Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 58 ควรจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้น
บทที่ 58 ควรจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้น
Ink Stone_Romance
“ลูกพ่อ”
โรสมอนด์รู้สึกขนลุกกับสรรพนามที่บารอนแดโรว์ใช้เรียกนาง ลูก? เฮอะ ลูกอย่างนั้นหรือ เจ้าคนน่ารังเกียจ… หากพระเจ้ามีจริงข้าก็อยากจะถามนัก ว่าตอนสร้างผู้ชายคนนี้ขึ้นมาพระองค์ทำจิตสำนึกกับความละอายใจของเขาหล่นหายที่ใดหรือไม่ โรสมอนด์เขม้นมองบารอนแดโรว์ด้วยท่าทีดูแคลน
“ท่านเสียสติไปแล้วหรือ บารอน” นางว่า
“พ่อไม่ได้บ้า ลูกพ่อ”
อารมณ์ของโรสมอนด์สับสนวุ่นวาย ราวกับคู่สามีภรรยาแดโรว์เกิดมาเพื่อปั่นประสาทนางโดยเฉพาะ ใจนางอยากจะฆ่าพวกเขาให้หมดแล้วออกไปจากที่นี่เสีย แต่หากทำเช่นนั้น นางคงมิอาจรับมือกับสิ่งที่ตามมา บารอนแดโรว์กล่าวด้วยรอยยิ้มราวกับเขาเล็งเห็นจุดนั้น
“ลูกพ่อ เจ้าเป็นลูกสาวคนสำคัญของพ่อจริงๆ”
“…”
“ไยเจ้าจึงคิดจะตัดญาติขาดมิตรกันเล่า การลงโทษของพระเจ้านี้…”
“การลงโทษของพระเจ้า!” โรสมอนด์ระเบิดเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะออกมา “พูดได้ดีนี่ การลงโทษของพระเจ้า…การลงโทษของพระเจ้าอย่างนั้นรึ!”
ครั้นตวาดออกไปแล้ว แววตาของโรสมอนด์ก็เย็นเยียบลงในขณะที่พึมพำ
“จะว่าไปแล้ว เจ้าบรูเชนกานั่นเป็นอย่างไรบ้างล่ะช่วงนี้”
“…”
บรูเชนกาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของบารอนและบารอเนสแดโรว์ เขาเป็นบุตรเขยที่แต่งเข้าตระกูลไวเคานต์ โรสมอนด์ยิ้มเยาะพลางกล่าว
“ภรรยาของมันรู้หรือไม่ ว่ามันเคยขืนใจน้องสาวต่างมารดา”
“โรสมอนด์!”
“บอกว่าอย่าเรียกชื่อข้า!”
โรสมอนด์ตวาดอย่างเหลืออด ทำเอาสองสามีภรรยาผงะถอยหลัง ในที่สุดนางก็ต้องพูดถึงเรื่องต้องห้ามของตนออกมา โรสมอนด์คำรามในลำคออย่างดุร้าย
“ใจข้าอยากจะฉีกพวกท่านออกเป็นชิ้นๆ อยากให้พวกท่านตายด้วยวิธีที่ทรมานเกินจะบรรยาย”
“…”
“ใช่ว่าข้าจะทำไม่ได้ แต่ข้าไม่ทำ เพราะข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกท่านอีกแล้ว เพราะฉะนั้น เซ็นเอกสารนี่เสียตอนที่ข้ายังพูดดีๆ”
“…”
“หากพวกท่านไม่เซ็น ข้าก็มิอาจรับประกันว่าข้าจะทำอะไรกับพวกท่านบ้าง”
“…”
“เร็วสิ!”
เมื่อโรสมอนด์ขึ้นเสียง บารอนแดโรว์ก็รับคำอย่างใจเย็น
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”
สีหน้าของเขาดูไม่พึงใจเท่าใดนัก ย่อมเป็นเช่นนั้น ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขา การที่นางได้เป็นผู้หญิงที่จักรพรรดิรักและให้ความเอ็นดูทำให้เขายืดอกได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพียงคิดถึงเรื่องนั้น โรสมอนด์ก็อยากจะให้จักรพรรดิเกลียดตนและอยากตายไปเสีย
“แต่วันนี้ค้างที่นี่สักคืนแล้วค่อยไปเถอะ”
บารอนแดโรว์ขอร้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระสำหรับโรสมอนด์เท่านั้น
“ไยข้าต้องทำเช่นนั้นล่ะคะ”
นางไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะอยู่ในบ้านที่สกปรกโสมมอันเป็นที่ที่นางถูกบังคับขืนใจนี้สักนิด ให้นอนข้างถนนยังจะดีเสียกว่า
บารอนแดโรว์รีบอธิบายต่อราวกับอ่านใจได้ “ถึงอย่างไรนี่ก็มืดค่ำแล้ว ออกเดินทางตอนนี้ก็ลำบาก เจ้าต้องคิดถึงม้าด้วยสิ”
“…”
“ค้างสักคืนแล้วค่อยไปเถอะ อย่างไร…นี่ก็เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะเป็นพ่อลูกกันมิใช่หรือ”
“เฮอะ”
พ่อลูกอย่างนั้นรึ ท่านเคยเห็นข้าเป็นลูกด้วยรึ โรสมอนด์เขม้นมองสองสามีภรรยาแดโรว์ด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนจะเดินตึงตังขึ้นชั้นบนไปยังที่ของนาง ที่ที่นางเคยปฏิญาณไว้ตอนที่ตัดสินใจออกจากบ้านหลังนี้ว่าจะไม่กลับมาเหยียบอีกเป็นครั้งที่สอง
โรสมอนด์ปิดประตูเสียงดังก่อนจะทรุดตัวลงนั่งในห้องโทรมๆ ของตน หลังจากประสบกับเรื่องนั้นนางก็มาร้องไห้อยู่ในห้องนี้เงียบๆ ด้วยความโศกเศร้าและหวาดกลัว แต่ตอนนี้ไม่มีสาวน้อยที่บอบบางและอ่อนต่อโลกคนนั้นอีกต่อไป เหลือเพียงนางมารร้ายที่มักใหญ่ใฝ่สูงและทะเยอทะยานเท่านั้น โรสมอนด์จ้องมองภายในห้องด้วยสายตาเย็นชา ทั้งๆ ที่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเด็ก แต่นางกลับรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
“…”
นางเชื่อว่าตนมีชีวิตวัยเด็กที่แสนโชคร้าย แม้ว่าบารอนแดโรว์จะเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด แต่บารอเนสแดโรว์นั้นมิใช่ มารดาผู้ให้กำเนิดนางเป็นหญิงโสเภณี นางเป็นชีวิตที่เกิดมาจากการเริงรักชั่วข้ามคืนของพวกเขา
‘ลืมมันไปเสียได้ก็คงจะดี’
โรสมอนด์หัวเราะอย่างขมขื่น แม่แท้ๆ ที่นางเกลียดไม่ลงถูกบารอเนสแดโรว์ที่ตามืดบอดด้วยความหึงหวงสังหารในภายหลัง โดยมีบารอนแดโรว์เฝ้ามองอย่างเงียบๆ อยู่เบื้องหลัง ตอนนั้นนางอายุได้สิบปี หลังจากที่มารดาถูกฆ่าตาย นางก็ถูกรับเข้าตระกูลแดโรว์ในฐานะบุตรสาวที่เกิดจากโสเภณีที่จะเรียกว่าอนุภรรยาก็กระดากปาก
‘ข้าควรจะตายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น’
หากนางตายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น ความโกรธแค้นในตอนนี้จะหายไปหรือไม่ ความโศกเศร้าและความชั่วร้ายที่หยั่งรากลึกอยู่ตอนนี้คงจะไม่เกิดขึ้นใช่ไหม เห็นได้ชัดว่านางไม่อาจก้าวข้ามความเสียใจไปได้ และในความเป็นจริงก็ไม่มีวิธีใดที่จะย้อนเวลากลับไป
***
“ได้ยินว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่พี่ชายของโรสมอนด์มองนางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง”
ลูซิโอพูดต่อไปอย่างเป็นปกติ “สุดท้ายก็เกิดเรื่อง พี่ชายขืนใจน้องสาวต่างมารดา บารอเนสแดโรว์รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังปิดปากเงียบ คงคิดว่าเป็นเรื่องน่าอับอายกระมัง”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น ในขณะที่แพทริเซียนั้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นางเคยคิดว่าบนโลกจะมีใครที่โชคร้ายเหมือนนางอีกหรือไม่ แต่แล้วก็มีลูซิโอ และเมื่อนางคิดว่าจะมีใครโชคร้ายเหมือนลูซิโออีกหรือไม่ ก็ยังมีโรสมอนด์ จู่ๆ แพทริเซียก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา ผู้หญิงคนนั้นน่ารังเกียจ แพทริเซียเกลียดนาง แต่ในขณะเดียวกัน แพทริเซียก็เห็นใจนางด้วยเช่นกัน
“ตอนนั้นนางถึงกับอยากตายเลยทีเดียว”
ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าหวาดหวั่นราวกับว่าแค่คิดนางก็รู้สึกขนลุกแล้ว ครู่หนึ่งให้หลังนางก็เอ่ยปากถาม
“…แล้วนางมาพบกับฝ่าบาทได้อย่างไรหรือเพคะ”
“บังเอิญน่ะ”
ใช่ มันเป็นเรื่องบังเอิญ แม้ว่าตอนนี้เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้วจะรู้สึกว่าเรื่องนั้นก็อาจเป็นการจัดฉากด้วยเหมือนกัน แต่สำหรับลูซิโอ เรื่องในตอนนั้นเป็นเรื่องบังเอิญไม่ผิดแน่ หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีชมพูดงดงามที่บังเอิญได้พบระหว่างการเดินทางอันแสนยาวไกล เรื่องราวที่เขาได้รับรู้ การแบ่งปันความเจ็บปวดของชีวิตในวัยเด็กที่น่ากลัวและน่าเวทนาร่วมกัน
โรสมอนด์เป็นคนฉลาด นางลองเสี่ยงดวงเพื่อจะเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง นางหอบเอาบาดแผลของตนมาขายให้กับลูซิโอเพื่อแลกกับความเห็นอกเห็นใจของจักรพรรดิ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังแทรกซึมเข้าไปในบาดแผลของลูซิโออย่างชำนาญ จากนั้นก็ทำเป็นปลอบใจเขาและทำให้เขาต้องหันไปพึ่งพานาง ราวกับว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่เข้าใจบาดแผลอันน่าสะเทือนใจที่เขาซุกซ่อนไว้ ราวกับว่านางเป็นคนเดียวที่จะเข้าใจและยอมรับเขาได้
ความบอบช้ำทางจิตใจของเขาเปรียบดั่งข้อเท้าของอะคิลีส[1]ที่ทำให้เขาอ่อนแอที่สุด ด้วยเหตุนี้อุบายของโรสมอนด์จึงประสบความสำเร็จ ลูซิโอหลงใหลนางอย่างมิอาจห้ามใจ มีผู้หญิงมากมายเปลื้องผ้าต่อหน้าเขา มีผู้หญิงมากมายยั่วยวนเขา แต่ไม่มีผู้หญิงคนใดเหมือนโรสมอนด์
นอกจากนี้ เรื่องที่นางมีบาดแผลทางใจอันใหญ่หลวงเหมือนกับเขายังกลายเป็นกลไกป้องกันที่ทำให้ลูซิโอไม่สามารถทอดทิ้งโรสมอนด์ได้ โรสมอนด์มั่นใจว่าลูซิโอไม่มีทางทอดทิ้งตนซึ่งมีแผลใจมากมายเด็ดขาด และโดยรวมแล้วความคิดของโรสมอนด์ก็ถูกต้อง
ครั้นฟังลูซิโอพูดจนจบ แพทริเซียก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะด้วยความสะเทือนใจ นี่คือธาตุแท้ของสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นที่ยากจะอธิบายของพวกเขา บาดแผลในวัยเด็กที่น่ากลัวและน่าสะเทือนใจที่บุตรีตระกูลขุนนางชั้นสูงเช่นนางมิอาจมีได้ ลูซิโอคิดว่าคนที่เติบโตมาอย่างเป็นปกติคงไม่มีวันเข้าใจตน
ความจริงแล้วสิ่งที่เขาพูดก็มิได้ผิดไปเสียทีเดียว แพทริเซียไม่อาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เพราะนางไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นเลยสักครั้ง ทว่า โรสมอนด์เองก็เช่นกันมิใช่หรือ ไม่ว่าใครก็ตาม หากไม่เคยผ่านประสบการณ์เดียวกันกับอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางเข้าใจได้อย่างแท้จริง
ทว่า โรสมอนด์ก็แค่หัวใสนิดหน่อยเท่านั้น ทำราวกับว่าตัวนางแตกต่างจากคนอื่น ราวกับว่ามีเพียงนางคนเดียวที่เข้าใจเขาทุกอย่าง แต่ถึงกระนั้นการที่ลูซิโอตกหลุมพลางของฝ่ายนั้นก็มิใช่เรื่องเลวร้าย เขาเพียงแต่ต้องการคนที่เข้าใจ คนที่พูดได้ว่านั่นไม่ใช่ความผิดของเขา คนที่ช่วยแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งในใจแม้เพียงน้อยนิด
“เราสงสารนาง เช่นเดียวกับที่นางสงสารเรา”
“…”
“ดังนั้น เราจึงถือว่านางเป็นหนึ่งเดียวกับเรา และนั่นคือเหตุผลที่เราทิ้งนางไม่ได้”
“…”
แพทริเซียเข้าใจ แม้จะน่าหงุดหงิดก็ตาม และหากจะพูดกันตามตรงแล้วนางก็ไม่ได้อยากจะเข้าใจ แต่นางก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้เข้าใจได้ หากนางเป็นเหมือนโรสมอนด์หรือลูซิโอ นางเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตนจะไม่ทำเช่นนั้น
“ผู้หญิงคนนั้น…ฝ่าบาททรงรักนางหรือไม่เพคะ”
“…”
หากเป็นเมื่อก่อนลูซิโอคงตอบอย่างไม่ลังเลว่า ‘ใช่’ แต่น่าแปลกที่ตอนนี้เขาไม่อาจขยับปากพูดได้โดยง่าย เขารัก เขาเคยรักนางอย่างแน่แท้ แต่ตอนนี้ล่ะ? ตอนนี้เขายังรักนางอยู่หรือไม่?
ก่อนจะแต่งงานกับแพทริเซีย บางครั้งเขาก็เคยนึกสงสัย นางรักข้าจริงหรือ? ข้ารักนางจริงหรือ? ระหว่างพวกเราเป็นเพียงความสงสารหรือความรักกันแน่ หากเป็นความสงสารแล้วจะมองว่ามันเป็นความรักได้หรือไม่
ครั้งหนึ่งเขาเคยเชื่อว่าความสงสารคือความรัก แต่เมื่อได้สัมผัสกับเบื้องหลังของนาง ความเชื่อที่มีก็เริ่มเกิดรอยร้าว และมาถึงตอนนี้ลูซิโอกำลังคิดว่าเขา ‘ไม่แน่ใจ’ เขาไม่เคยเคลือบแคลงในความน่าสงสารของนาง ตอนนี้เขาก็ยังคงสงสารนางอยู่ แต่เขารักนางจริงๆ อย่างนั้นหรือ? นางเองก็รักเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ? ความรู้สึกระหว่างพวกเราสองคนเป็นความรู้สึกที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ?
“นั่นสิ” ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตอบออกไปอย่างกำกวม “เราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“…”
มันเป็นความรักที่เริ่มมาจากความสงสาร ความเมตตาหรือความเห็นอกเห็นใจนั้นไม่ยั่งยืน เป็นเพียงความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราว จึงไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกสับสน และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือความเป็นไปได้ที่โรสมอนด์จะรักเขาก็มีไม่มาก อย่างน้อยแพทริเซียก็คิดเช่นนั้น
เพราะฉะนั้น แพทริเซียเอ๋ย เจ้าเองก็ต้องระวังให้ดี ความรักที่เกิดจากความสงสารนั้นไม่ยืนยาว หากไม่แยกแยะระหว่างความรักกับความสงสาร เจ้าเองก็จะโชคร้ายไปด้วย
***
วันรุ่งขึ้นโรสมอนด์ตื่นขึ้นมาอย่างไม่สบายตัวนัก ทันทีที่ลืมตาขึ้นนางก็กวาดตามองรอบๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ อา ข้าอยู่ในห้องที่น่าขยะแขยงนั่นนี่เอง นางคิดว่าควรจะออกจากที่นี่ให้เร็วขึ้นสักนิดพลางลุกจากเตียง
“ตื่นแล้วหรือคะ ท่านโรสมอนด์”
“อืม”
ตอนนี้คลาราเองก็รู้เรื่องน่าอัปยศของนางแล้ว แต่นางกลับไม่ได้เอ่ยปากซักไซ้เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย โรสมอนด์ทั้งรู้สึกโล่งใจและหงุดหงิด แน่นอนว่านางไม่ได้แสดงออก และพูดกับอีกฝ่ายอย่างเป็นปกติ
“ขอเพียงได้รับเอกสารจากสองสามีภรรยาแดโรว์ ข้าก็จะออกจากที่นี่ทันที เตรียมตัวไว้ด้วย”
“แต่ว่าท่านโรสมอนด์จะไม่อาบน้ำก่อนหรือคะ”
“ไว้อาบไปที่อื่น ข้ามิได้ขัดสนอะไรเสียหน่อย มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องอยู่ที่นี่นานกว่านี้?”
น้ำเสียงหงุดหงิดของโรสมอนด์ทำให้คลาราไม่พูดอะไรต่อ เพียงตอบว่ารับทราบและออกจากห้องไปเงียบๆ เมื่อโรสมอนด์เดินลอดประตูตามออกมาก็พบกับสามีภรรยาแดโรว์ พวกเขาเผชิญหน้ากับนางด้วยสีหน้าเดียวกับเมื่อวาน
“หลับสบายไหมลูก”
คลื่นไส้ คิดจะพูดจาไร้สาระเช่นนี้ไปจนถึงเมื่อไรกัน โรสมอนด์แสดงความหงุดหงิดทางสีหน้าพลางเอ่ยถาม
“เซ็นเอกสารหรือยังคะ”
“โถ่ ลูก เจ้าก็ใจร้อนเสียเหลือเกิน” บารอเนสแดโรว์พูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อวานข้าคุยกับพ่อของเจ้าทั้งคืนเลยนะ ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเจ้า…”
“หยุดพูดอะไรตรงข้ามกับใจเถอะค่ะ”
โรสมอนด์หัวเราะอย่างเย็นชาพลางพูดตัดบท “ส่งเอกสารมา”
“อา รีบร้อนเสียจริง” บารอเนสแดโรว์ทำสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “ก็ได้ หากเจ้าต้องการเช่นนั้นข้าก็จะเซ็นให้”
“ตอนนี้ เดี๋ยวนี้…”
“แต่มีข้อแม้”
บารอนแดโรว์เอ่ยแทรกบทสนทนาของทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม
[1] ข้อเท้าของอะคิลีส (Achilles’ heel) เป็นสำนวนที่หมายถึงจุดอ่อน มีที่มาจากเรื่องราวของอะคิลีส วีรบุรุษกรีกโบราณ ตำนานเล่าว่า เขาเป็นชายที่มีร่างกายแข็งแกร่ง เนื่องจากธีทิสมารดาของเขาจุ่มร่างของเขาลงในแม่น้ำสติกส์เพื่อความคงกระพัน ทว่า ตอนจุ่มลงไป ธีทิสต้องใช้มือกุมข้อเท้าของเขาไว้ ร่างกายของอะคิลีสจึงมีจุดอ่อนอยู่ที่ข้อเท้าซึ่งเป็นจุดเดียวที่ไม่ได้อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง