว่าการออกคำสั่งของข้าเป็นความผิดด้วย”
เรื่องจริงเป็นเช่นนั้น จึงกลายเป็นข้าต่างหากที่รู้สึกผิด เดมราฟาเอลา
ราฟาเอลาได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าลงคล้ายไม่กล้าสู้หน้าก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“จากนี้ไป…หม่อมฉันจะไม่ปล่อยให้ภยันตรายใดๆ มากล้ำกรายพระองค์ได้แม้แต่ปลายเงา ราฟาเอลา บริงสโตน ขอสาบานด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของตนและตระกูลบริงสโตน”
“ลุกขึ้นเถอะ เอล่า”
แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงตื้นตันพลางประคองราฟาเอลาให้ลุกขึ้น สาเหตุที่ทำให้นางอ่อนโยนกับราฟาเอลาเป็นพิเศษก็เพราะไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้อีกฝ่ายก็เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ เป็นเพื่อนที่สละทุกอย่างเพื่อเปโตรนิยาจนต้องพบจุดจบที่น่าเวทนา
ในชาตินี้นางก็จะสละชีพเพื่อบุตรีของตระกูลโกรเชสเตอร์อีกกระนั้นหรือ? อารมณ์ของแพทริเซียดิ่งลงอย่างรวดเร็ว มองราฟาเอลาด้วยแววตาหดหู่
แววตาของราฟาเอลาแน่วแน่และเปล่งประกาย แพทริเซียพยักหน้าเล็กน้อย
“บางที…ข้าอาจต้องการความช่วยเหลืออย่างมากจากเจ้าในการเปิดโปงผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องในคราวนี้ เอล่า หากเจ้ารู้สึกผิดต่อข้าจริง…ถึงเวลานั้นเจ้าจะช่วยข้าได้หรือไม่”
“ด้วยความยินดีเพคะ หม่อมฉันจะทุ่มเทสุดกำลัง”
แพทริเซียยิ้มอย่างเศร้าใจ
***
การประชุมขุนนางถูกจัดขึ้นทุกวันไม่ขาด แต่ว่ากันตามจริงแล้ว ในประวัติศาสตร์มีจักรพรรดิจำนวนน้อยจนแทบนับนิ้วได้ที่เข้าประชุมทุกวันด้วยเพราะมิใช่ราชกิจหลัก ซึ่งลูซิโอนับเป็นหนึ่งในจักรพรรดิไม่กี่คนนั้น
“ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสด็จ”
สิ้นเสียงนั้นประตูห้องประชุมก็เปิดออก ขุนนางน้อยใหญ่ต่างยืนขึ้นเพื่อแสดงความเคารพแพทริเซีย นางตรงไปนั่งยังที่ของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทันทีที่นางนั่งลง บรรดาขุนนางก็พากันนั่งตาม หญิงสาวพูดเปิดการประชุมสั้นๆ
“ท่านทั้งหลายคงจะทราบกันแล้วว่าตอนนี้ฝ่าบาทยังคงไม่ฟื้นคืนพระสติ ดังนั้น ตามกฎของจักรวรรดิ เราซึ่งเป็นจักรพรรดินีจะทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จนกว่าฝ่าบาทจะฟื้น หากขุนนางท่านใดมีข้อโต้แย้งขอให้บอกกล่าว”
“…”
แน่นอนว่าไม่มี แพทริเซียข้ามไปเรื่องต่อไปทันทีราวกับว่าคำถามเมื่อครู่เป็นเพียงการถามตามมารยาท
“ในเมื่อไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะฟื้นเมื่อใด เราจึงจะจัดการเรื่องด่วนที่ยังคั่งค้างอยู่เสียก่อน ส่วนเรื่องที่ไม่เร่งด่วนให้เลื่อนไปสะสางในภายหลัง”
“น้อมรับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท ปัญหาทางการค้ากับจักรวรรดิวิซาร์ดจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ ทางนั้นเรียกร้องให้ตอบเรื่องอากรสินค้านำเข้าและส่งออกโดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องระหว่างประเทศนั้นหากเป็นไปได้ให้เลื่อนออกไปก่อน หากทางนั้นพอจะมีหูตาอยู่ในจักรวรรดิของเราก็น่าจะทราบเรื่องภายในจักรวรรดิแล้ว หรือหากพวกเขาไม่รู้ เราก็ยกเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อเลื่อนการตัดสินใจออกไปดีหรือไม่ ยิ่งมีเวลาคิดมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้ผลของการตัดสินใจดีขึ้นตามไปด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมจะแจ้งไปตามพระประสงค์”
ลูซิโอเป็นจักรพรรดิที่ขยันขันแข็ง เพราะฉะนั้น เรื่อง ‘ด่วน’ ที่แพทริเซียต้องตัดสินใจจึงมีไม่มากนัก นางนึกชื่นชมความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขาเป็นครั้งแรก และพูดเข้าเรื่องแรกสุดที่ควรจะต้องมีการหารือกัน
“ฟังว่าพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือโดยมากกำลังประสบภัยแล้ง ความเสียหายหนักหนายิ่ง บรรดาเจ้าเมืองในพื้นที่แถบนั้นต่างเรียกร้องขอการเยียวยา พวกท่านคิดว่าเราควรมอบเงินเยียวยาจำนวนเท่าไรจึงจะเหมาะสม?”
เมื่อแพทริเซียพูดจบ คนผู้หนึ่งก็อ้าปากจะพูด คนผู้นั้นคือ ไวเคานต์ฟิลิสเต็น เสนาบดีกรมคลัง เมื่อแพทริเซียพยักหน้าให้สัญญาณ เขาจึงเอ่ยปาก
“พระอาญามิพ้นเกล้า ตอนนี้เงินในท้องพระคลังมีไม่เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ เราจ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งหมู่นี้เกิดการรุกรานจากชาวต่างชาติในพื้นที่ภาคเหนือบ่อยครั้ง ทำให้มีรายจ่ายมากเหลือเกิน หากต้องใช้เงินในท้องพระคลังในการช่วยเหลือครั้งนี้ด้วย เกรงว่าจะทำให้เราตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็เถอะ แต่จะไม่ช่วยเหลืออะไรเลยก็มิได้มิใช่หรือ ไวเคานต์?”
เมื่อขุนทางคนอื่นๆ แย้งขึ้นมา ไวเคานต์ฟิลิสเต็นก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าคำพูดของพวกเขาก็มิผิด แต่ท่าทีของไวเคานต์ยังดูคล้ายไม่ต้องการให้มีรายจ่ายมหาศาลเกิดขึ้น
“ตอนนี้เงินในท้องพระคลังมีไม่มากแล้ว ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครบอกได้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ คลังของจักรวรรดิต้องเหลือแต่ความว่างเปล่าเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ภาษีอากรนั้นเรากำหนดไว้ตายตัว แต่รายจ่ายกลับมีมากตลอดเวลา ฝ่าบาททรงมีพระปรีชา โปรดตัดสินอย่างรอบคอบด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
นั่นหมายความว่าแม้จะไม่มีเงินแต่ก็ต้องดำเนินการช่วยเหลือ แพทริเซียไม่ค่อยเข้าใจในส่วนนี้เท่าใดนักจึงถามอย่างระมัดระวัง
“เช่นนั้น ท่านหมายความว่าให้เลือกหนทางช่วยเหลือที่จะใช้เงินในท้องพระคลังน้อยที่สุด… ซึ่งเราก็คิดออกเพียงวิธีเดียว หรือเราจะคิดผิด?”
การจะเรียกเก็บภาษีจากประชาชนมากขึ้นนั้นเป็นไปไม่ได้ ทางจักรวรรดิเรียกเก็บภาษีสูงสุดจากประชาชนมาโดยตลอด หากเรียกเก็บเพิ่มอีก ไม่แน่ว่าอาจเกิดการจลาจลขึ้น การควบคุมจลาจลกลุ่มเล็กๆ อาจมิใช่เรื่องยาก แต่หากมีการก่อจลาจลต่อไปเรื่อยๆ ย่อมมิใช่เรื่องดี
ต่อให้เป็นการจลาจลขนาดเล็กเพียงใด แต่หากมีคนมารวมกันมากขึ้นย่อมส่งผลกระทบมหาศาลต่อจักรวรรดิ แพทริเซียสอดส่องสายตาซ้ายขวาคล้ายจะถามความเห็น ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ความเห็นของเราในตอนนี้ วิธีแก้ปัญหาเหลือเพียงการเรียกเก็บภาษีจากขุนนางเท่านั้น พวกท่านคิดเห็นอย่างไร”
รายจ่ายมากมายที่ผ่านมาทำให้เงินในท้องพระคลังร่อยหรอ และยังคงมีรายจ่ายรออยู่ไม่จบไม่สิ้น เพราะฉะนั้นต้องให้คนที่มั่งมีอยู่แล้วจ่ายเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แพทริเซียคิดว่าการเสียสละนี้นับว่าสมควร เพราะในปัจจุบันขุนนางในจักรวรรดิไม่ต้องจ่ายภาษี แน่นอนว่าคนพวกนั้นอาจไม่คิดเหมือนนางก็ได้ใครจะรู้
ความคิดเห็นของราชวงศ์และความคิดเห็นของขุนนางมักไม่ค่อยตรงกันอยู่แล้ว หากพวกเขาคิดจะทำเพื่อจักรวรรดิจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะฉะนั้นใครที่ภักดีหรือไม่ภักดีต่อราชวงศ์ก็จะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในตอนนี้ เพราะปากของมนุษย์เราจะตรงกับใจที่สุดก็ตอนที่ปัญหาเรื่องเงินมากองอยู่ตรงหน้า
“ฝ่าบาท วิธีนั้นไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ การให้หลายๆ ตระกูลแบ่งกันรับผิดชอบแทนที่จะให้ตระกูลเดียวรับภาระไปย่อมจะเป็นผลดีในระยะยาวพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
คนที่เพิ่งได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างเราได้รับความไว้วางใจจากบรรดาขุนนางหรือนี่ แพทริเซียยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางจำหน้า ชื่อ และตำแหน่งของขุนนางที่เห็นด้วยกับความคิดของนางไว้ในหัวทั้งหมด อาจมีสักวันหนึ่งที่นางต้องเรียกใช้พวกเขา แพทริเซียพูดต่อไปอย่างสุขุม
“เช่นนั้น หมายความว่าทุกท่านเห็นด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาท”
ตอนนั้นเองใครคนหนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมา แพทริเซียคาดเดาในใจว่านั่นต้องเป็นเสียงคัดค้าน ตอนที่นางหันไปยังต้นเสียงก็พบว่าผู้ที่เอ่ยทัดทานเป็นบุคคลที่คาดไม่ถึง
“ดยุกเอเฟรนี”
“เดิมทีขุนนางของมาวินอสไม่เคยต้องจ่ายภาษี พระองค์คิดจะทำลายขนบนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เขาดูไม่เหมือนคนที่กำลังโกรธแต่เขากลับพูดเหมือนโกรธ และนางไม่คิดว่าความโกรธนั้นเกิดจากการไม่เห็นด้วยกับความเห็นของนาง แต่คล้ายกับว่าเป็นเรื่องอื่นเสียมากกว่า ซึ่งนางก็อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร นางเก็บความรู้สึกแปลกๆ ไว้ในใจและร้องขอคำอธิบายอย่างละเอียดจากอีกฝ่าย
“ท่านหมายความว่าอย่างไร ทำลายขนบอย่างนั้นหรือ? ท่านมองในแง่ร้ายเกินไปแล้วกระมัง ที่เราพูดเช่นนั้นเพราะตอนนี้เงินในท้องพระคลังเหลืออยู่ไม่มาก เราจึงเสนอให้ขุนนางซึ่งเป็นผู้มีอันจะกินช่วยกันแบ่งเบาภาระนี้ เรามิได้คิดจะทำลายขนบใดๆ ทั้งนั้น หากภาระเพียงเท่านี้ยังช่วยกันแบ่งเบามิได้ ท่านยังจะเรียกตัวเองว่าข้าราชบริพารของจักรวรรดิได้อีกหรือ ดยุก?”
“แต่หากทำเช่นนี้ ต่อไปการเก็บภาษีจากขุนนางมิกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ดยุก เรื่องสถานะทางการเงินของจักรวรรดินั้นขุนนางที่ดูแลท้องพระคลังย่อมรู้ดีกว่าใคร ในภายภาคหน้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกก็ย่อมต้องนำวิธีนี้มาใช้อีกครั้ง แต่ฝ่าบาทเองก็มิใช่คนไร้เหตุผลแยกแยะไม่ได้ ดังนั้น เรื่องที่ท่านกล่าวย่อมจะไม่เกิดขึ้น นี่ท่านกำลังกังวลเรื่องอันใดกันแน่”
“กระหม่อมเพียงแต่กังวลว่าแผนรับมือชั่วครั้งชั่วคราวจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติได้ แม้ว่าขุนนางชั้นสูงจะไม่คัดค้าน แต่ขุนนางชั้นผู้น้อยอาจเห็นต่างได้มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“การเก็บภาษีย่อมเป็นไปตามความมั่งมี ขุนนางที่มีมากย่อมถูกเรียกเก็บมาก ขุนนางที่มีน้อยย่อมถูกเรียกเก็บน้อย เท่าที่เรารู้ การเก็บภาษีของจักรวรรดิก็ดำเนินการเช่นนี้ เราพูดผิดหรือไม่ ไวเคานต์?”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์รับสั่งถูกต้องแล้ว”
เมื่อไวเคานต์ฟิลิสเต็นกล่าวเช่นนั้น แพทริเซียก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้น นางจึงพูดต่อ
“เช่นนั้น ดยุก ท่านมีความประสงค์อันใด ท่านประสงค์จะให้ราชวงศ์รับผิดชอบเงินทั้งหมดแม้มันจะทำให้ราชวงศ์สั่นคลอนกระนั้นหรือ”
“เรื่องนั้น…”
“เช่นนั้นก็เชิญท่านพูดออกมา เราไม่ชอบการวิพากษ์วิจารณ์ลอยๆ หากท่านมีข้อเสนอดีๆ เราย่อมทำตามโดยไม่โต้แย้ง แต่หากท่านไม่มีวิธีอื่นมาเสนอแล้วยังคัดค้านอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้อีก เราคิดว่านั่นเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ เรื่องแค่นี้ ดยุกแห่งจักรวรรดิคิดไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
“…ขอประทานอภัย ฝ่าบาท กระหม่อมคิดน้อยไปพ่ะย่ะค่ะ”
แพทริเซียมองดยุกเอเฟรนีที่กำลังขอโทษตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่ออย่างไม่ยี่หระ
“หลังจากนี้ หากท่านคิดข้อเสนออื่นได้เมื่อใดก็ขอให้บอกมาเถิด หากมีข้อเสนอดีๆ ตัวเราก็พร้อมจะรับฟังทุกเมื่อ แต่สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ หากเหล่าขุนนางไม่ช่วยกันแบ่งเบาภาระ ราชวงศ์อาจถึงคราวล่มสลายก็เป็นได้ ท่านประสงค์ให้เป็นเช่นนั้นหรือ ดยุก?”
“จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ภักดีต่อจักรวรรดิมาวินอส…ย่อมไม่ต้องการจุดจบเช่นนั้นอย่างแน่นอน พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมคิดน้อยไปพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
แพทริเซียมองดยุกเอเฟรนีอีกครั้ง ไม่มีขุนนางคนอื่นเห็นต่างจากนาง เพราะต่อให้พวกเขาไม่ได้ภักดีต่อราชวงศ์อย่างลึกซึ้ง แต่หากความมั่นคงของจักรวรรดิสั่นคลอน ตำแหน่งหน้าที่ของพวกเขาก็จะมีอันตรายไปด้วยเช่นกัน
พูดตามตรงก็คือ เรื่องของการเมืองนั้น เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่ประกอบไปด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์อยู่แล้ว กลับเป็นการต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไรของตนต่างหาก
การที่คนพวกนั้นไม่พูดอะไรและยอมเสียสละนั่นก็เพราะพวกเขามองอนาคตด้วยสายตาที่กว้างไกล
ดังนั้นการที่ดยุกเอเฟรนีพูดเช่นนี้ ทั้งยังคัดค้านโดยไม่มีแผนอื่นมารองรับจึงนับว่าแปลก